ตอนที่ 535 กังวลเรื่องเก่า ขุนนางโกรธแค้น
“ท่านอาจารย์ขอรับ ปืนไฟโรงช่างเราทำกันแค่ 5 ตำลึงเท่านั้น อาวุธกองทัพไม่เพียงแต่คำนึงถึงประสิทธิภาพ ยังต้องคำนึงถึงราคาด้วย!”
หวังทงกล่าวว่าไม่รู้จะทำเช่นไรดี ไม่เพียงแต่แพงมาก หากกลไกจุดชนวนเช่นนี้ในยุคสมัยนี้ยังคงเป็นงานที่ยังไม่เปิดเผย ความไว้ใจได้นับว่าน้อยมาก เช่นนี้ก็ไม่ต้องเอ่ยถึงเรื่องอื่นอีกแล้ว
ได้ยินวาจาหวังทง บามองด์ไม่เอามาใส่ใจ ยิ้มแปรงปืนสั้นอยู่ตรงนั้น หากใช้ได้ก็เป็นความชอบ ใช้ไม่ได้ก็เป็นของทำเล่นยามว่าง
ในความเป็นจริง หวังทงให้ความสำคัญกับปืนไฟจุดเองนี่มากกว่าบามองด์ อย่างไรก็เป็นการปฏิวัติปืนไฟใหม่ จะขจัดความไม่สะดวกทิ้งได้อย่างไร หากทำได้ก็ย่อมเกิดประโยชน์อย่างมาก
ทางนั้นกำลังแปรงทำความสะอาดอยู่ หวังทงก็คว้ามา เขาเคยเรียนการทำปืนไฟ และมักจะไปดูที่โรงช่างบ่อยๆ รายละเอียดก็พอดูออก ดูไปกล่าวไปว่า
“ให้ไกหมุนนี้กระแทกหินไฟให้เกิดประกายไฟ จากนั้นก็จุดชนวน?”
บามองด์พยักหน้าหงึก หวังทงอึ้งนิ่งคิด ก่อนจะกล่าวว่า
“ไกหมุนนี้ละเอียดไปหน่อย จึงติดขัดง่าย หากเอาไปผูกติดกับไกปืน ให้กระแทกจุดโดยตรง……”
เขากล่าวอย่างไม่มั่นใจ หากบามองด์หยุดมือ รับคำกล่าวว่า
“สามารถใช้ผูกติดกับไกปืนจุดเชือกไฟโดยตรง ให้ข้าลองคิดดูก่อน ที่เจ้าว่ามาก็เหมือนกับปืนโจรอยู่เหมือนกัน!?”
ได้ยินดังนี้ หวังทงก็แปลกใจอยู่บ้าง ถามขึ้น
“ปืนโจรคืออะไร?”
“พวกโจรบางคนกลางคืนมีอาวุธปืนไว้ป้องกันตัว แต่ก็กลัวว่าจะจุดไฟและเกิดเสียง ดังนั้นก็จะทำโครงสร้างแบบที่เจ้าว่า ไม่มีแสงไฟจากเชือกไฟ และไม่มีเสียงสับไกปืนหมุนด้วย!”
หวังทงยิ้มโอบไหล่บามองด์กล่าวว่า
“อาจารย์ ท่านทำออกมาได้ก็จะมีความชอบใหญ่ ถึงตอนนั้นอยากได้อันใดก็ได้ทั้งนั้น!”
บามองด์หยิบปืนในมือพลิกไปพลิกมาดู ได้ยินวาจาหวังทง ก็ยิ้มกล่าวว่า
“หรือว่าข้าตอนนี้ไม่ใช่ว่าอยากได้อันใดก็ได้ทั้งนั้นหรอกหรือ ทำสิ่งของเล็กๆ น้อยๆ ออกมาให้เจ้าได้ใช้ประโยชน์จึงนับว่าเป็นเรื่องดี!”
