Skip to content

องครักษ์เสื้อแพร 538

ตอนที่ 538 เสียงเงียบลงพลัน ทะเลไม่สงบ

ได้เสวยขนมที่ทำตามแบบวิธีตะวันตกไป ได้ยินจางเฉิงอ่านฎีกาแล้ว ฮ่องเต้ว่านลี่ในยามบ่ายก็ทรงพระสำราญยิ่ง

เจ้าจินเลี่ยงที่แต่ไรมาก็ล้วนอยู่ในความสงบยิ่งยามนี้ไม่สนใจว่าฎีกาอ่านอันใด สายตาจับจ้องไปแค่ขนมที่อยู่บนจานสีเงินนั้น มีขนมหลากสีสันอยู่ ต่างจากร้านขนมทั่วไป สีสันก็สดกว่า รสชาติตอนนี้ยังอบอวลอยู่ในปาก

จางเฉิงอ่านฎีกาจบ ก็เงยหน้ามองฮ่องเต้ว่านลี่และเจ้าจินเลี่ยงข้างๆ ฮ่องเต้ว่านลี่พระอารมณ์ดียิ่ง เจ้าจินเลี่ยงเอาแต่จ้องมองขนม วันนี้ทั้งสองแสดงตัวเหมือนเป็นเด็กที่ยังไม่โต

อ่านฎีกาจบ ฮ่องเต้ว่านลี่ก็หลับพระเนตรลง เหมือนว่ากำลังดื่มด่ำกับฎีกาเมื่อครู่ จานั้นก็ยกพระหัตถ์เคาะโต๊ะ ตรัสถามว่า

“จางปั้นปั้น สำนักส่วนพระองค์มีฎีกานี่ฉบับเดียวหรือ?”

จางเฉิงตอบรับ ฮ่องเต้ว่านลี่หยิบตะเกียบคีบขนมเค้กสี่เหลี่ยมใส่พระโอษฐ์ กว่าจะเคี้ยวให้รู้รสชาติได้ก็เป็นนาน ก่อนจะวางตะเกียบลง สีหน้าไร้รอยแย้มสรวล ตรัสถามขึ้นอย่างเบื่อหน่ายว่า

“จางปั้นปั้นอย่าปิดบังเรานะ? ฎีกาที่บอกเล่าถึงความร้ายกาจท่านจาง เฝิงต้าปั้นทางนั้นย่อมตีกลับไป”

“ฝ่าบาท กระหม่อมอยู่สำนักส่วนพระองค์ สำนักฎีกาหรือที่ไหนๆ ส่งฎีกมาก็ต้องมาที่สำนักส่วนพระองค์จัดไว้ก่อน ไม่ได้รับอนุญาตจากกระหม่อม เจ้าหน้าที่ไม่กล้าตีกลับไปหรอกพะยะค่ะ เห็นฏีกาเจ้าซื่อชิงนี่แล้ว กระหม่อมก็รีบตรวจสอบฏีกาที่มาถึงในช่วงนี้ ที่กล่าวถึงท่านจางมีแค่ฉบับเดียวพะยะค่ะ”

“หืม?”

ฮ่องเต้ว่านลี่เหมือนจะถามอันใด แต่ก็เงียบลง ผ่านไปนานจึงได้ตรัสถามว่า

“เรื่องเหล่านี้ในฎีกา จากรายงานของสำนักรักษาความสงบ ล้วนกล่าวว่าเป็นพวกบัณฑิตขุนนางมากที่สุด……แต่ให้ทางหนานจิงถวายฎีกาแทน เรื่องนี้เป็นธรรมเนียมมาแต่เดิม แต่พวกบัณฑิตขุนนางเมืองหลวงเหตุใดจึงไม่ตามมาด้วย ตามที่เรารู้มา หลายตระกูลขุนนางในเมืองหลวงก็ล้วนโกรธแค้นในเรื่องนี้ไม่น้อยนี่นา……”

จางเฉิงรู้สึกมีอันใดไม่ถูกต้องนัก รีบเขยิบเข้าใกล้สองสามก้าวก่อนจะทูลอย่างหนักแน่นว่า

“ฝ่าบาท ดำเนินระบบภาษีและเกณฑ์แรงงานใหม่ รายได้กองคลังและภาษีก็เพิ่มหลายเท่า เป็นเวลาที่รุ่งเรืองที่สุดในหลายร้อยปีมานี้ ความดีความชอบยิ่งใหญ่ล้นฟ้า ไม่อาจแตะต้องพะยะค่ะ เกรงว่าหากทรงทำอันใดลงไป ไทเฮาจะไม่เห็นชอบ”

