ตอนที่ 639 ต่างอุดมการณ์ไม่อาจร่วมเสวนา
เจิงสิ่งอู๋เป็นขุนนางคนสุดท้ายที่จางจวีเจิ้งส่งเสริม แม้ว่าเป็นเพียงเสนาบดีกรมโยธา แต่ก็เป็นตัวแทนของพรรคพวกจางจวีเจิ้ง เมื่อต้องกลับบ้านเกิด ก็เท่ากับเป็นการโจมตีพรรคพวกจางจวีเจิ้ง
ท่าทีคนในวังในเรื่องนี้กลับยิ่งทำให้คนตกอกตกใจกันทั่ว ตอนหวังจ้วนได้ข่าวนี้ก็รีบออกหน้าแก้ต่างให้เจิงสิ่งอู๋ในที่ประชุมขุนนาง ฮ่องเต้ว่านลี่ทรงรับปากง่ายดายว่า
“ยังจำเหลียงเมิ่งหลงได้ไหม?”
เหลียงเมิ่งหลงเดือนก่อนกลับบ้านเกิดไป เหตุเพราะมีขุนนางยื่นฎีกาเช่นเดียวกับเจิงสิ่งอู๋ตอนนี้ ทุกคนล้วนรู้กันอยู่แก่ใจในเรื่องนี้แล้ว
*********
เทียบกับนอกวังที่อลหม่านแล้ว ในวังนับว่าเงียบสงบยิ่ง ในวังนอกวังมีสายสัมพันธ์จริง แต่ก็มีความเป็นเอกเทศจากกันและกันเช่นกัน
เข้าสู่เดือนสิบแล้ว คนร่างกายอ่อนแอก็ต้องสวมเสื้อหนาแล้ว ในห้องเริ่มก่อไฟให้ไออุ่นแล้ว ในห้องเครื่องกำลังสาละวนเหงื่อตกกันไม่หยุด
ขันทีพวกนี้มิได้กำลังยุ่งกับการทำอาหารให้เจ้านายในวัง หากกำลังทำส่งไปยังที่พักผ่อนนอกสำนักอาชาหลวงของหัวหน้าขันทีสำนักอาชาหลวงจางจิง เนื้อแพะชั้นดีปรุงรสเลิศ ยังมีสุรารสเยี่ยม กล่าวไม่เกรงใจ อาหารมื้อนี้หัวหน้าห้องเครื่องลงแรงมากกว่าที่ทำให้ไทเฮาและฝ่าบาทเสียอีก
เพราะคืนนี้ รองหัวหน้าสำนักส่วนพระองค์จางเฉิงจะดื่มสุรากับหัวหน้าสำนักอาชาหลวงจางจิง ทั้งสองเป็นบุคคลระดับสูงในวัง หัวหน้าสำนักขันทีอื่นแม้เรียกว่ามหาขันทีเช่นกัน แต่ต่อหน้าจางเฉิงและจางจิงก็ต้องก้มหัวคำนับ
การดูแลกงกงสองคนนี้อย่างดี ดีไม่ดีย่อมได้ดีไปด้วย อย่างน้อยก็คงไม่มีผลร้าย ฝ่าบาทเป็นเจ้านายทุกคนไม่ผิด หากสองท่านนี้เป็นผู้ดูและทุกคนโดยตรง
ด้วยสถานะของจางเฉิงและจางจิง การมาร่ำสุรากันสองต่อสองนับเป็นเรื่องไม่ควรกระทำยิ่ง แต่ทุกคนก็เป็นคนเก่าแก่จากจวนอ๋องอวี้มาด้วยกัน รู้จักกันตั้งแต่ตอนเรียนหนังสือ จากจวนอ๋องอวี้สู่วังหลวง ทั้งสองสนิทสนมกันไม่น้อย ในวังล้วนรู้กัน ไทเฮากับฝ่าบาทย่อมไม่ทรงระแวงอันใด
