Skip to content

องครักษ์เสื้อแพร 537

ตอนที่ 537 ฝีมือจากสนามรบ คลื่นเล็กเริ่มปะทุ

อู๋เอ้อร์ยืนอยู่ระหว่างทหารที่คุมตัวมา สูงกว่าคนข้างๆ อีกครึ่งศีรษะได้ นับว่าตัวใหญ่จริง อาจจะสูงกว่าหม่าซานเปียวที่สูงที่สุดเสียด้วย

ใกล้เดือนห้า อู๋เอ้อร์กับหลานทั้งสามสวมเสื้อตัวเดียว ชายหนุ่มทั้งสามเห็นกล้ามเนื้อที่แขนทั้งสองชัดเจน ร่างกายกำยำ หากเป็นอู๋เอ้อร์คนเดียวที่มองไม่เห็นกล้ามเนื้อ แต่ทำให้รู้สึกถึงความแข็งแกร่งได้เช่นกัน

“ตระกูลอู๋ทั้งสี่นี่ก็ไม่ได้ตกระกำลำบากอันใดนี่!”

หวังทงยิ้มกล่าวขึ้น ถานเจี้ยนข้างๆ ตอบว่า

“นายท่านตอนนั้นสั่งไว้ว่า อู๋ต้าทำงานให้เรา อย่าได้ให้ครอบครัวต้องลำบาก ดังนั้นจึงแค่กักบริเวณเท่านั้น อาหารการกินล้วนเป็นเราส่งเข้าไปให้ ดูแลแบบทหารในกองทัพ ได้ยินทหารเฝ้าคุมเล่าว่า เริ่มแรกยังมีเรื่องไม่พอใจบ้าง ต่อมาก็เรียบร้อยดี พวกผู้หญิงก็รู้อยู่ พวกผู้ชายที่ชราและเด็กน้อยก็พักผ่อน ที่เหลือทั้งวันเอาแต่ฝึกฝนร่างกาย”

หวังทงพยักหน้า ก้มหน้าถามขึ้น

“อู๋เอ้อร์เจ้าว่าเจ้าชำนาญบนขี่ม้า ตอนที่คุมเจ้ามา ตลอดทางเจ้าทำไมไม่หนี น่าจะมีโอกาสอยู่นะ!”

“……นายท่านกล่าวล้อเล่นแล้ว ไม่ใช่ว่าไม่เคยหนี แม้ว่าล้มได้สองสามคน หลานๆ ข้าน้อยจะทำเช่นไร คนในบ้านจะทำเช่นไร……”

ยามนี้ ถานเจี้ยนจึงได้ยิ้มกล่าวสัพยอกว่า

“อู๋เอ้อร์เจ้าอย่าได้วางท่าเช่นนี้ต่อหน้านายท่าน เมื่อครู่เห็นทหารที่คุมตัวเจ้ามาเล่าว่า ตอนมาถึงเทียนจินหนีไปสามรอบ ล้วนไล่ตามจับกลับมาลงแส้ไปหลายที พลอยทำเอาหลานเจ้าโดนไปด้วย ครอบครัวก็ต้องทนหิว ถูกด่ามาจึงได้ยอมหยุดไม่ใช่หรือ!”

ถูกถานเจี้ยนกล่าวแฉเช่นนี้ อู๋เอ้อร์สีหน้าเก้อเขิน แม้รู้ว่าเจอคานต้องก้มหัวลง แต่หวังทงมองลงมาจากบนเวทีเช่นนี้ ไม่อาจให้เขาไม่เห็นความสามารถได้ จะไร้อนาคต จึงได้ตอบกลับไปเสียงดังใหญ่โตว่า

“นายกองท่านนี้ อู๋เอ้อร์ไร้อาวุธ พวกท่านเป็นทหารม้า ทวนยาวพร้อมม้าจะชนะได้อย่างไร หากปะทะกันซึ่งหน้า ไหนเลยจะกลัว!”

หวังทงเองก็หัวเราะ กล่าวว่า

“หลานทั้งสามเทียบกับเจ้าแล้วเป็นอย่างไร สามารถเอาชนะเจ้าได้ไหม?”