ได้ยินว่า ความดีความชอบยิ่งใหญ่ล้นฟ้า ฮ่องเต้ว่านลี่ก็หรี่ตาลง ก่อนจะแย้มสรวลคว้าตะเกียบที่โยนไว้ข้างจานเงินขึ้นมา ตรัสอย่างสบายอารมณ์ว่า

“แค่ฉบับเดียว เราจะมาพลอยยินดีไปทำไมกัน ส่งให้เสด็จแม่ทอดพระเนตรดู แล้วค่อยให้ท่านจาง ให้เขาไปจัดการเอง!”

จางเฉิงส่ายหน้า ยิ้มถวายคำนับทูลว่า

“ทรงพระปรีชาหาผู้ใดเทียบม กระหม่อมจะรีบไปดำเนินการ”

“เสี่ยวเลี่ยง เตรียมเกี้ยว ไปตำหนักสนมเอกเจิ้ง……เจ้าพวกบ้าตำรา คิดว่าเราไม่เข้าใจหรือไง ท่านจางทำงาน ทำงานเส้นทางขุนนางพวกเขา ทำลายเส้นทางเงินทองพวกเขา ทำลายการเลื่อนตำแหน่งพวกเขา เลยรวมตัวกันก่อการเช่นนี้ ไม่รู้จักดูสถานการณ์ตอนนี้กันบ้าง พวกเรียนตำรามามากสมองเสื่อมกันหรืออย่างไร”

ตรัสจบ ก็เสด็จพระดำเนินออกไป เดินไปได้สองก้าว ก็หันไปคว้าขนมกลมๆ อีกชิ้นโยนใส่ปาก ตรัสน้ำเสียงอู้อี้ว่า

“ให้ห้องเครื่องทำอีกชุดส่งไปยังตำหนักสนมเอกเจิ้งด้วย”

จางเฉิงติดตามฮ่องเต้ว่านลี่ออกไป เห็นเกี้ยวไปไกลแว ก็ยืนอึ้งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะส่ายหน้ายิ้ม หันไปเห็นเจ้าจินเลี่ยงประคองกล่องจะออกไป ก็ตบท้ายทอยเจ้าจินเลี่ยว กล่าวน้ำเสียงอ่อนโยนว่า

“ให้ห้องเครื่องทำให้เจ้าเพิ่มอีกชุด จำไว้ว่าเลิกงานแล้วค่อยกิน อย่าได้ปล่อยให้มุมปากเลอะอย่างนี้”

เจ้าจินเลี่ยงยกมือเช็ดไปมา ยิ้มขอบคุณท่าทางเขินอาย วิ่งเหยาะๆ ไปยังห้องเครื่อง

**************

เรื่องราวในราชสำนัก ส่วนใหญ่เกิดจากเสียงวิพากษ์วิจารณ์ในเมืองหลวง จากนั้นก็จะให้เจ้าหน้าที่หกกรมคนใดคนหนึ่งในหนานจิงยื่นฎีกามาก บัณฑิตขุนนางเมืองหลวงก็จะตอบรับวิพากษ์วิจารณ์กัน

ทุกคนรวมกำลังกัน จากสำนักตรวจสอบ สำนักกั๋วจื่อเจี้ยน สำนักฮั่นหลินย่วนไปจนถึงหกกรมกอง ตั้งแต่ระดับเจ็ดขึ้นไป ไปถึงชนชั้นสูงในวังและขุนนางผู้ใหญ่ในราชสำนักก็จะพากันหาช่องทางที่ได้ประโยชน์แก่ตนเอง อาศัยอำนาจผลักดันหรือยับยั้ง การวิพากษ์วิจารณ์กลายเป็นการต่อสู้ทางการเมือง

นายกองกรมทหารเจ้าซื่อชิงจากหนานจิงถวายฎีกานี้ขึ้นมา ล้วนกล่าวว่าเป็นเพราะนโนบายจางจวีเจิ้ง สอดคล้องกับการวิพากษ์วิจารณ์ก่อนหน้านี้ของขุนนางที่เมืองหลวง ทุกคนรู้สึกว่าได้เวลาแล้ว