ขันทีในชุดดำด้านนอกเฝ้าเวรอยู่ ห้องเครื่องส่งอาหารมาไม่น้อย แม้เพียงแค่มาส่งอาหาร หากพวกเขาก็ไม่อาจเข้าไปด้านใน ล้วนต้องให้ขันทีชุดดำรับนำเข้าไป
แต่ทว่า ด้านนอกขันทีชุดดำก็ไม่อาจเข้าไป รับอาหารมาแล้ว ก็เข้าไปตะโกนร้องบอกด้านใน ในห้องก็จะมีคนออกมารับไป ไม่เช่นนั้นเข้าไปไม่ได้
ในห้องคนที่มารับของก็เป็นขันที ขันทีใหญ่สำนักอาชาหลวงโจวอี้ ทุกคนเห็นแล้ว ก็ล้วนถอนหายใจว่าโจวกงกงไม่ลืมตัว มาถึงสถานะนี้แล้ว ยังคงปฏิบัติต่อจางเฉิงกงกงเช่นเดิม
ในห้องมีเพียงจางจิงและจางเฉิงกับโจวอี้สามคน อาหารบนโต๊ะง่ายๆ ไม่กี่อย่าง ก็แค่หม้อไฟ รอบสี่ทิศวางเนื้อแพะสดไว้และผักสดที่หาได้ยากในฤดูกาลนี้ จางเฉิงและจางจิงนั่งตรงข้ามกัน
“อากาศเริ่มหนาวแล้ว กินหม้อไฟเหมาะที่สุด หวังทงคิดอันนี้ขึ้นมา พวกเราจึงได้รู้วิธีกินเช่นนี้!”
จางเฉิงยิ้มกล่าวขึ้น อากาศในห้องมีแต่ควันหม้อไฟ สุราบนโต๊ะเต็มจอก เป็นสุราชั้นดี กลิ่นหอมอบอวล แต่สองคนยังไม่ดื่ม
จางจิงเงียบ เขาเป็นพวกฝึกยุทธ์ กุมอำนาจสำนักอาชาหลวง ท่าทีองอาจ ใช้ตะเกียบคีบเนื้อแพะลงลวกในหม้อไฟ จิ้มน้ำจิ้ม หากไม่ได้ขยับต่อ กล่าวขึ้นน้ำเสียงไม่พอใจว่า
“ข้าแสนตำลึง เจ้าเท่าไร?”
จางเฉิงยิ้มส่ายหน้ากล่าวว่า
“ก็แสนตำลึง เจ้าได้ยินมาไหมว่า จางหงก็ได้แสนตำลึง”
“ว่ากันว่าตระกูลจางเป็นพ่อค้าเงินทองมหาศาล เป็นคหบดีใหญ่แห่งผูโจว เงินทองมากมายจริงๆ !”
จางจิงรำพันขึ้น จางเฉิงยิ้มกล่าวว่า
“หวังฉงกู่ตอนเป็นแม่ทัพชายแดนไม่รู้ว่าอำนวยความสะดวกให้ตระกูลจางเท่าไร นับประสาอันใดกับตระกูลจางเป็นพ่อค้าเกลือ เงินทองร่ำรวยเทียบเท่าแผ่นดินก็ไม่เกินจริง จางซื่อเหวยยังเป็นเสนาบดีกรมทหารมานานหลายปี เงินทองพวกนี้จะสักเท่าไรกัน”
จางจิงพยักหน้า เงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวว่า
“วันนี้วันที่ 5 เดือนสิบ วันยื่นฎีกาคือวันที่ 11 เดือนสิบ พวกเราลงมือไหม?”