อยู่ๆ หวังทงก็ตื่นเต้นยินดีอย่างมาก เขากล่าวอีกว่า
“ถึงตอนนั้นข้าจะหาช่างมาช่วยงานอาจารย์ สร้างโรงช่างเล็กๆ ให้ท่านโดยเฉพาะ”
************
บามองด์เบิกเงินใช้จ่ายและกำลังคนช่วยงาน หวังทงล้วนมอบให้ซุนต้าไห่ไปจัดการ เรื่องนี้เร่งร้อนไม่ได้
เพิ่งสนทนากันจบ ก็รู้ว่าการปรับเปลี่ยนกลไกนั้นไม่ง่าย กลไกการเชื่อมต่อกันต้องรับรองว่าแรงส่งจะพอดีกับการส่งไฟไปจุดชนวน ไม่ว่าตัวเหล็กหรือเรื่องอื่นๆ ก็ล้วนแต่ต้องใช้เวลาอย่างมากมาในการทำ
ส่วนเรื่องปืนโจรนั้น บามองด์รู้มาแต่ไม่เคยเห็นมาก่อน ปืนไฟเช่นนี้ล้วนแต่แอบทำกันแบบลับๆ อาจถึงขั้นพวกโจรทำกันเองก็ได้ กลไกเช่นไร วัสดุเช่นไร ล้วนไม่บอกแก่คนนอก บามองด์เป็นช่างธรรมดา หากไม่ใช่ว่าไม่มาหลายแห่ง ก็คงอาจไม่ได้ยินเรื่องเช่นนี้มาก่อนเช่นกัน
แต่ทว่า การปรับปรุงใหม๋นี้อย่างไรก็ดี หากว่าทำสำเร็จ ก็ย่อมได้ประโยชน์ใหญ่
นี่นับเป็นเรื่องน่ายินดี หลายวันก่อนเห็นว่าคนที่แผ่นดินหมิงส่งไปทุ่งหญ้าช่วยเชื่อสัมพันธ์ให้เซิงตูกูเหลิ่งนั้นล้มเหลวกลับมา
ร่วมงานเลี้ยงชาวนาวาสุคนธ์มื้อกลางวัน ตอนบ่ายก็คุยเรื่องปืนไฟกับ ฟ้าใกล้มืดแล้ว แต่ก็ยังไม่มีเวลาว่าง หลังอาหารค่ำ ก็ต้องคุยงานกับหยางซือเฉินและไช่หนาน กองทหารช่าง กองลำเลียงและโรงช่างสามธาราก็ล้วนมีรายละเอียดที่ต้องคุยกัน
ซุนต้าไห่รายงานเรื่องการล้อมพื้นที่สร้างโรงบ้าน พื้นที่ติดทะเลของเมืองซุ่นเทียนกับพื้นที่ตอนเหนือสุดของเมืองหย่ง พื้นที่นี่นี้ยังไม่มีการบุกเบิก
และยังติดกับชายทะเล หลายคนคิดว่าเป็นพื้นที่ไม่ปลอดภัย นอกจากพวกชาวประมงท้องถิ่น พวกชั้นสูงในเมืองหลวงไม่ค่อยย่ำกรายมาที่นี่นัก พวกโจรสลัดที่ก่อกวนชายทะเลอย่างไรก็เพิ่งปราบให้สงบลงได้เมื่อสิบกว่าปีมานี้เอง
การล้อมพื้นที่ทำได้ง่ายมาก เรื่องยากก็คือการหาชาวบ้านมาอยู่ การประกาศจ้างตามแรงงานในเขตปกครองเหนือ ไม่มีผู้ใดอยากจะไป ทุกคนคิดดีแล้ว อยู่เทียนจินได้ทำงานดีๆ ไม่ว่า ขอเพียงมีงานรับจ้างชั่วคราวบ่อยๆ เงินที่หาได้ก็ย่อมมากกว่าค่าจ้างแรงงานทำไร่ทำนาในโรงบ้านหลายเท่า
“ใต้เท้า เงินค่าจ้างแรงงานทำไร่ทำนาในเขตปกครองเหนือขึ้นแล้ว เพราะไม่ไปรับจ้างทำไร่ทำนาก็สามารถมาหางานรับจ้างที่เทียนจินได้ เป็นแรงงานให้พวกพ่อค้ายังสบายกว่าทำไร่ทำนามาก……”
ซุนต้าไห่ทำความเข้าใจเรื่องนี้มาอย่างละเอียด ได้ยินเช่นนี้ หวังทงก็ได้แต่ตบหน้าผากตนเองพลางยิ้มเฝื่อน สถานการณ์นี้เป็นเขาก่อขึ้นเอง ไม่อาจโทษผู้ใด
“ใต้เท้า ข้าน้อยได้ยินใต้เท้ากล่าวเมื่อวันก่อนว่า โรงบ้านพวกนี้ไม่ได้เพื่อหาเงิน แต่เพื่อสะสมเสบียง?”