คิดไม่ถึงว่าทุกอย่างจะนิ่งเงียบ เจ้าซื่อชิงถวายฎีกาแล้ว เสียงวิพากษ์วิจารณ์ในเมืองหลวงกลับเงียบกริบ ระบบภาษีและเกณฑ์แรงงานใหม่ที่เดิมเคยเป็นที่โกรธแค้นเดือดดาลของบรรดาขุนนางในเมืองหลวงก็เงียบกริบทันทีเช่นกัน

ขุนนางระดับ6-7คนหนึ่งจะยื่นฎีกาเอาเรื่องกับขุนนางอันดับหนึ่งในตอนนี้ ต้องใช้ความกล้าหาญมาก ทุกคนหากไม่ประสานกำลังกัน ไหนเลยจะจะมีคนบ้าที่ไหนกล้าเอาชื่อเสียงตำแหน่งออกมาแลก

เมืองหลวงเดือนห้า ทุกคนล้วนรู้เรื่องฎีกาของเจ้าซื่อชิงแห่งกรมทหาร แต่ตั้งแต่ระดับต้นถึงปลายล้วนไม่มีการเคลื่อนไหว สำนักฎีกาส่งไปสำนักส่วนพระองค์ สำนักส่วนพระองค์ส่งไปยังพระหัตถ์ฮ่องเต้ ฮ่องเต้ว่านลี่ดึงไว้ไม่มีรับสั่งต่อ ข่าวที่แพร่ออกมาบอกว่า ฎีกานี้ได้ส่งไปถึงมือท่านจางอย่างเงียบๆ แล้ว

จวนท่านจางมีข่าวเล็ดรอดออกมา ท่านจางอ่านฎีกาแล้วก็ยิ้มนิ่งๆ กล่าวตามมาว่า “ให้สำนักตรวจสอบมาตรฐานขุนนางไปจัดการก็แล้วกัน!”

ที่เรียกว่า ตรวจสอบมาตรฐานขุนนาง ก็คือระบบการตรวจสอบขุนนางในราชสำนักให้ได้มาตรฐาน ทุกหกปีจัดหนึ่งครั้ง อาจจะได้เลื่อนตำแหน่งใหญ่ หรือถึงกับถูกปลดออกจากราชการ ปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 9 ก็คือปีแห่งการตรวจสอบมาตรฐานขุนนาง

คนที่รู้เรื่องนี้ก็ทำงานกันอย่างระมัดระวัง เสนาบดีกรมปกครองหลี่โย่วจือเป็นคนที่ท่านจางส่งเสริมมา ทุกคนเพื่อตำแหน่ง ยังต้องปิดตาบ้างบางเวลาจึงจะดี

ดูเหมือนจะมีคลื่นใหญ่โหมกระหน่ำ แต่กลับเป็นเพียงคลื่นลมเล็กๆ จางหายไปอย่างรวดเร็ว

**************

“เจ้าพวกเดรัจฉานจริงๆ พาญาติมิตรจากบ้านเกิดมาหลายร้อย ตอนนี้เหลือไม่ถึง 10 เรือสินค้า 7 ลำก็ถูกกวาดไปหมดเกลี้ยงเลย!”

เรือกวางตุ้งลำหนึ่งที่มีขนาดใหญ่ราวหนึ่งพันเคอกำลังจอดเทียบอยู่ริมป้อมปืนใหญ่ริมแม่น้ำทะเล พ่อค้าร่างอ้วนคนหึ่งกำลังนั่งร้องไห้คร่ำครวญอยู่ เขาสวมชุดยาวที่ขาดวิ่นแล้ว บ่าขวายังมีผ้ามัดไว้ด้วย ข้างในผ้าเต็มไปด้วยรอยคราบโลหิต

หวังทงขี่ม้าผ่านโกดังมา ก็เห็นสภาพนี้ หันไปมองรอบทิศ แม้ว่าไม่มีคนมาดูเรื่องสนุกัน แต่หัวถนนและบนเรือนก็มีคนยื่นหน้ายื่นตาออกมาดู เขาขมวดคิ้วสั่งการไปว่า

“ไล่คนมุงไปให้หมด ท่าเรือไม่ใช่ว่าขาดคนทำงานหรอกหรือ?”