จางเฉิงหุบยิ้ม เงียบไปครู่หนึ่ง โจวอี้ที่อยู่หน้าประตูมองแล้วก็เข้าใจ ก้มหน้ากล่าวว่า
“ท่านพ่อบุญธรรม จางกงกง ข้าออกไปเร่งอาหารก่อน……”
จางเฉิงขมวดคิ้ว โบกมืออย่างรำคาญกล่าวว่า
“เกี่ยวไรกับเจ้า ฟังอยู่ตรงนั้นแหละ ไม่ต้องระวังขนาดนั้น”
กล่าวจบ จางเฉิงก็ยกสุราดื่มหมดจอก สุราแรง จางเฉิงถอนหายใจยาว กล่าวว่า
“เขาอยู่ในตำแหน่งมาสิบปีแล้ว ทุกคนแตะต้องไม่ได้ ตอนนี้เขาถึงกับเลอะเลือน จะแต่งตั้งบรรดาศักดิ์ให้ตนเองให้ได้ ไทเฮาก็ทรงไม่พอพระทัยอยู่”
“ต้องบอกกล่าวกับจางหงไหม?”
“ไม่ต้อง คนผู้นี้คิดประหลาด เอาแต่อ้างตำราปราชญ์โบราณ อย่างไรก็คงรับเงินไปด้วยแล้ว ไม่จำเป็นต้องสนใจเขาแล้ว”
***********
วันที่ 11 เดือนสิบ ปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 10 ขุนนางแห่งกรมสอบสวนเจียงซีหลี่จื๋อยื่นฎีกาฟ้องหัวหน้าสำนักส่วนพระองค์เฝิงเป่า 12 กระทงความผิด เมืองหลวงสั่นสะเทือนไปทั่ว
ฮ่องเต้ว่านลี่อยู่ในห้องทรงอักษร ไพล่มือเดินไปเดินมา สีพระพักตร์ตื่นเต้นยิ่ง เพราะขาไม่ดีนัก ปกติฮ่องเต้ว่านลี่จึงประทับนั่งในห้องเสมอ การลงมาเดินไปมาเช่นนี้แสดงว่าตื่นเต้นอย่างที่สุด
จางเฉิงยืนอยู่ด้านหน้า ก้มหน้าไม่พูดอันใด สีหน้ามีรอยยิ้ม ฮ่องเต้ว่านลี่เดินไปมาสองสามก้าว เปิดฎีกาออกอ่าน อ่านไปมาแล้วก็แย้มสรวลตรัสว่า
“สนุกจริง สนุกจริง จางซื่อเหวยกล้าทำจริง ไหนว่าหลายวันก่อนส่งของขวัญล้ำค่าให้เฝิงเป่าไม่ใช่หรือ?”
“ฝ่าบาท ตั้งแต่จางซื่อเหวยเข้ามานั่งในคณะเสนาบดีใหญ่ก็ไม่เคยขาดการส่งของขวัญให้เฝิงเป่า ตอนนี้เขาเป็นถึงมหาอำมาตย์ เกิดเรื่องกันก็ยังส่ง อ่อนน้อมไว้ก่อน แต่จะยอมได้อย่างไร มีการเคลื่อนไหวก็เป็นเรื่องที่ควรต้องเกิด”
ฮ่องเต้ว่านลี่ที่แย้มสรวลเริ่มเย็นชา ตรัสว่า
“จางซื่อเหวยไม่ยอม เราถูกจางจวีเจิ้งกับเฝิงเป่าคุมมาสิบกว่าปี เราก็ไม่ยอมเหมือนกัน จางปั้นปั้น มีราชโองการ เฝิงเป่า……”
“ฝ่าบาท ฝ่าบาท อย่าเพิ่งทรงใจร้อน ๆ เรื่องนี้ให้ไทเฮาทรงมีดำริก่อน เช้าวันนี้ เฝิงเป่าไปตำหนักฉือหนิงกง”
ฮ่องเต้ว่านลี่อึ้งไป ก่อนจะเคาะโต๊ะ แย้มสรวลเบิกบานพระทัยตรัสว่า
“รอก็แล้วกัน รอถึงตอนนี้ ก็แค่อีกไม่กี่วัน”
***********
วันที่ 13 เดือน 10 ปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 10 เฝิงเป่าไปตำหนักฉือหนิงกงติด ๆ กันสองวัน วันนี้ในที่สุดก็ตามเสด็จฮ่องเต้ว่านลี่ออกว่าราชการ เขาปรากฏตัวในที่ประชุม ข่าวด้านนอกเริ่มหนาหู เขาต้องออกมาคุมสถานการณ์ แต่วันนี้จางเฉิงกลับขอลาพัก
หอประชุมเหวินเหยียนเก๋อกำลังเปิดประชุม ตำหนักฉือหนิงกงเงียบผิดปกติ สีพระพักตร์ไทเฮาฉือเซิ่งบนที่ประทับเรียบเฉย ดูไม่ออกว่าทรงคิดเช่นไร
นางกำนัลคนสนิทรอบๆ ล้วนก้มหน้าเงียบ เคร่งเครียดผิดปกติ ต่อหน้าพระพักตร์ไทเฮา จางเฉิงกับจางจิงหมอบอยู่กับพื้น ไม่เงยหน้าขึ้น
“พวกเจ้าล้วนเป็นคนเก่าแก่จากจวนอ๋องอวี้ ต้องการเช่นนี้จริงหรือ?”