“ไม่ได้ พวกเขาสามคนเห็นการต่อสู้หลั่งเลือดมาน้อย แม้ว่าเข้ามาพร้อมกัน ก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ข้าน้อย!”

หวังทงกระโดดลงจากเวทีไม้ ตะโกนสั่งว่า

“เอาชุดเกราะไผ่และอาวุธไม้ใช้ฝึกมา ข้าอยากจะลองต่อสู้กับอู๋เอ้อร์สักหน่อย!”

คนข้างๆ พากันขอร้อง หวังทงโบกมือกล่าวว่า

“เกราะไผ่ อาวุธไม้ทำอันใดไม่ได้หรอก ไม่ต้องเป็นห่วง อู๋เอ้อร์ ข้าเก่งกล้ากว่าพวกทหารบนสนามนั่น แต่ไม่อาจสู้นายกองที่นำตัวเจ้ามาผู้นั้นได้ เข้ามาประลองกับข้าดู จากนนั้นตัดสินว่าจะจัดตำแหน่งอันใดให้เจ้า!”

วาจานี้ชัดเจน ต้องการดูความสามารถอู๋เอ้อร์ แล้วค่อยตัดสินใจ อู๋เอ้อร์อึ้งไป ก่อนจะประสานมือกล่าวว่า

“เช่นนั้นก็ล่วงเกินใต้เท้าแล้ว!”

สองฝ่ายสวมเกราะถือดาบไม้และโล่ไม้ เกราะไม้ไผ่ใช้แผ่นไม้ประกอบกัน ดายไม้ก็เป็นเหมือนทวนสั้น อู๋เอ้อร์รับมาแล้ว ก็แกว่งโล่ไปมากล่าวว่า

“ขอรบกวนเปลี่ยนเป็นดาบไม้นี่อีกด้าม”

ทหารหวังทงก็ส่งดาบไม้มาให้ ยังคิดว่าเพราะดาบไม้ไม่เหมาะกับมือ คิดไม่ถึงว่าอู๋เอ้อร์จะโยนโล่ทิ้ง เปลี่ยนเป็นดาบสองมือ

อู๋เอ้อร์สองมือกระชับดาบให้เหมาะ แกว่งชำนาญ การใช้ดาบสองมือนี้ยุ่งยากกว่ามือหนึ่งดาบมือหนึ่งโล่มากนัก หลานทั้งสามของเขามีสีหน้าตื่นเต้น พวกถานเจียงสบตากัน ล้วนไม่คิดเช่นนั้น

หวังทงส่ายหน้ากล่าวกับตนเองว่า

“พวกความสามารถการแสดงระดับชาวบ้านพวกนี้ ไม่มีประโยชน์อันใด”

สองฝ่ายปะทะดาบกัน แต่ละคนถอยหลังสามก้าวแล้วก็เริ่ม หลังถอยไปสามก้าว สองดาบของอู๋เอ้อร์ก็กวัดแกว่งราวกับกังหัน สวยงามมาก หวังทงกลับใช้โล่บังตัวก้าวเข้าประชิด

เห็นหวังทงเข้ามาใกล้ ดาบในมือซ้ายอู๋เอ้อร์ก็สะบัดหลอกล่อ มือขวาฟันลง หากถูกมือซ้ายหลอก มือขวาก็ย่อมสำเร็จ หวังทงเพียงแต่รับด้วยโล่ ก้าวขึ้นหน้าใช้โล่รับแรงไว้ เสียงโล่ดัง ดาบจ้วงแทงออกไป

พอโล่ออกรับ ดายในมือก็ฟันลงบนโล่ ดาบมือขวาก็รีบใช้มารับโล่อีกแรง ส่วนหัวและท้องเปิดช่องว่าง ถูกดาบไม้หวังทงฟันเข้าที่ท้องน้อย นั่นเป็นส่วนที่อ่อนแอที่สุด ถูกแทงเข้าใส่ อู๋เอ้อร์ถอยหลังไปหลายก้าว พริบตาเดียวก็นั่งแปะกับพื้น สองดาบร่วง หายใจไม่ออกเป็นนาน

