ตอนที่ 652 ไปเมืองหลวง ไม่มีอันใดต้องหวั่น
วันที่ 5 เดือนหนึ่ง ณ โถงหน้าจวนหวังทง หวังทงนั่งอยู่ตรงกลางห้อง ไช่หนานยืนอยู่ทางซ้ายคนแรก ถานเจียงอยู่ทางขวาคนแรก กองกำลังหู่เวย องครักษ์เสื้อแพร และหน่วยงานต่างๆ ในเทียนจิน คนระดับหัวหน้าของหวังทงก็ล้วนมารวมตัวกันที่นี่
คนเหล่านี้มากินอาหารกลางวันกันที่จวนหวังทงก่อนมารวมตัวกันที่นี่ ตามปกติที่ผ่านมา ทุกปียามนี้ทุกคนจะกินเลี้ยงกันอยู่ในจวน จากนั้นตอนบ่ายก็จะคุยกันสักพักก่อนจะไปเดินเล่นของตนเอง วันนี้ทุกคนคิดว่าคงเป็นเหมือนเดิม แม้ว่าไม่เห็นหวังทง หากทุกคนก็คุยกันออกรสออกชาติ รอจนหวังทงมาจึงพากันเงียบ
“เมื่อเช้าเมืองหลวงมีสารลับมา เป็นราชโองการลับจากฝ่าบาท พวกเจ้าไม่ต้องลุกขึ้นรับราชโองการ ข้าเป็นตัวแทนถ่ายทอดก็พอ”
หวังทงกล่าวน้ำเสียงจริงจัง ทุกคนล้วนจ้องมาด้วยความตั้งใจรอฟัง หวังทงกล่าวว่า
“น่าจะราวช่วงสิ้นปี ฝ่าบาทเรียกใต้เท้าเซินเข้าเฝ้า ใต้เท้าเซินทูลฝ่าบาทว่า ตำแหน่งผู้บัญชาการองครักษ์เสื้อแพรของลั่วซื่อกงตอนนี้ไม่อาจขยับได้ เพราะตอนนี้ตำแหน่งสำคัญในราชสำนักล้วนเป็นคนจางซื่อเหวย ลั่วซื่อกงก็เป็นคนที่จางซื่อเหวยเสนอแต่งตั้ง หากแตะต้องลั่วซื่อกง เกรงวาจะทำให้ทุกคนเกิดความระแวง จางจวีเจิ้งป่วยจากไป จางซื่อเหวยไปไว้ทุกข์ ครึ่งปีมานี้ ตำแหน่งมหาอำมาตย์เปลี่ยนไปแล้วสองคน มาถึงคนที่สามนี้ จิตใจทุกคนล้วนสั่นคลอน ตอนนี้ไม่อาจทำให้เป็นที่สะเทือนขวัญได้ อย่างไรก็คงต้องให้นิ่งไว้ก่อน!”
ได้ยินหวังทงกล่าวเช่นนี้ ในห้องก็เอะอะเสียงดังขึ้นทันที ซุนต้าไห่โมโหกล่าวว่า
“ใต้เท้าสร้างความชอบมากมายเช่นนี้ ที่ผ่านมายังช่วยเซินสือหังไม่น้อย ครั้งนี้กลับเป็นเขาที่ออกหน้ามาขัดขวางใต้เท้าได้อย่างไร พวกขุนนางบุ๋นนี่ช่างเชื่อถือไม่ได้แม้แต่คนเดียว”
“เหลวไหล จางซื่อเหวยขวาง เซินสือหังก็ขวาง เหมือนว่าใต้เท้าเข้าเมืองหลวงจะไปแย่งตำแหน่งมหาอำมาตย์พวกเขางั้นแหละ”
เป็นหม่าซานเปียวที่อารมณ์คุกรุ่นกว่าผู้ใด มีแต่หยางซือเฉินที่มาจากจวนเซินนิ่งสงบได้มากกว่ากล่าวว่า
“ใต้เท้าเซินทำงานรอบคอบ หากไม่ถึงยามจำเป็นจริงย่อมไม่ล่วงเกินผู้ใด เขากล่าวเช่นนี้ก็ย่อมมีเหตุผลของเขา”
แต่ว่าคำอธิบายนี้ไม่มีผู้ใดยอมรับฟัง แม้แต่ไช่หนานที่มองในภาพรวมมาตลอดยังกล่าวว่า
“หรือใต้เท้าหวังทูลฝ่าบาท ขอให้ฝ่าบาทออกหน้า นิสัยอย่างเซินสือหัง หากฝ่าบาทตัดสินพระทัย หรือเขากล้าขัด”
เจ้าคำข้าคำ ล้วนโมโหยกใหญ่ หวังทงยิ้มมองรอบๆ แต่ละคนในห้องท่าทีต่างกัน แต่ล้วนหวังดีกับตนเองทั้งสิ้น เขามองสารลับในมือ ยกขึ้นแกว่งไปมา ในห้องก็เงียบกริบทันที หวังทงกล่าวว่า