สุรเสียงไทเฮาฉือเซิ่งถามอย่างเคร่งเครียด จางเฉิงกับจางจิงโขกศีรษะติดกับพื้น ไม่กล่าวอันใด ไทเฮาฉือเซิ่งค่อยๆ ส่ายพระพักตร์ตรัสว่า
“จางหงถวายฎีกามา ว่าเฝิงเป่าขอพระราชทานบรรดาศักดิ์ ช่างเหิมเกริม ไม่มีความภักดี ไม่ตั้งมั่นอยู่ในจารีต อยู่ในตำแหน่งหัวหน้าสำนักขันทีนานเกินไป ย่อมก่อความผิดมหันต์……เฝิงเป่าอยู่ในตำแหน่งนานไปแล้ว ลืมสถานะบ่าวไปแล้วจริงๆ ……”
หากกล่าวว่าไทเฮาฉือเซิ่งตรัสกับจางเฉิงและจางจิง ไม่สู้กล่าวว่ากล่าวกับพระองค์เอง สองคนที่คุกเช่าอยู่ฟังไม่ชัดนัก แต่สองคนก็คุกเข่าไม่ขยับ สิ่งที่ควรทำก็ทำไปแล้ว ที่เหลือก็ไม่ใช่เรื่องพวกเขาสองคนจัดการได้แล้ว
ไทเฮาฉือเซิ่งพระพักตร์เหนื่อยล้า ตรัสกับจางเฉิงและจางจิง สองคนรีบถวายคำนับจากนั้นก็ถอยออกไป
ไทเฮาฉือเซิ่งเป็นผู้ทรงอำนาจที่สุดในวังหลวง พระนางเป็นนายของบรรดาขันที แต่จางเฉิงและจางจิงยังมีจางหง สามคนเป็นตัวแทนแห่งการกุมอำนาจเช่นกัน ไม่อาจทรงมองข้าม นับประสาอันใดกับเรื่องที่เฝิงเป่าทำ พระนางไม่อาจทนดูต่อไปได้แล้ว แผ่นดินราชวงศ์หมิงแซ่จูปกครอง ไม่ใช่เฝิง สิ่งที่เฝิงเป่าทำ ได้ทำลายสถานะตนไปหมดแล้ว นับประสาอันใดกับนอกวังก็เริ่มโจมตีเฝิงเป่าเช่นกัน สิ่งที่ยิ่งทำให้พระนางผิดหวังก็คือ เรื่องที่โจมตีนี้เป็นเรื่องจริง
นางกำนัลตำหนักฉือหนิงกงไม่ได้รู้สึกผ่อนคลายนัก แม้ว่าจางเฉิงกับจางจิงจะกลับไปแล้ว เพราะไทเฮาฉือเซิ่งยังทรงเงียบอยู่เช่นเดิม พวกนางไม่กล้าขยับตัว
อาจจะหนึ่งชั่วยาม อาจจะสองชั่วยาม ขันทีด้านนอกก็เข้ามาถามนางกำนัลให้ตั้งเครื่องเสวยไหม เสียงเบามาก แต่ในห้องเงียบนัก ไทเฮาฉือเซิ่งจึงยังทรงได้ยิน
ไทเฮาฉือเซิ่งยกพระหัตถ์จัดพระเกศาที่ยังคงเรียบอยู่ นางกำนัลจิ่นซิ่วยังคิดว่าจะทรงเสวย แต่ไทเฮาฉือเซิ่งกลับตรัสขึ้นเบาๆ ว่า