ทหารติดตามหวังทงสีหน้าไม่พอใจ หากขุนพลตระกูลถานกลับเห็นว่าเป็นเรื่องธรรมดา กลับเป็นสามหนุ่มน้อยตระกูลอู๋ที่เบิกตาโตจ้องมอง เหมือนว่าเห็นเรื่องที่ไม่คาดคิดจะได้เห็นมาก่อน

“นายท่านฝึกมาด้วยมีครูแนะนำ ฝึกมาจากพื้นฐานที่แน่น ยังเคยออกรบเผชิญความเป็นความตายมา ไม่มีที่เรียกว่าฝีมือปลอมอันใด อู๋เอ้อร์ต่อสู้มานาน มีความสามารถอยู่บ้าง แต่พื้นฐานไม่แน่น พอจะข่มขู่คนให้กลัวได้ แต่ความสามารถเช่นนี้ เอาไว้สู้กับพวกชาวบ้านคงได้อยู่บ้าง”

ถานเจียงกล่าววิจารณ์เสียงนิ่งเรียบ คนรอบๆ ล้วนพากันพยักหน้า

สองคนเปลี่ยนเป็นทวนยาวมาประลองกันอีกครั้ง อู๋เอ้อร์กระโดดไปมา ทวนยาวในมือกวาดในแนวนอนก่อนจะพลิกฟันลง หากไม่สามารถเข้าใกล้ตัวหวังทงได้ สองฝ่ายยามเข้าใกล้กัน หวังทงเพียงก้าวแค่หนึ่งก้าว สองแขนใช้แรงแทงเข้าใส่ อู๋เอ้อร์หลบได้อยู่ แต่ก็ไม่อาจเข้าใกล้หวังทงได้

เป็นเช่นนี้อยู่หลายรอบ ก็ถูกหวังทงพบช่องโหว่า แทงเข้าใส่ทันที ตอนขี่ม้าออกรบบนสนามรบยิ่งไม่ต้องพูดถึง หวังทงแทงเข้าใส่ม้าที่ทะยานมาได้ทันที ดีที่ใส่เกราะไม้ไว้ด้านหน้า ด้านในยังบุฝ้ายไว้ด้วย จึงไม่บาดเจ็บภายใน แต่ก็เจ็บปวดจุกจนยืนไม่ขึ้น

หวังทงถอดเกราะออก ทหารรีบส่งผ้าเช็ดหน้ามาให้ หลังเช็ดเหงื่อแล้ว ก็ยิ้มหันไปมองอู๋เอ้อร์ที่ลุกนั่งได้แล้ว ถามขึ้นว่า

“คิดว่าความสามารถตนเองเป็นเช่นไร?”

อู๋เอ้อร์ยามนี้ยืนขึ้นไหวแล้ว แต่ในใจก็ยังรู้สึกเสียอยู่ นั่งก้มหน้าหมดแรง ได้ยินหวังทงถาม ก็ไม่รู้จะตอบอย่างไร ได้แต่ก้มหน้านิ่ง

“เจ้าเป็นเช่นนี้ หลานเจ้าทั้งสามก็คงเช่นกัน ฝึกกับทหารข้าสักระยะหนึ่งก่อน แก้ปัญหาความเคยชินพวกนี้ก่อนค่อยใช้งานพวกเจ้า”

การประลองได้ผลเช่นนี้ อู๋เอ้อร์ยังจะมีอันใดกล่าวได้อีก หวังทงเองก็ไม่สนใจ เดินออกจากสนามไปทันทีถานเจี้ยนที่รับหน้าที่หัวหน้าทหารติดตามและเป็นคนคุมตัวตระกูลอู๋ทั้งสี่มาก็ออกคำสั่งให้แจกชุดและอาวุธ วันนี้ก็จะเริ่มฝึกอย่างเป็นทางการ ถานเจียงเดินตามเข้ากล่าวว่า

“ใต้เท้าอวี๋กับใต้เท้าชีเคยกล่าวว่า ในสนามรบ ไม่ว่าหนึ่งทวนแทงไป หรือหนึ่งดาบแทงไป ทุกท่าล้วนต้องเอาให้ถึงที่ตาย……”