เห็นหวังทงพยักหน้า หยางซือเฉินก็กล่าวว่า
“ข้าน้อยมีวิธี ไม่สู้แบ่งที่ดินพวกนี้ให้กับพวกคนในสังกัดองครักษเสื้อแพรเรา ให้นับเป็นรางวัล ร้านสามธาราเองมีร้านขายข้าวและพวกธัญพืช พวกเขามีที่นาก็ย่อมไม่ปล่อยให้รกร้าง ส่งคนในครอบครัวไปทำหรือไม่ก็อาจจ้างคนทำ เสบียงที่ผลิตได้นอกจากเก็บไว้เองแล้ว ก็ขายให้ร้านสามธารามาขายที่ร้านข้าวได้ เช่นนี้ พวกเราก็ไม่ต้องเปลืองแรงไปคอยดูแล เสบียงอาหารก็มีสั่งสมได้!”
หวังทงคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็พยักหน้าชมว่า
“ท่านหยางเสนอวิธีได้ไม่เลว องครักษ์เสื้อแพร สำนักและโรงช่างต่างๆ รวมถึงร้านค้าและโรงต่อเรือหากคนงานทำงานได้ครบปี ก็จะได้ที่ดินไป แต่คนอยู่ที่ดินอยู่ คนไม่อยู่ที่ดินก็ไม่อยู่ ยังมีผลิตผลการเกษตร ยังดึงคนงานเอาไว้ได้ วิธีนี้ไม่เลว!!”
*************
หลังอาหารค่ำ ซุนต้าไห่เข้ามารายงานอีกว่า ช่างต่อเรือ 15 คนมาจากซานตงแล้ว ตอนนี้หวังทงส่งคนไปรออยู่ที่เต๋อโจว อู๋ต้าส่งคนมาที่เต๋อโจว คนจากเทียนจินก็รับมาส่งทางเรือถึงเทียนจิน ทุกคนล้วนปฏิบัติกันจนช่ำชองแล้ว
“ใต้เท้า ช่าง 15 คนได้มอบให้นายช่างเมิ่งไปดูแลแล้ว อู๋ต้าทางนั้นมีข่าวฝากมารายงานใต้เท้า ข้าน้อยจึงได้มารายงาน”
อู๋ต้าจะมีเรื่องอันใดได้กัน หวังทงงงแต่ก็พยักหน้า,ซุนต้าไห่คำนับกล่าวว่า
“อู๋ต้าบอกว่าทำงานเพื่อใต้เท้าเขายินดีและเต็มใจ แต่น้องชายเขาและหลานๆ ก็ล้วนมีความสามารถ ขอให้ใต้เท้ารับพวกเขาเอาไว้ใช้งาน มอบอนาคตให้พวกเขาด้วย อู๋ต้าจะทำงานยิ่งตั้งใจยิ่งขึ้น”
“อู๋ต้าคงรู้สึกว่าตนเองทำงานได้ผลงานแล้ว สามารถมาต่อรองเอากับข้าได้แล้ว”
หวังทงยิ้มด่า แต่ก็นิ่งลงก่อนจะกล่าวว่า
“แต่ก็ลองพบดูก็ได้ อู๋ต้าและอู๋เอ้อร์สองพี่น้องมีชื่อเสียงในวงการนักเลงซานตงโด่งดัง แม้แต่เป้าตันเหวินยังได้ยินชื่อเสียงมานาน ดูหน่อยว่ามีความสามารถอันใดกัน พรุ่งนี้ข้าจะไปลานฝึก นำพวกเขามาด้วยก็แล้วกัน!”
