Skip to content

องครักษ์เสื้อแพร 604

ตอนที่ 604 บางตระกูลยินดี บางตระกูลกลัดกลุ้ม

“นายกองพันต่งเป็นคนละโมบ แต่เรื่องใหญ่ระดับนี้คงไม่กล้าเลอะเลือน แต่คนที่ใส่ยาในแมวน้ำนั่นก็รับเงินคนอื่นมาลงมือ เรื่องอื่นๆ ล้วนไม่รู้อันใด”

ณ ตำหนักพระสนมเอกเจิ้ง เรือนที่ให้ขันทีพักเมื่อก่อนหน้าถูกทำให้ว่างแล้ว แม้ว่าหลายคนสงสัย แต่พระสนมก็เป็นนายตำหนักนี้ ทุกคนล้วนฟังคำสั่ง

ฮ่องเต้ว่านลี่พระราชทานของให้พระสนมเอกเจิ้ง ยกเข้ามาโดยขันทีร่างกำยำหลายคน คนของพระสนมเอกเจิ้งก็สงสัย หากก็ไม่กล้าถาม

จางจวีเจิ้งจากไป ฮ่องเต้ว่านลี่รีบส่งจางหงจากสำนักส่วนพระองค์ไปจัดการพิธีศพ ข่าวจากตำหนักฉือหนิงกงว่าไทเฮาฉือเซิ่งไล่บ่าวรับใช้ทั้งหมดออกไป เก็บตัวเงียบอยู่ครู่หนึ่ง ข่าวจากสำนักส่วนพระองค์ว่า เฝิงเป่าให้คนยกเครื่องเขียนพู่กันมา คิดจะเขียนอักษร แต่ก็เขียนพลาดไปหลายแผ่น สุดท้ายโยนพู่กันลงพื้น……

นอกวัง วังหลวง หลายแห่งทั่วหล้า พอได้ยินข่าวนี้ ไม่รู้ว่ามีปฏิกิริยาเช่นไร ฮ่องเต้ว่านลี่เสด็จห้องทำงานในสำนักส่วนพระองค์ได้มีพระดำรัสกับขันทีใหญ่หลายคนที่นั่น จากนั้นจึงได้เสด็จยังตำหนักพระสนมเอกเจิ้ง

เทียบกับคนอื่นที่มีสีหน้าหนักใจแล้ว สีพระพักตร์ฮ่องเต้ว่านลี่เห็นได้ชัดว่าผ่อนคลายอย่างมาก พวกหวังทงเข้าวังมาเตรียมการเคร่งครัด ถึงตอนนี้ ฮ่องเต้ว่านลี่จึงเพิ่งสนใจจะถามถึงสาเหตุ

ข่าวจากสำนักรักษาความสงบไปถึงเทียนจินตลอด ก่อนหน้านี้ไม่นานนัก นายกองพันองครักษ์เสื้อแพรต่งช่วงสี่แห่งซานตงมาขอพบ ทำให้หวังทงรู้ข่าวด่วนว่าในเมืองหลวงว่าใกล้วิกฤตแล้ว แต่หวังทงคิดเสมอว่าควบคุมได้ จนกระทั่ง จางเฉิงให้คนส่งข่าวมาเทียนจิน

มีการเปลี่ยนองครักษ์และขันทีในวัง ฮ่องเต้ว่านลี่ไม่อาจควบคุม ทำให้หวังทงคิดแล้วรู้สึกว่าสถานการณ์เริ่มเลวร้ายที่สุดแล้ว

“กระหม่อมเดาว่า สิ่งที่พวกโจรชั่วต้องการทำนั้น ดีไม่ดีก็จะอาศัยโอกาสที่ท่านจางจากไปลงมือ เพราะพอท่านจางจากไป ช่องว่างมีมากมายเหลือเกิน สิ่งที่เหลือไว้ก็มากมายเหลือเกิน ไม่รู้ว่าคนจับจ้องกันมากเท่าไร ไม่รู้ว่าคนคิดครองมากเท่าไร ต่างคนต่างดูท่าทีกัน ต่างกันต่างหวังแย่งชิง ย่อมเกิดเหตุวุ่นวาย โจรชั่วย่อมอาศัยจังหวะวุ่นวาย จับปลาในน้ำขุ่น”

ได้ยินหวังทงวิเคราะห์จบ สีพระพักตร์ฮ่องเต้ว่านลี่ก็เคร่งเครียดขึ้น ทรงเช็ดปืนสั้นในมือด้วยผ้าขนสัตว์ก่อนจะโยนลงไปอีกด้าน ตรัสน้ำเสียงไม่พอใจว่า

