Skip to content

องครักษ์เสื้อแพร 665

ตอนที่ 665 ผู้คนหัวเราะหวังทง ใช้ทั้งพระเดชและพระคุณ

ไม่ค่อยได้เห็นหน่วยงานต่างๆ ในเมืองหลวงทำงานได้ไวเพียงนี้ วันที่ 1 เดือนสองในวังประชุม ขาดไม่มีขุนนางระดับล่างถึง 30 กว่าคน แม้ไม่ได้ประกาศทั่วหล้า แต่ในเมืองหลวงไหนเลยจะขาดซึ่งข่าวคราว คนเหล่านี้บ้างก็ถูกปลด บ้างก็ถูกลดตำแหน่งขับไล่ออกจากเมืองหลวงไปหมด

สาเหตุเพราะอันใด ทุกคนรู้อยู่แก่ใจ ก็เพราะไปขวางหวังทงเข้าเมือง แล้วอยู่ๆ ก็มีโทษล่วงเกินเบื้องสูง

ระยะเวลาเพียงไม่ถึงห้าปีที่หวังทงจากเมืองหลวงไป มีคนเริ่มคิดถึงตอนที่หวังทงเคยอยู่เมืองหลวงและมีเรื่องราวการกำราบชนชั้นสูงมากมายเกิดขึ้น และมีพวกที่การข่าวว่องไว ยังเล่ากันว่าตอนเกิดเหตุจลาจลใหญ่ในเมืองครั้งก่อนก็เป็นใต้เท้าหวังเป็นผู้มาอารักขาฝ่าบาท

ข่าวมากมายเหมือนว่าเป็นตำนานวิพากษ์วิจารณ์ ขุนนางหลายสำนัก พ่อค้าแต่ละแห่งที่เข้าเมืองมาหลายปีนี้ส่วนใหญ่ไม่รู้เรื่องราวยอดเยี่ยมนี้มาก่อน พอได้ฟังแล้วก็พากันอุทานอ้าปากค้าง

ทว่าเดือนสองปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 11 หวังทงกลับไม่ใช่ผู้ที่ทุกคนหวาดกลัวอีกแล้ว หากกลายเป็นประเด็นขำขันในเมืองหลวงแทน

มักมีคนเอามาคุยกันเล่นๆ ว่า วาสนานั้นนำมาแต่ชาติก่อน ชาติถัดมาแม้ว่ามีโอกาสได้อยู่ตำแหน่งสูง แต่ก็อาจไร้วาสนารับได้

เจ้าดูหวังทง บิดาก็แค่นายกองธงเล็ก ตำแหน่งเล็กๆ สำนักองครักษ์เสื้อแพรเหนือใต้ หนึ่ง ดูแลกองกำลัง สอง ดูแลประชา อำนาจล้นฟ้า และกองเอกสารสำนักองครักษ์เสื้อแพรเก็บรวบรวมข้อมูล ความเป็นจริงก็เท่ากับมีข้อมูลไว้บีบคอบรรดาหน่วยงานต่างๆ เอาไว้ สามแห่งนี้ไม่เอา กลับจะไปฝึกทหารใหม่ จะไปลาดตระเวนสืบคดี จะไปคุมวินัยทหาร

ฝึกทหารใหม่กับลาดตระเวนสืบคดี ล้วนเป็นงานลำบากเหนื่อยยาก ไม่มีผลประโยชน์ให้เก็บเกี่ยวเท่าไร ส่วนคุมวินัยทหาร ผู้ใดไม่รู้ว่าต้องล่วงเกินคนมากมายเท่าไร

วาสนาดีๆ ไม่อยู่รับสบายๆ กลับไปทำงานพวกนี้ ใช่ว่าเป็นเพราะชะตาด้อยที่มาแต่ชาติปางก่อนหรือไร เห็นๆ เลยว่าเป็นชะตากรรมลำบากที่ติดตัวมาแต่เกิด