หวังทงส่ายหน้ายิ้มกล่าวว่า

“อู๋เอ้อร์มีฝีมือเล็กน้อย แต่ก็มีความกล้าหาญหลายส่วน บนสนามรบย่อมได้ใช้ประโยชน์ แต่หลังจากเข้าเมืองก็ให้ไว้คอยลอบปืนกำแพงเข้าบ้านคนอื่น แอบซ่อนตัวไร้ร่องรอย ปฏิบัติหน้าที่นักสืบก็น่าจะได้อยู่ อู๋ต้าตั้งใจปฎิบัติหน้าที่ อย่างไรน้ำใจนี้ก็ย่อมต้องให้เขา”

กล่าวถึงตรงนี้ หวังทงก็หัวเราะเยาะใส่ตัวเองว่า

“ทหารหมิงแต่ละแห่งล้วนมีแต่ทหารติดตามที่แข็งแกร่ง ทหารติดตามข้ากลับมีทุกแบบ”

เหตุเพราะทหารติดตามหวังทงผลัดเปลี่ยนกันมาจากแต่ละค่าย ค่ายหนึ่งเป็นหลัก ตอนนี้แต่ละค่ายก็ผลัดกันส่วนหนึ่ง ที่ไม่เปลี่ยนเวรก็เห็นจะเป็นลูกหลานรุ่นสองของลูกน้องหวังทง และคนเช่นอู๋เอ้อร์ที่ไม่เหมาะกับเป็นทหาร

“ไปที่เรือนไม้ทางนั้น รอพวกหู่โถวกลับมาหารือเรื่องพลปืนไฟและพลทวนยาว จะฝึกอย่างไร พลปืนใหญ่กับพลม้าก็ต้องประสานรับให้ดีด้วย……”

ขณะที่กล่าวอยู่นั้นก็ได้ยินเสียงด้านนอกตะโกนดังมาว่า

“นายท่าน นายท่าน มีเรื่องด่วน!”

มีคนแต่งกายแบบหลงจู๊ร้านค้ายืนตะโกนโบกมืออยู่หน้าค่าย พื้นที่ค่ายทหาร ไม่อาจให้คนนอกเข้าออก มีทหารยามรั้งตัวไว้ และยังมีคนวิ่งเข้ามารายงาน ได้ยินว่าร้านสามธารามีเรื่องด่วนอย่างมากมารายงาน หวังทงรู้สึกสงสัยว่าเรื่องอันใด เดินไปถึงประตูค่ายทหารถามขึ้น

“เกิดเรื่องอันใดกัน!?”

หลงจู๊ผู้นั้นจำหวังทงได้ จึงก้มหน้าส่งเสียงรายงานเบาๆ ว่า

“นายท่าน เรือลำหนึ่งถูกปล้นที่เมืองชิงโจว มณฑลซานตง ร้านเขาวางเงินประกันไว้ 5 หมื่นตำลึง กำลังมาเอาเรื่องให้ร้านประกันภัยเราจ่ายชดเชยอยู่ขอรับ!”

วาจากล่าวกันตรงๆ ก็คือมีคนถูกปล้นทางทะเล ร้านประกันภัยต้องชดใช้เงิน แต่หวังทงได้ยินแล้วก็เน้นไปที่โจรสลัดทางทะเล เสิ่นหวั่งราชาไตรธาราเปิดร้านค้าที่เทียนจินไม่ใช่หรือ ยังลงทุนในร้านประกันภัย มีคนระดับนี้อยู่ เรือมาเทียนจินยังถูกโจรสลัดปล้นอีกหรือ?

**********

“ขนมเปี๊ยะนี้สอดใส่เมล็ดสนและผลไม้แห้ง แต่ละชั้นกรอบยิ่ง อร่อยจริง!”