“ใต้หล้านี้เป็นของเรา แต่เราดูแล้วเหมือนเป็นของท่านจาง สะเทือนเขา ใต้หล้าก็สะเทือนตาม กลับไม่คิดถึงเราบ้าง”

วาจาเหมือนเสียดแทงเจ็บปวดพระทัยหนักหนา หวังทงกระแอมในลำคอกลั้นเสียงหัวเราะ ลี่เทากับพวกซุนซิงก็หันหน้าหนี หากวาจาบ่นของฮ่องเต้ว่านลี่เริ่มเปลี่ยนเป็นกังวลว่า

“หวังทง หรือว่าพวกโจรชั่วกล้าเข้ามาก่อเรื่องในวังกัน เราอยู่ที่นี่ พระสนมก็อยู่ เสด็จแม่ก็อยู่ พวกเรามีแค่สิบกว่าคนเท่านั้น……”

“ฝ่าบาทอย่าได้เป็นกังวล โรงฝึกทหารหลวงทางเหนือวังมีองครักษ์ฝ่ายในของสำนักอาชาหลวง ในวังมีองครักษ์พร้อมอาวุธหลายร้อย ยังมีกองทัพเมืองหลวงและทหารหน่วยต่างๆ องครักษ์เสื้อแพรก็ยังมีกำลังพอ มีกำลังพวกนี้อยู่ ในวังนอกวังแม้ว่าเกิดเหตุใด ก็คงปราบปรามได้อย่างรวดเร็ว!!”

ได้ยินหวังทงให้ความมั่นใจเช่นนั้น ฮ่องเต้ว่านลี่ก็ผ่อนลมหายใจยาว จางเฉิงข้างๆ รับคำต่อว่า

“ฝ่าบาท หวังทงกล่าวได้มีเหตุผล เพราะจางจวีเจิ้งกุมอำนาจปกครองมานาน พอเขาจากไป ทุกคนก็หวั่นไหวไร้หนทาง ในใจไม่อาจสงบ หรืออาจถูกคนชั่วเข้าแทรกแซง รอให้แต่งตั้งมหาอำมาตย์คนใหม่ก่อน ย่อมสงบลงได้”

ฮ่องเต้ว่านลี่พยักพระพักตร์ ขยี้ฝ่ามือไปมา เริ่มครุ่นคิด เป็นผู้ใดกันที่จะมาแทนที่จางจวีเจิ้ง หวังทงลังเลไปครู่หนึ่งก่อนจะทูลว่า

“ฝ่าบาท แม้ว่าไม่ต้องกังวล แต่พวกกระหม่อมเข้าวังมาอารักขาก็เพราะเป็นห่วง ช่วงก่อนหน้านี้สำนักรักษาความสงบสืบคดีพวกนิรนามถูกคนขวางไว้ พวกนิรนามเข้าวังมา ก็เป็นขันทีทำงานในวัง ไว้ใจได้หรือไม่ก็ไม่อาจบอกได้ อีกเรื่อง นอกวังวุ่นวาย ย่อมกระทบต่อในวัง องครักษ์และทหารกองต่างๆ แม้ว่าภักดี แต่ก็ต้องระวังคนฉวยโอกาสก่อเรื่อง ในยามไม่ปกตินี้ เหตุเล็กน้อยก็ย่อมกลายเป็นเหตุใหญ่ได้ ฝ่าบาทไม่อาจชะล่าพระทัย”

ได้ยินหวังทงกล่าวเช่นนี้ สีพระพักตร์ฮ่องเต้ว่านลี่ก็เคร่งเครียด ตรัสอย่างกังวลว่า

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พรุ่งนี้เรายังต้องออกประชุมขุนนางหรือไม่? จะมีคนลงมือระหว่างทาง……”

“ฝ่าบาท อันนี้กังวลเกินไป เมื่อครู่กระหม่อมบอกว่าโจรชั่วอาจฉวยโอกาส กลางวันแสกๆ ในวังรักษาการแน่นหนา โจรชั่วจะกล้าลงมือได้อย่างไร อย่างไรฝ่าบาทก็เสด็จแค่ที่นี่ไปยังตำหนักฉือหนิงกงกับหอประชุมเหวินเหยียนเก๋อเท่านั้น ไปประชุมที่นั้น ไม่น่าเกิดเหตุอันใดระหว่างทางเหล่านี้ กระหม่อมขอกล่าวล่วงเกิน หากโจรชั่วกล้าลงมือจริง เกรงว่าคงลงมือไปนานแล้ว ไยต้องรอนานเช่นนี้”

วาจาสัตย์จริงนี้ไม่อาจปลอบใจได้ ฮ่องเต้ว่านลี่หัวเราะแหะๆ หวังทงก้มหน้าตรวจอาวุธต่อ จางเฉิงข้างๆ แทรกขึ้นว่า