ราษฎรวิจารณ์กันเช่นนี้ ส่วนพวกที่รู้เรื่องภายในสำนักองครักษ์เสื้อแพรก็ยิ่งขำ ฝึกทหารใหม่น่ะหรือ สำนักองครักษ์เสื้อแพรมีทหารใหม่ที่ไหนกัน พวกองครักษ์เสื้อแพรเน้นเรื่องความน่าเชื่อถือ พระเมตตาส่งต่ออำนาจจากรุ่นสู่รุ่น ลูกสืบทอดจากบิดา บิดาเป็นองครักษ์เสื้อแพร ลูกก็เป็นองครักษ์เสื้อแพรสืบทอดกันต่อไป

องครักษ์เสื้อแพรในเมืองหลวงที่อายุ 60-70 ส่วนอายุน้อยก็มีตั้งแต่ 13 คนพวกนี้ต้นตระกูลอยู่เมืองหลวง ไม่จำเป็นต้องเป็นญาติกับตระกูลใหญ่ชนชั้นสูงอันใด แต่ก็มีสายสัมพันธ์กันไม่น้อย หากแตะต้องหนึ่ง ก็เท่ากับแตะต้องทั้งหมด การจัดการลงโทษทหารที่ใดสักแห่ง ดีไม่ดีก็จะเป็นการกระทบไปถึงนายกองพันหลายคน เป็นเรื่องยุ่งยากยิ่ง

ลาดตระเวนสืบคดียิ่งแล้วใหญ่ ใกล้เบื้องพระยุคลบาทเช่นนี้ ปาหินออกไปย่อมโดนหัวขุนนางอย่างน้อยระดับเจ็ด ที่จัดการได้ก็มีแต่ราษฎรเล็กๆ พวกเขาไม่กล้าก่อเรื่อง ที่จัดการไม่ได้ก็เป็นพวกคนใหญ่คนโต พวกเขาเกิดมาก็ชอบก่อเรื่องแล้ว จะจัดการอย่างไร จัดการคนนี้ ดีไม่ดีคงมีหกกรมหรือคณะเสนาบดีใหญ่สักคนส่งเทียบเชิญมาถึง จัดการอีกคน ดีไม่ดีอาจเป็นญาติกับขันทีคนใดในวัง สุดท้ายก็มีแต่หาเรื่องใส่ตัว หากจัดการได้ ศาลซุ่นเทียนไยต้องเหมือนกับลูกสะใภ้โดนรังแกในเมืองหลวงนี้ด้วย

ส่วนเรื่องคุมวินัยทหารนั้น หากคิดจะทำงานให้ดี ก็ต้องจัดการสานสายสัมพันธ์กับคนในพื้นที่ หากเจ้าทำงานไม่ไว้หน้าใครแบบเปาบุ้นจ้น ล่วงเกินคนไปหมด ยังจะไปทำอันใดได้อีก คงได้แต่รอให้คนอื่นปั้นหน้ายักษ์ใส่และอวดบารมีข่มเท่านั้น

งานยากลำบากทั้งสาม หวังทงกลับรับเอามาคนเดียว นี่คิดจะทำอันใด หรือว่าคิดอาศัยพระบำรมีฝ่าบาทข่มเหงผู้อื่นกัน หากฮ่องเต้โปรดปรานแล้วมีข้อได้เปรียบเยี่ยงนี้ เช่นนั้นก็ไม่ต้องมีคณะเสนาบดี หกกรมกองและหน่วยงานอื่นๆ แล้ว

ราษฎรล้วนกล่าวว่าหวังทงไร้วาสนา รู้ความในก็บอกกันว่าหวังทงหาเรื่องใส่ตัวเอง ทั้งเมืองหลวงล้วนเห็นว่าหวังทงรัศมีหมอง เป็นตัวโชคร้ายอย่างที่สุด