“สารลับจากฝ่าบาทกระจ่างชัด ทรงให้ข้าอยู่เทียนจินไปอีกสักสองสามเดือน หากลั่วซื่อกงรู้ดีชั่ว ก็ให้เขาเปลี่ยนตำแหน่งไปที่อื่นที่ดีได้ หากไม่รู้ดีชั่ว ก็ย่อมหาทางลงโทษให้เขาไปให้ไกลๆ ถึงตอนนั้นค่อยมีราชโองการแต่งตั้งข้าเป็นผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพร”
“ว่าละว่าฝ่าบาทย่อมไม่ลืมใต้เท้า ย่อมทรงจดจำได้เสมอ”
“ฝ่าบาททรงพระปรีชายิ่งแล้ว ลั่วซื่อกงปฏิบัติหน้าที่ในสำนักองครักษ์เสื้อแพรมานานหลายปี เป็นคนฉลาด เหตุใดจะคิดไม่ได้ถึงเรื่องนี้ หากเขาคิดไม่ได้ เราค่อยส่งคนไปบอกกล่าวกก็ได้”
ได้ยินหวังทงกล่าวเช่นนี้ ทุกคนก็แย่งกันวิพากษ์วิจารณ์ หวังทงยกมือขึ้นให้ทุกคนเงียบก่อน กล่าวว่า
“ข้าตัดสินใจแล้ว วันที่ 20 เดือนหนึ่งออกเดินทางไปรับตำแหน่งที่เมืองหลวง”
“ใต้เท้า! รีบร้อนไปไย เทียนจินยังมีอีกหลายเร่องที่ยังจัดการไม่เรียบร้อยดี ยังต้องการใต้เท้ามาจัดการให้เหมาะสม ไปเร็วเช่นนี้ ช่าง……”
“ทุกอย่างในเทียนจินล้วนมีระเบียบปฏิบัติชัดเจน ขอเพียงทำตามที่วางไว้ก็พอ ไม่ว่าผู้ใดมาดูแลก็ไม่เกิดเหตุผิดพลาด อันใด หน่วยหนึ่งและสองของกองกำลังหู่เวยก็ล้วนมีหัวหน้าหน่วยบังคับการ นี่เป็นพระประสงค์ฝ่าบาท ปฏิบัติหน้าที่ไปตามเดิมก็พอ”
ฟังหวังทงกล่าวจบ ในห้องก็เงียบลง ทุกคนล้วนฟังออกว่าหวังทงตัดสินใจจะไปแล้ว ลำดับต่อมาก็แค่จัดการเรื่องต่างๆ อย่างไรเท่านั้น
“กองกำลังหู่เวยก็จัดการไปตามระเบียบเดิม หัวหน้าใหญ่กองกำลังหู่เวยเป็นข้า ไม่รู้ว่าไปเมืองหลวงครานี้จะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างไร นายกองไช่คงอยู่เหมือนเดิม ดูแลเรื่องนี้ พอข้าไปแล้ว ก็จะเลื่อนจางซื่อเฉียงเป็นนายกองพันองครักษ์เสื้อแพรเทียนจิน ดูและการทำงานที่เทียนจิน ร้านสามธารา ร้านประกันภัยและร้านเงินและการค้าที่ร่วมทุนอื่นๆ ที่มีรากฐานอยู่เทียนจินก็ให้เป็นไปตามเดิม โรงช่างและโรงต่อเรือก็เหมือนเดิม เทียนจินไม่ไกลจากเมืองหลวง หากมีเรื่องตัดสินใจไม่ได้ ก็ให้ส่งม้าเร็วไปถามข้าก็ได้”
ทุกคนเงียบกริบ แต่ความคิดนั้นแตกต่าง ที่หวังทงว่ามาเมื่อครู่ ไช่หนานเหมือนเดิม หลี่หู่โถวและถานปิง ลี่เทา ซุนซิง อยู่ในตำแหน่งกองกำลังหู่เวยเหมือนเดิม จางซื่อเฉียงเลื่อนตำแหน่ง การค้าอื่นๆ เหมือนเดิม โรงช่างและโรงต่อเรือเหมือนเดิม หลายคนในห้องล้วนได้รับการจัดสรร แต่การจัดสรรนี้มีอีกหลายคนที่ไม่ได้กล่าวถึง จะจัดสรรอย่างไร ทุกคนก็กำลังเริ่มคิด
หวังทงกวาดตามองไปรอบๆ เห็นทุกคนแม้ว่ามีข้อสงสัยแต่ไม่มีใครถามออกมา เห็นได้ว่ารอการจัดสรรของหวังทง ปฏิกิริยาเช่นนี้ทำให้หวังทงพอใจมาก เขาหยุดไปครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวว่า