“ฝ่าบาทวางพระทัยได้ หวังทงเข้าวังมาก็เพื่อถวายอารักขาฝ่าบาทให้ปลอดภัย กระหม่อมกำลังคิดว่า พวกนิรนามกับเรื่องยาแมวน้ำมียาพิษนั่น อาจไม่เกี่ยวกัน อาจแค่ต้องการลงมือกับจางจวีเจิ้งเท่านั้น”

*************

จางจวีเจิ้งล้มป่วยจากไป คนที่ใส่ใจเรื่องในเมืองหลวงต่างรู้กันในทันที เสนาบดีกรมทหารจางซื่อเหวยก็ได้ยินมา

ตอนเขารู้ข่าว สีหน้าจางซื่อเหวยเศร้าโศก พอยืนขึ้นมองออกไปนอกหน้าต่าง ก็ยืนนิ่งไม่ขยับ คนรับใช้ในห้องมองหน้ากันไปมา นายท่านเสียใจมาก!

ตอนจางจวีเจิ้งยังอยู่ หากปวดหัวตัวร้อน บรรดาขุนนางใหญ่น้อยล้วนแย่งกันส่งของขวัญเยี่ยม เพื่อหาทางใกล้ชิด หากตอนนี้ป่วยตายไป ประตูจวนกลับเงียบเหงาอย่างมาก แม้ว่ารอเตรียมการให้คนเข้าเคารพศพ แต่ทุกคนก็รู้แก่ใจว่า เมื่อคนจากไป น้ำใจย่อมแห้งเหือด

หากแม้แต่จางซื่อเหวยและเซินสือหังที่เป็นศิษย์ใกล้ชิดท่านจางที่สุดก็ยังเป็นเช่นนี้ ทุกคนย่อมไม่ต้องพูดอันใดอีก……

“นายท่าน กู้เซี่ยนเฉิงขอพบ”

ได้ยินพ่อบ้านรายงาน จางซื่อเหวยยังคงมองออกไปนอกหน้าต่าง ไพล่มือไม่ขยับ พ่อบ้านด้านหลังนิ่งไป ก่อนจะสอบถามต่อว่า

“นายท่าน ยามนี้ กู้เซี่ยนเฉิงมาเยือนพูดเหลวไหลอีก ข้าน้อยจะไล่กลับไป?”

สีหน้าจางซื่อเหวยมีรอยยิ้มเล็กน้อย มองออกไปนอกหน้าต่างอย่างสบายใจ ได้ยินคำถามครั้งที่สองของพ่อบ้านก็หันหน้ามา สีหน้าเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม กล่าวว่า

“ไม่ต้อง เชิญไปพบข้าที่ห้องหนังสือละกัน!”

พ่อบ้านรีบรับคำ ตอนออกไป ในใจก็งง คนเช่นกู้เซี่ยนเฉิง เหตุใดนายท่านใช้คำว่า “เชิญ”

ไม่นาน กู้เซี่ยนเฉิงก็มายังห้องหนังสือ พ่อบ้านจางซื่อเหวยถอยออกไปปิดประตูลง กู้เซี่ยนเฉิงจัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อย คำนับกล่าวว่า

“ข้าน้อยขอแสดงความยินดีกับใต้เท้า ขอยินดีกับใต้เท้า!”

จางซื่อเหวยจ้องมองกู้เซี่ยนเฉิง สีหน้าที่เคร่งขรึมในที่สุดก็เผยรอยยิ้มหลายส่วน กล่าวช้าๆ ว่า

“ตอนข้าอายุเท่าเจ้า ยังไม่กล้าเช่นเจ้า”

***************

จวนขุนนางใหญ่ในเมืองหลวงแต่ละแห่ง ล้วนคึกคักอย่างมาก เสนาบดีกรมพิธีการเซินสือหังก็เช่นกัน

ตั้งแต่พ่อบ้านยันบ่าวในบ้านล้วนรู้ว่า นายท่านชอบความสงบ หากเสียงดังเอะอะ เกรงว่าจะทำให้นายท่านโมโห สาเหตุก็ง่ายมาก เซินสือหังชอบบรรเลงพิณ เสียงพิณเบาแผ่ว ย่อมไม่อาจต้านเสียงรบกวน

คนจวนเซินชินกับความสงบ และก็ชินกับการได้ยินเสียงพิณบรรเลงแว่วมาจากด้านในเรือน

กลางวันวันนี้ มีคนรีบวิ่งเข้ามารายงานด้านใน ก็ไม่รู้ว่าข่าวอันใด เดิมเซินสือหังมีนิสัยบรรเลงพิณยามค่ำ หากวันนี้ตอนบ่ายก็บรรเลงแล้ว