************

วันที่ 2 เดือนสอง อากาศแจ่มใส ลานฝึกหู่เวยที่เงียบเหงามานานวันนี้มีแขกมาเยือน หวังทงจัดให้ที่นี่เป็นที่ฝึกยุทธ์ชั่วคราว คว้าทวนยาวออกมาฝึก

ที่มาฝึกเป็นเพื่อนก็มีหม่าซานเปียว หม่าซานเปียวเริ่มเรียนยุทธ์ในเวลาเกือบพร้อมกับหวังทง แต่จากคำบอกของหลี่เหวินหย่วน หม่าซานเปียวเกิดมาก็เก่งด้านนี้เลย เข้าใจในการต่อสู้สนามรบได้ดีกว่าหวังทงมาก

แต่การประมือกันในสนามทรายแบบไม่ใช้เล่ห์อุบายเช่นนี้ ต่างกับการแสดงยุทธ์โชว์ตามท้องถนนที่จะได้ผู้ชนะอย่างรวดเร็ว สองคนถือไม้พลองออกท่าทางมาตรฐานที่ฝึกมาใส่กัน แห้งแล้งยิ่ง ขันทีที่เฝ้าอยู่จากที่นี่ก็จามออกมา หากไม่กล้าเสียมารยาท รีบหลบไปข้างทาง

ถานเจียงกับขุนพลตระกูลถานอีกสองคนยืนอยู่ข้างๆ ในมือถือผ้าเช็ดหน้าและเสื้อคลุมรอรับคำสั่ง

“หม่าซานเปียวแม้กล้าหาญ แต่นิสัยใจร้อนไปหน่อย บนสนามรบเขามีความมุ่งมั่นต่อสู้เอาชัยได้ แต่การฝึกแทงด้วยทวนเช่นตอนนี้ เวลานานไป เกรงว่าจะไม่ไหว……”

ถานเจียงเพิ่งกล่าวจบ ก็ได้ยินเสียงร้องดัง หม่าซานเปียวส่งเสียงร้องฮึดฮัด ถูกไม้พลองหวังทงแทงเข้าที่หน้าอกตรงบริเวณเครื่องป้องกัน นับว่าแพ้แล้ว

“ซานเปียว เจ้าอายุมากกว่าข้ามาก เหตุใดจึงไม่อาจสะกดอารมณ์ให้นิ่งได้”

หวังทงรับผ้าเช็ดหน้าจากถานเจียง เช็ดหน้าผากที่ไม่ได้มีเหงื่อสักเท่าไร หม่าซานเปียวยิ้มแห้งๆ กล่าวว่า

“เก็บกดจนอึดอัด ไม่ไหวๆ !”

“หาบ้านพักได้หรือยัง? ภรรยาเจ้าตั้งครรภ์ รอให้พ้นฤดูใบไม้ผลิค่อยมาดีกว่า ให้น้าหม่าอยู่เป็นเพื่อนไปก่อน อย่าได้ออกเดินทางให้ต้องลมหนาวช่วงนี้”

หวังทงเดินเข้าไปในจวนตนเอง เดินไปก็ยิ้มกล่าวไป หม่าซานเปียวพยักหน้าตอบ

“ขอบคุณใต้เท้าที่นึกถึง บ้านพักซื้อแล้ว เป็นเรือนสามชั้น สาวใช้คนงานก็พามาจากเทียนจิน คนที่นั่นไว้ใจได้”

“เขตบูรพา เขตปัจจิม บ้านดีๆ มากมายไม่เอา กลับไปซื้อที่เขตทักษิณเสียได้ เจ้าเองอยู่อย่างไรข้าไม่สนใจ น้าหม่าลำบากมาทั้งชีวิต เจ้าไม่อยากให้แม่อยู่สบายหน่อยหรือ”

ได้ยินหวังทงกล่าวเช่นนี้ หม่าซานเปียวก็เกาหัว รู้สึกไม่รู้จะกล่าวอย่างไรดี

“ใต้เท้าโทษผิดคนแล้ว แม่ข้าสั่งมาว่าจะอยู่ที่ถนนทักษิณ บอกว่าใกล้ๆ ใต้เท้าสะดวกดี แล้วยังว่าที่นี่มีร้านรวงครบ และยังอิสระ”

คนแก่มักคิดแบบนี้ หวังทงส่ายหน้า หันไปถามถานเจียงว่า

“คนของเราจัดการเรียบร้อยแล้วใช่ไหม!”