ซุนต้าไห่พยักหน้าถอยออกไป หวังทงตะโกนเรียกทหารรับให้ยกน้ำเข้ามาจะล้างหน้าสักหน่อย จากนั้นก็หันหน้าเดินเข้าห้องหนังสือไป วันนี้สำนักรักษาความสงบในเมืองหลวงมีข่าวส่งมา คิดจะว่างสักหน่อยก็คงเป็นไปไม่ได้แล้ว นอกจากนอนและกินข้าว ก็ไม่มีเวลาว่างเหลืออีกแม้แต่น้อย
เมืองหลวงส่งรองเจ้ากรมพิธีการเจิ้งเฉิงไปเมืองกุยฮั่วเฉิงเกลี้ยกล่อมมเหสีสาม เจ้ากรมอาการหม่าจื้อเฉียงในที่สุดก็ถวายฎีกาเตรียมอำลาตำแหน่งกลับบ้านเกิด เสนาบดีกรมอากรดูแลเงินทองใต้หล้า และตั้งแต่สมัยฮ่องเต้เจียจิ้งช่วงหลังมา การขึ้นสู่ตำแหน่งเสนาบดีกรมอากร เข้าร่วมกุมอำนาจในสำนักเสนาบดีใหญ่ได้ถือว่ามีอำนาจมาก ตำแหน่งนี้ว่างลง ก็มีหลายคนจับตามอง
แต่คนที่เป็นตัวเลือก็มีไม่กี่คน ทุกคนล้วนรู้ดีแก่ใจ รองเจ้ากรมฝ่ายซ้ายกรมอากรสวีชิงซาน เดิมมีความหวังมากที่สุด แต่เพราะการล้มเหลวในการตั้งด่านภาษีที่เมืองชางโจว ก็ย่อมหมดหวัง กลับเป็นรองเจ้ากรมฝ่ายขวา จางเสวียเหยียนที่เอาแต่ก้มหน้าก้มตาทำงาน ปีนี้เรียบเรียงรวมเป็น ‘บันทึกบัญชีรัชสมัยว่านลี่’ ขึ้นถวาย ได้รับเสียงชมเชยมาก บัญชีเล่มนี้เรียบเรียงมาตั้งแต่สมัยฮ่องเต้หลงชิ่ง เสนาบดีกรมอากรตอนนั้นยังเป็นหวังกั๋วกวง
การตั้งใจทำงานมุ่งมั่นย่อมได้รับเสียงชื่นชม หลี่ว์วั่นไฉแอบมีจดหมายมาบอกว่าจางเสวียเหยียนมีโอกาสได้ตำแหน่งนี้ถึง 8 ส่วน นอกจากข่าวจากสำนักรักษาความสงบแล้ว สวีกว่างกั๋วเองก็มีจดหมายมา
ในจดหมายกล่าวว่า เมืองหลวงตอนนี้พวกขุนนางบัณฑิตมีเสียงไม่พอใจกับระบบภาษีและเกณฑ์แรงงานใหม่พวกที่แอบเก็บซ่อนที่นาไว้ก็คือครอบครัวคนเหล่านี้ นอกจากนี้ขุนนางท้องที่แม้ว่าจะดำเนินนโนบายตามระบบภาษีและเกณฑ์แรงงานใหม่ แต่ก็ยังไม่เป็นที่พอใจของขุนนางตรวจสอบ จำนวนภาษีหากไม่ได้ถึง 9 ส่วนก็จะถูกสอบ ตัดสินผลงานให้ระดับที่ค่อนข้างต่ำ หากหาเงินให้ราชสำนักได้มาก ก็จะหาเงินให้ตนเองน้อยลง ผู้ใดอยากทำกัน ยังมีพวกไร้สามารถ ปกติให้ลอยไปลอยมาสบายๆ ก็ได้อยู่ แม้แต่ความสามารถในการละโมบยังไม่มี ก็ยิ่งทำให้พวกเขาไร้หนทาง
สำหรับเรื่องนี้ หวังทงก็ได้แต่ยิ้มอย่างไม่พอใจนัก ‘บันทึกบัญชีรัชสมัยว่านลี่’ กล่าวถึงหวังกั๋วกวง ทำให้หวังทงคิดถึงเรื่องหนึ่งในเมืองหลวงตอนนั้นขึ้นมาได้