“ซุนต้าไห่ตามข้าไปเมืองหลวง นอกจากถานปิงและถานหั่วสองคนที่มีงานต้องทำแล้ว คนตระกูลถานทั้งหมดตามข้าไปเมืองหลวง ทหารส่วนตัวและทหารม้าที่ไม่ได้สังกัดกองกำลังหู่เวย ก็ให้นับเป็นคนของข้า ติดตามข้าไปเมืองหลวง ท่านหยางหากจะเข้าร่วมสอบปีหน้า ก็ติดตามข้าไปเมืองหลวงได้”
ได้ยินหวังทงกล่าวจบ ทุกคนก็เข้าใจทันที ทุกคนล้วนได้รับการจัดสรร คนที่อยู่เทียนจินต่อ ก็มีหน่วยงานในเทียนจินและสำนักองครักษ์เสื้อแพรที่มีจางซื่อเฉียงดูแล และไช่หนานก็จะดูแลคุมกองกำลังหู่เวย ร้านสามธาราและร้านค้าต่างๆ ก็มีเถ้าแก่แต่ละร้านดูแล ที่อื่นที่เหลือก็ล้วนมีผู้ดูแลหลัก แต่ละฝ่ายไม่มีอำนาจควบรวมทั้งหมดไว้เพียงผู้เดียว ดูแลเพียงงานของตนเอง สุดท้ายยังคงขึ้นตรงต่อหวังทง คนที่อยู่เทียนจินต่อล้วนได้เลื่อนตำแหน่ง คนที่ไปเมืองหลวงก็ใช่ว่าจะไม่ได้ ซุนต้าไห่เดิมมีตำแหน่งองครักษ์เสื้อแพร ไปเมืองหลวงครานี้ จางซื่อเฉียงได้ตำแหน่งนายกองพัน เขาเองก็ย่อมได้ตำแหน่งนายกองพันเช่นกัน
ส่วนขุนพลตระกูลถานเดิมก็เป็นทหารติดตามหวังทง หม่าซานเปียวที่เป็นหัวหน้าคุมทหารม้าก็กลายเป็นหัวหน้าคนงานของหวังทง สำหรับเขาแล้วอย่างไรก็ย่อมได้ ตระกูลหม่าตอนนี้ผูกติดอยู่กับหวังทงอย่างสมบูรณ์แล้ว ไม่ขอคิดเป็นอื่น ขอเพียงติดตามหวังทง หวังทงย่อมไม่เอาเปรียบ
เสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังขึ้นเบาๆ ได้ยินไช่หนานพูด ทุกคนก็เงียบ ไช่หนานกล่าวอย่างกังวลว่า
“หากใต้เท้าไปดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการองครักษ์เสื้อแพรที่เมืองหลวง ก็ไม่เป็นไร แต่ตอนนี้ไปเป็นรองผู้บัญชาการองครักษ์เสื้อแพร ขุนนางบุ๋นและลั่วซื่อกงย่อมต่อต้านใต้เท้า ในเมื่อฝ่าบาทมีพระดำรัสในสารลับว่าให้ท่านจัดการเรื่องที่เทียนจินให้เรียบร้อยก่อน ไยใต้เท้าไม่ทำตามนั้น!?”
ได้ยินไช่หนานกล่าวเช่นนี้ ทุกคนก็เห็นด้วย หวังทงยิ้มกล่าวว่า
“ไม่ต้องกังวลมากเช่นนั้น ลั่วซื่อกงกล้าวางตัวเป็นผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพรต่อหน้าข้าหรือ หากเขารู้งานดี ย่อมมีชีวิตสงบสุขได้อีกหลายเดือน หากเขาไม่รู้ดีชั่ว คงไม่ได้สงบสุขแม้เพียงวันเดียว”
คนในห้องพากันฮาครืนำหวังทงกล่าวอีกว่า
“ตอนนี้ตำแหน่งรองผู้บัญชาการองครักษ์เสื้อแพรยังไม่มีข้าไปดำรงตำแหน่ง ย่อมมีงานที่ต้องการคนจัดการมากมาย ในเมื่อข้าเป็นคนที่ฝ่าบาทไว้วางพระทัย ก็ย่อมต้องรีบไป แบกรับภาระนี้เอาไว้”
ได้ยินหวังทงกล่าวเช่นนี้ ทุกคนก็ไม่อาจกล่าวอันใดได้ หวังทงตบมือกล่าวว่า
“ปีนี้แม้ไม่มีการฝึกนอกด่าน แต่พวกเจ้าก็ไม่อาจผ่อนปรนการฝึกซ้อม ทุกคนทำงานของตนเองไป ข้าไปดำรงตำแหน่งที่เมืองหลวง พวกเจ้าต้องการให้ช่วยอันใด ก็ย่อมมีคนคอยส่งข่าวไปได้ นายกองไช่ ซุนต้าไห่และจางซื่อเฉียงอยู่ก่อน!”