“จัดการเรียบร้อยแล้ว นอกเมืองมีโรงบ้านของลัทธิไตรสุริยันเดิมที่ถูกยึดเป็นของหลวง แม่นางซ่งซื้อมาในราคาถูก ครั้งนี้ก็พอดีให้คนเราได้พักอาศัย พวกเขาผลัดเวรกันเฝ้า ออกไปฝึกรอบนอกตามกำหนด”

หวังทงนำคนมาเมืองหลวงทั้งหมด 600 กว่า คนมากมายเช่นนี้ย่อมไม่อาจอยู่ในเมืองหลวงได้หมด การไปหาที่ทางนอกเมืองจึงเป็นการจัดการที่ดี

“รองผู้บัญชาการองครักษ์เสื้อแพร มีทหารในสังกัดสองกองร้อย คนอื่นก็ไม่อาจว่าได้ ถึงตอนนั้นให้พวกเขาผลัดกันมาละกัน!”

ขณะที่พูดก็เดินไปถึงหน้าประตูบ้าน หวังทงยังคงพักอยู่บ้านเดิม ข้างหอเลิศรส ตอนนี้มีพวกองครักษ์เข้าไปกินข้าวกลุ่มหนึ่ง พอเห็นหวังทงก็แปลกใจ

แต่เป็นขันทีเก่าแก่สองสามคนที่ยังจำหวังทงได้ ล้วนพากันคำนับเล็กน้อย เฉินต้าเหอนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ยาวกระเทาะเมล็ดถั่วกินอยู่ พอเห็นหวังทงมา ก็ปัดมือไปมาลนลานลุกขึ้นกล่าวว่า

“สวีกว่างกั๋วยังอยู่”

หวังทงพยักหน้า หันหน้าไปทางถานเจียงกล่าวว่า

“หากคนผู้นี้รู้สถานะตนเองดี ก็ควรจะคุกเข่าอยู่หน้าลาน หากยังยืนอยู่ ก็ไม่ต้องคุยแล้ว”

ถานเจียงยิ้ม ไม่กล่าวอันใด หวังทงผลักประตูเข้าไป สวีกว่างกั๋วคุกเข่าอยู่ที่ลานด้านหน้าจริงๆ อากาศในเดือนสองมาคุกเข่าด้านนอกเป็นเวลานานนับเป็นเรื่องยากจะทนไหว ปากสวีกว่างกั๋วเริ่มซีด สีหน้าเริ่มเขียว พอเห็นหวังทงเข้ามา สวีกว่างกั๋วก็โขกศีรษะลงไปทันที

หวังทงไม่สนใจ เอาแต่เดินเข้าไปในห้องด้านใน พอเดินเข้าไปในห้อง หวังทงก็นั่งลงดื่มน้ำชา หันไปบอกกับหม่าซานเปียวว่า

“ให้สวีกว่างกั๋วเข้ามา!”

คนในห้องพากันงง แต่ก็ไม่กล้าขัด หม่าซานเปียวรีบออกไปเรียกเข้ามา สวีกว่างกั๋วเป็นคนเรียนหนังสือ สุขภาพไม่อาจเรียกได้ว่าแข็งแรงนัก หนาวเหน็บอยู่ด้านนอกมานาน ตอนเข้ามาก็ฝีเท้าไม่หยุดนิ่ง แต่พอเข้ามาก็รีบคุกเข่าลงทันที

“ท่านสวี ก่อนข้ามาเมืองหลวง มีคนมาหาเจ้า ให้เจ้าเผยจุดอ่อนข้า จากนั้นปีหน้าจะให้เจ้าได้ตำแหน่งสูง จากนั้นก็จะได้ก้าวขึ้นเป็นขุนนางระดับสูง ใช่หรือไม่?”