“เจ้านำวาจาเราไปทูลฝ่าบาท……ให้จัดการทุกอย่างไปตามกระบวนการได้……”
นางกำนัลจิ่นซิ่วสะดุ้ง แต่ก็รีบก้มกายรับพระบัญชา กำลังจะออกไป ไทเฮาฉือเซิ่งก็เรียกไว้ คิดจะตรัสอันใด หากก็ลังเล ยังไม่ทันได้เอ่ยตรัส ก็โบกมือให้จิ่นซิ่วออกไป
************
วันที่ 15 เดือนสิบ ปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 10 รองเจ้ากรมฝ่ายซ้ายกรมปกครองหวังจ้วนสมคบคิดกับหัวหน้าขันทีสำนักส่วนพระองค์เฝิงเป่า หวังจ้วนติดสินบนเฝิงเป่าห้าหมื่นตำลึงผ่านทางรองผู้บัญชาการองครักษ์เสื้อแพรสวีเจี๋ยเพื่อขอตำแหน่งเสนาบดีกรมปกครอง
วันที่ 16 เดือนสิบวันนั้น ผู้ตรวจการหวังกั๋วยื่นฎีกาหวังจ้วนใช้เข็มขัดหยกสิบเส้น พร้อมเงินอีกสามหมื่นตำลึงติดสินบนเฝิงเป่า ในวังไม่มีคำตอบ ให้ทิ้งค้างไว้เช่นนั้น
วันที่ 17 ก็มีขุนนางตรวจสอบหลี่ถิงเยี่ยนยื่นฎีกาหวังจ้วน บัณฑิตเมืองหลวงเขียนบทความวิจารณ์โจมตี ในวังในที่สุดก็มีข่าวออกมา เฝิงเป่าขอเข้าเฝ้าไทเฮา ไทเฮาฉือเซิ่งไม่ทรงให้เข้าเฝ้า ข่าวนี้เหมือนบอกอันใดได้มากมาย ที่พึ่งสุดท้ายของรองเจ้ากรมฝ่ายซ้ายแห่งกรมปกครองหวังจ้วนหมดสิ้นแล้ว ยื่นลาออกจากตำแหน่งในวันที่ 20
วันที่ 21 ฮ่องเต้ว่านลี่อนุญาตให้ลาออกกลับบ้านเกิด หวังจ้วนเป็นญาติจางจวีเจิ้ง หลังจางจวีเจิ้งจากไปก็เป็นหนึ่งในผู้นำพรรคพวกจางจวีเจิ้ง เขาต้องออกจากวงการขุนนางไปเช่นนี้เอง เช่นกัน ผู้นำอย่างเจิงสิ่งอู๋ก็ลาออกกลับบ้านเกิดไป เซินสือหังที่ถูกมองว่าจะเป็นคนสืบทอดต่อกำลังปิดจวนรักษาอาการป่วย ไม่พบผู้ใด
พรรคพวกจางจวีเจิ้งเช่นเฝิงเป่าสูญเสียอำนาจอย่างรวดเร็ว
ตั้งแต่กลางเดือนเจ็ดไปจนถึงปลายเดือนสิบ แค่สี่เดือน จางซื่อเหวยมหาอำมาตย์คนใหม่ก็สร้างความมั่นคงในตำแหน่งได้แล้ว……