ทุกคนล้วนกำลังคิดเรื่องของตน พากันลุกขึ้นอำลา รอจนทุกคนออกไป สีหน้าหวังทงก็มิได้ผ่อนคลายดังเดิม กล่าวว่า
“รบกวนนายกองไช่ร่างฎีกา เขียนสิ่งที่ข้าพูดเมื่อครู่ลงไป ส่งม้าเร็วนำไปเมืองหลวงให้เร็วที่สุด”
ไช่หนานพยักหน้า หวังทงเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวว่า
“รบกวนนายกองไช่เขียนจดหมายถึงจางกงกงและโจวกงกงด้วย ใช้วาจาเจ้าบอกถึงความคิดข้า ส่งไปพร้อมกัน ข้ากังวลว่าไปรับตำแหน่งเมืองหลวงครั้งนี้ พวกเขาจะเข้าใจผิดว่าข้าไม่พอใจ คงไม่ดีเท่าไร”
“ใต้เท้าหวังรอบคอบไปแล้ว แต่ระวังหน่อยก็ดี ข้าจะไปเขียนเดี๋ยวนี้”
หวังทงยิ้มพยักหน้า กล่าวกับซุนต้าไห่ว่า
“ตอนนี้คลังเงินเป็นเจ้าดูแล ในมือพวกเราสามารถมีเงินใช้ได้ทั้งหมดเท่าไร?”
“ใต้เท้าถามถึงเงินจากร้านสามธาราพวกนั้นหรือ ค่าเช่าร้านค้าในเทียนจินแต่ละแห่งนับรวมด้วยหรือไม่?”
ซุนต้าไห่ถามอย่างรอบคอบ หวังทงกล่าวเสริมว่า
“ไม่ว่าเงินเพื่อการใด เงินที่สะสมอยู่ในมือพวกเรา สามารถนำไปใช้ได้ตามใจ เจ้าคำนวณมาให้ข้าให้หมด”
ซุนต้าไห่ก้มคำนับ ไม่กล่าวอันใด เดินไปที่โต๊ะหนังสือของหวังทงฉีกกระดาษออกมา เขียนตัวเลขลงไป จากนั้นก็พับใส่อุ้งมือส่งไป หวังทงยิ้มส่ายหน้า เปิดกระดาษออกดู ถึงกับอึ้งไป เงยหน้าถามซุนต้าไห่ว่า
“มีมากขนาดนี้เลยหรือ!?”
“เรียนใต้เท้า มากขนาดนี้จริง เงินทองเข้าออกทุกวัน ล้นเป็นข้าน้อยเป็นคนสรุปรวมยอดในแต่ละวัน จดจำแม่นยำ ย่อมไม่ผิดจากนี้”
หวังทงมองกระดาษในมือยิ้มส่ายหน้า กล่าวงงๆ ว่า
“ไม่ค่อยได้สนใจการค้าเท่าไร คิดไม่ถึงว่าสะสมไว้มากมายมหาศาลเพียงนี้แล้ว ต้าไห่ เงินทุนในร้านประกันภัยกับร้านเงินนับรวมอยู่ด้วยแล้วยัง!?”
“เรียนใต้เท้า นี่นับแค่ในคลังเงินเท่านั้นขอรับ เงินพวกนั้นขยับไม่ได้ ดังนั้นจึงไม่ได้เอามานับด้วย”
หวังทงยิ้มพยักหน้า ลองนับดู ใช้นิ้วดีดกระดาษ กล่าวว่า
“เหลือให้จางซื่อเฉียงไว้ใช้สองล้านตำลึง ที่เหลือนำไปเมืองหลวง!”
ฟังน้ำเสียงหวังทง จางซื่อเฉียงกับไช่หนานอดไม่ได้มองไปบนมือหวังทง มีเงินเท่าไรกันแน่ เหตุใดเหลือไว้สองล้านจึงเหมือนว่าไม่มากเท่าไร