สวีกว่างกั๋วเอาแต่โขกศีรษะ ทุกคนจึงได้รู้ทันที ปากหม่าซานเปียวพึมพำด่า ด่าออกมาว่า

“เจ้าชั่วลืมบุญคุณ รู้อย่างนี้ให้หนาวตายข้างนอกก็ดี”

หวังทงส่ายหน้ากล่าวว่า

“ท่านสวีเปลี่ยนใจไว ตอนนั้นรู้อันใดก็พูดไปหมด พอเสร็จเรื่องคิดว่าไม่ได้การแล้ว จึงรีบออกนอกเมืองไปบอกกล่าวข้า นับว่าทำให้ความผิดลดลงไปหลายส่วน ท่านสวี เรื่องเป็นเช่นนี้ใช่หรือไม่?”

“ใต้เท้าโปรดเมตตาด้วยๆ ข้าน้อยตอนนั้นหน้ามือตามัว ขอใต้เท้าเห็นแก่ที่ข้าน้อยได้สติทัน ขอโอกาสข้าน้อยอีกสักครา ข้าน้อยทำงานให้ใต้เท้าในเมืองหลวง ไม่มีความดีก็ย่อมมีความชอบ ครั้งนี้มันหมูบดบังจิตใจให้คิดชั่วไปแล้ว”

สีหน้าหวังทงมีรอยยิ้ม ถอนหายใจ ต่างจากหยางซือเฉิน แม้เป็นบัณฑิตจวี่เหรินเหมือนกัน แต่คงทำชั่วแบบสวีกว่างกั๋วไม่ได้ อย่างไรก็เป็นคนในวงการขุนนางมาก่อน ย่อมรู้และได้สติเร็ว

“เจ้าพบกู้เซี่ยนเฉิง ข้ารู้ เจ้าดื่มน้ำชากับหลี่ซานไฉ ข้าก็รู้ อาเจ้าฝากคนนำความมาบอกข้า ข้าก็รู้ หากไม่ใช่สุดท้ายเจ้ารู้หนักเบาแล้ว ตอนนี้จึงคงได้ร่วมอยู่ในขบวนการล่วงเกินเบื้องสูงไปแล้ว เจ้าตอนนี้คงได้นอนคุกไปแล้ว ภรรยาและลูกเจ้าก็คงต้องไปนอนริมถนนแล้ว หรืออาจถูกเอาไปขายสำนักโสเภณีหลวงแล้ว เจ้ารู้หรือไม่?”

หวังทงกล่าวคำว่า รู้ หลายครั้ง สวีกว่างกั๋วได้ยินชัด โขกศีรษะ สะอื้นไห้กล่าวว่า

“ใต้เท้าเมตตา ข้าน้อยรู้ผิดแล้ว ข้าน้อยเป็นบัณฑิตจวี่เหริน แต่ไม่รู้จักวางตัว พอได้ยินคนจะมอบตำแหน่งจิ้นซื่อให้ หัวสมองก็เบลอไปหมด หลี่ซานไฉกับกู้เซี่ยนเฉิงบอกว่าเป็นความต้องการของขุนนางใหญ่ในราชสำนัก ข้าน้อยตอนนั้นก็รู้สึกลัว!!”

“ขุนนางใหญ่ในราชสำนัก?”

“……ข้าน้อยไม่รู้ แต่หลี่ซานไฉสมาคมผู้คนมากมาย กู้เซี่ยนเฉิงมักเข้าออกจวนขุนนางใหญ่ ข้าน้อยคิดว่าพวกเขาไม่ได้หลอก……”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version