พวกเด็กหนุ่มจากลานฝึกตะลุมบอนกับบุตรชายหวังกั๋วกวง สุดท้ายทำให้หวังกั๋วกวงต้องอำลาตำแหน่งกลับบ้านเกิด บุตรชายเขาก็แขวนคอตาย เรื่องนั้นเหมือนว่าเกี่ยวพันไปถึงเหอจินอิ่นที่เกี่ยวข้องเรื่องเงินทองกับลัทธิไตรสุริยัน……
คิดถึงเรื่องนี้ ในใจหวังทงก็รู้สึกไม่ปลอดภัย รังโจรอำเภอหวงโดนปราบไปพร้อมกับลัทธิไตรสุริยัน เจ้าลัทธิอย่างหวังตั๋วก็ถูกสังหารในตอนนั้นทันที ในวังก็เก็บกวาดไปรอบหนึ่ง แต่ลัทธิไตรสุริยันถูกปราบไปหมดแล้วจริงหรือ? พวกนาวาสุคนธ์ในตอนแรกที่มีร่องรอยเกี่ยวข้องกันมันคืออะไร? ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกดำดิ่ง
**********
“ท่านจาง ใต้เท้าทุกท่าน สวีชิงซานอยู่กรมอากรมาหลายปี ไม่เคยปฏิบัติหน้าที่จนเกิดข้อผิดพลาดอันใด ตำแหน่งสำคัญระดับนี้ การรักษาผลงานได้ระดับนี้เป็นเรื่องดียิ่ง ข้าน้อยคิดว่าสวีชิงซานนั้นเหมาะสม ใต้เท้าจางคิดเช่นไร?”
จางซื่อเหวยกล่าวขึ้น กล่าวจบ จางจวีเจิ้งก็สีหน้าเรียบเฉย เซินสือหังก็เงียบไปสักครู่ก่อนจะกล่าวว่า
“ใต้เท้าจาง สวีชิงซานมีเรื่องอยู่เล็กน้อย สวีกว่างกั๋ว หลานชายเขาตั้งด่านภาษีที่ชางโจวคิดจะหาช่องทาง หากบอกว่าไม่มีเบื้องหลังอย่างสวีชิงซานหนุนหลัง ผู้ใดจะเชื่อ พวกมองการณ์ไม่กระจ่าง เพื่อแสวงหาเส้นสายในวัง ทำงานได้หละหลวมเช่นนี้ หากมอบกรมอากรให้เขาดูแล ก็เป็นเรื่องที่ช่าง……”
ตำแหน่งสำคัญอย่างเสนาบดีหกกรมกอง ต้องให้ขุนนางทุกกรมกองร่วมกับเสนอชื่อ เลือกออกมา 3 คน จากนั้นให้ฮ่องเต้มีราชโองการ แต่ในราชสำนักตอนนี้ ผู้ใดก็รู้ว่าท่านจางให้ผู้ใดเป็น ผู้นั้นก็ได้เป็น
ในคณะเสนาบดีใหญ่กลุ่มเล็กๆ นี้มีอำนาจตัดสินให้ผู้ใดรับตำแหน่งเสนาบดีกรมอากร หลี่โย่วจือในฐานะเสนาบดีกรมปกครองกลับเงียบไม่กล่าวอันใด ล้วนเป็นจางซื่อเหวยและเซินสือหังแสดงความเห็น กล่าวถึงช่วงท้าย สายตาทุกคนก็มองไปยังจำงจวีเจิ้ง เขาจึงจะเป็นคนตัดสินคนสุดท้าย
“จางเสวียเหยียนเป็นคนทำงานดี!”
ท่านจางกล่าวตัดสินคนที่เลือกด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ ทุกคนคำนับแสดงการเห็นด้วย ตอนจางซื่อเหวยก้มหน้า มุมปากกระดกขึ้นเล็กน้อย