ฮ่องเต้ว่านลี่ยกจานพระกระยาหารว่างอยู่ในห้องหนังสือ ค่อยๆ หยิบใส่ปากชิมรส จากนั้นตามด้วยน้ำชา พยักพระพักตร์อย่างพอพระทัย แย้มพระสรวลตรัสถามว่า

“ของว่างตะวันตกจากห้องเครื่องเรา ไม่รู้ว่าใช่รสชาติที่ใช้วิธีที่หวังทงคิดทำหรือไม่ เสี่ยวเลี่ยง เราให้เจ้าสามชิ้น เอาไปให้จางปั้นปั้นด้วย ลองชิมกัน”

เจ้าจินเลี่ยงที่รอรับใช้อยู่โขกศีรษะขอบพระทัย หยิบจานมาใส่ขนมไปสองชิ้น ส่งให้จางเฉิง เหลือให้ตนเองอีกชิ้นหนึ่ง ส่งเข้าปาก เด็กๆ ชอบของหวาน แม้ว่าจะต้องแสดงท่าทางนอบน้อมอยู่ แต่ก็กินจนหน้ำตาแย้มยิ้ม

จางเฉิงแห่งสำนักส่วนพระองค์กลับเรียบร้อยกว่า ขอบพระทัยเสร็จ ก็วางไว้ด้านข้าง ยิ้มกล่าวว่า

“ฝ่าบาท ฎีกาหวังทงบอกว่าทำงนั้นส่งคนเรียนกับพวกชาวตะวันตกแล้ว เรียนเป็นเมื่อก็จะส่งมาทำขนมต่างชาติที่รสดั้งเดิมถวายฝ่าบาทพะยะค่ะ”

ฮ่องเต้ว่านลี่แย้มพระสรวลยินดี ตรัสว่า

“หวังทงจงรักภักดี จางปั้นปั้นอ่านต่อ อ่านต่อ!”

สีหน้าจางเฉิงแสดงอาการเหมือนไม่รู้จะทำอย่างไร ได้แต่ประคองฎีกาอ่านต่อไปว่า

“กรมหทารที่หนานจิง นายกองเจ้าซื่อชิงรายงานวิธีการแก้ปัญหาห้าขั้นตอน หนึ่ง เปิดรับบัณฑิต สอง ปลดระเบียบการใช้ม้า……”

ในฎีกานั้น ขอให้ หนึ่ง เปิดรับบัณฑิตทั่วไปเพิ่ม สอง ปลดระเบียบการใช้ม้า สาม ลดโทษตาย สี่เก็บภาษีบับคั้นเกินไป จึงไม่ควรลงโทษขุนนางที่คัดค้าน ขอให้ปล่อยฟู่อิ้งเจิน อ้ายมู่ เสิ่นซือเสี้ยวและเส้าหยวนเปียวและคนอื่นๆ ที่เคยต้องโทษเรื่องการไว้ทุกข์ท่านจางในครานั้น

ที่กล่าวมาในฎีกาก็เป็นเรื่องปกติ แต่ตั้งแต่จางจวีเจิ้งดำรงตำแหน่งมหาอำมาตย์บริหารแผ่นดินมา ก็มีระเบียบว่า สำนักบัณฑิตประจำอำเภอไม่ให้มีเกิน 15 คน เจานห้าที่ในสำนักต่างๆ ระดับล่าง ปฏิบัติหน้าที่ก็ห้ามใช้ม้า จำนวนคนที่ถูกโทษประหาร ทุกปีมีจำนวนระบุไว้ชัด ขุนนางท้องที่เก็บภาษีได้เก้าส่วนเป็นมาตรฐาน หากไม่ถึงเกณฑ์ล้วนต้องโทษ พวกที่คัดค้านจะถูกโทษหนัก ไม่อาจปล่อยไว้ได้

จางจวีเจิ้งเป็นหัวหน้าหมู่ขุนนางบัณฑิต ทุกคนถูกเขาควบคุมไว้ ปกติก็จะออกความเห็นในเรื่องการบริหารงานตามเขา ไม่ว่าร่วมวิจารณ์การกระทำฮ่องเต้หรือขับไล่ขุนนางคนสนิทฮ่องเต้

ตอนนี้บรรดาขุนนางบัณฑิตมีคนเริ่มออกมาต่อต้านจางจวีเจิ้ง ฮ่องเต้ว่านลี่ย่อมยินดีปรีดายิ่ง……

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version