แต่เสียงพิณวันนี้ต่างจากวันวาน เสียงพิณไม่ประติดประต่อกัน ฟังติดๆ ขัดๆ ทำให้คนฟังแล้วไม่สบายใจยิ่ง

ในห้องพิณยังคงปิดม่านลง เซินสือหังอยู่มุมหนึ่ง นางบรรเลงพิณอีกมุมหนึ่ง บรรเลงประสานกัน เป็นความสำราญชั้นสูง

‘ตึง’ ดังขึ้น เสียงพิณตกร่อง เซินสือหังวางมือลงบนสายพิณ สายพิณเส้นหนึ่งขาด นางบรรเลงพิณตรงข้ามกล่าวขึ้นเบาๆ ว่า

“วันนี้ขาดไปสี่ครั้ง นายท่านจิตใจไร้สมาธิ ไม่อยู่ในภาวะบรรเลงพิณ!”

เซินสือหังถอนหายใจยาว พิงพนัก เงยหน้ามองเพดาน กล่าวขึ้นน้ำเสียงไม่พอใจว่า

“ยังไม่รู้ว่าวันหน้าจะยังได้แตะต้องสายพิณไหม……20 ปีก่อนได้รู้จักท่านจาง คิดไม่ถึงว่าต้องมาจากในวันนี้ จากกันในวันนี้แล้ว!”

วาจาสุดท้าย น้ำเสียงเบาจนแทบไม่ได้ยิน นางบรรเลงพิณเงียบลง เซินสือหังเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะนั่งตัวตรง โบกมือกล่าวว่า

“เจ้าออกไปได้!!”

รับคำถอยออกไป เซินสือหังอยู่ในห้องพิณต่ออีกไม่นานนัก ก็มีพ่อบ้านวิ่งมาหน้าประตูกล่าวว่า

“นายท่าน มีคนขอพบ”

ได้ยินพ่อบ้านรายงานน้ำเสียงลังเล เซินสือหังสะดุ้งหันไปถามว่า

“เป็นคนในวังหรือ?”

พ่อบ้านปฏิเสธ เซินสือหังขมวดคิ้วกล่าวน้ำเสียงเยียบเย็น

“ก่อนหน้ากำชับเจ้าไปทำหูทวนลมหรือไง ไม่พบ!”

พ่อบ้านรีบก้มกายลง แต่ลังเลไปมากล่าวว่า

“ข้าน้อยเพียงแค่แปลกใจ ดังนั้นจึงมารายงาน……”

“แปลกอันใด?”

“เป็นหยางซือเฉินที่ถูกนายท่านขับไล่ไป ทำเรื่องเลวร้ายเช่นนั้น ยังมีหน้ากลับมา……”

เซินสือหังอึ้งไป กระเด้งตัวขึ้นจากเก้าอี้ยืนขึ้นกล่าวว่า

“อะไรนะ!!? รีบเชิญ!! รีบเชิญ!! เชิญไปห้องพิณ อย่าให้ใครมารบกวน!!”

**************

“ไม้ไผ่กับแผ่นไม้วางไว้หลังกำแพง เหล่าหลิว วันหลังไว้ใช้”

หลี่เฉวียนออกคำสั่งไปก็กวาดตามองขันทีที่กำลังทำงานกันอยู่ไป ที่นี่มีคนจับตาดูตนเองอยู่หรือไม่ เขาเองก็ไม่แน่ใจ หากสถานการณ์เริ่มเคร่งเครียด หากยังไม่มีโอกาสส่งข่าวออกไป

เขาเองก็ร้อนใจดังไฟเผา ก่อนฟ้ามืด เหล่าหลิวที่เตือนเขาก็มาอีก เหล่าหลิ่วสีหน้าตระหนกตกใจกล่าวว่า

“หัวหน้าบอกว่า พรุ่งนี้พุทธะจะจุติแล้ว พวกเราทุกคนจะได้มีวาสนาแล้ว พรุ่งนี้หลังฟ้ามืด ให้ไปรอรับสั่งที่หอบูชา”

หลี่เฉวียนคิดจะปัด หากเหล่าหลิวเอาแต่พูดไม่หยุดว่า

“หัวหน้าบอกว่าถ้าไม่ไป พลาดโอกาสแห่งวาสนานี้ หากถึงเวลาเรื่องที่พวกเรานับถือลัทธิไตรสุริยันถูกคนในวังรู้เข้าก็ย่อมมีโทษถึงขึ้นตัดหัว พุทธะจะลงมาลงโทษด้วย!!”

หลี่เฉวียนรีบยกมือขึ้นพนมกล่าวว่า

“กว่าจะรอวาสนามาถึงได้ไม่ง่ายเลย จะไม่ไปได้อย่างไร……”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version