ทหารติดตามรีบขี่ม้าออกไป เริ่มออกคำสั่งให้หน่วยรักษาความปลอดภัยจัดการ นี่เป็นครั้งแรกตั้งแต่ตั้งท่าเรือทะเลมาที่พ่อค้าถูกปล้น ย่อมต้องมาดูสักหน่อย

หวังทงอยู่ที่บริเวณแม่น้ำทะเล หน่วยรักษาความปลอดภัยสองร้อยกำลังอำนวยความปลอดภัยอยู่ ได้ยินเสียงเอะอะด้านหลัง พวกคนมุงทั้งหลายถูกไล่ไหมหมดแล้ว

พวกคนบนเรือหลายสิบคนบ้างก็นั่ง บ้างก็นอนอยู่แวถนั้น ร่างกายบาดเจ็บไม่น้อย ยังมีสามคนแขนขาด กำลังนอนสลบไม่ได้สติอยู่บนแคร่หาม

ทังซานกำลังขี่ม้านำหวังทงมาถึง พอเห็นสภาพน่าเอน็จอนาถตอนนี้ก็หน้ำตาเคร่งเครียด รีบเข้าไปด่าทันทีว่า

“เหล่าเหลียง หมอให้เจ้าไปตามมา อาหารก็ให้เจ้าหามา เจ้านำคนมาจัดสภาพน่าเอน็จอนาถเพียงนี้ ทำให้ข้าเสียหน้ามาก!”

ถูกทังซานด่าไป เหล่าเหลียงผู้นั้นก็ส่งเสียงฮึดฮัดไม่พอใจรายงาน กู้จื้อปินเถ้าแก่ร้านสามธาราก็ขี่ม้าตามมา รายงานข้างหูหวังทงเบาๆ ว่า

“นายท่าน เจ้าเหลียงนี้มันกลัวว่าร้านประกันภัยเราจะไม่จ่าย ดังนั้นจึงต้องแสดงท่าทางเช่นนี้……”

“……มารดามันสิ เจ้าคนพวกนี้รีบพันแผลให้ดี ไม่ไปพักผ่อนที่โรงเตี๊ยมดีๆ ออกมาทำไมกัน……”

ทังซานเดินเข้าไปชี้หน้าด่า เจ้าอ้วนร้องไห้พยักหน้า เห็นชัดว่าหวาดกลัวทังซานไม่น้อย หวังทงลงจากหลังม้ามา เข้ามาถามขึ้น

“เจ้าก็คือเหลียงเต้าเฉิง?”

เห็นกู่จื้อปินและหัวหน้าหลายคนล้อมหวังทงเดินเข้ามา เหลียงเต้าเฉิงก็เคลื่อนไหวฉับไว ปรี่เข้ามาคุกเข่าตรงหน้า ร้องไห้คร่ำครวญว่า

“ขอใต้เท้าหวัง นายท่านหวังช่วยข้าน้อยด้วย ข้าน้อยครั้งนี้เสียหายย่อยยับ……”

หวังทงไม่รู้จักคนผู้นี้ คนผู้นี้กลับรู้จักหวังทง หวังทงจ้องมองเหลียงเต้าเฉิง พลางกล่าวว่า

“มีอะไรก็กล่าวมา ไม่จำเป็นต้องแสดงท่าทางเช่นนี้ ที่ร้านประกันภัยต้องจ่ายเจ้า จะไม่ให้ขาดสักแดงเดียว ให้ลูกน้องเจ้าที่บาดเจ็บกลับไปรักษาตัวก่อน อย่าได้ทรมานจนล้มป่วยไปอีก”

หวังทงกล่าวน้ำเสียงเย็นเยียบ เหลียงเต้าเฉิงไม่กล้าแสดงต่อ รีบรับคำ ให้คนจัดการส่งกลับไป หวังทงหันไปกล่าวกับถานเจียงเบาๆ ว่า

“สั่งให้คนแยกสอบ ถามที่มาที่ไปให้กระจ่าง!”

ถานเจียงพยักหน้าออกไป ทังซานหาโกดังใกล้ๆ ทำความสะอาดเตรียมไว้แล้ว หวังทงอยู่ที่นั่นซักถามเหลียงเต้าเฉิง

“บาดเจ็บล้มตายเท่าไร?”

“..300 กว่าคน เรือ 7 ลำตามออกทะเลมาด้วย ครั้งนี้มีเพียง 52 คนตามมาเทียนจิน คนอื่นเห็นตายกันไปเป็นร้อย ที่เหลือไม่รู้เป็นหรือตาย ข้าน้อยปีก่อนต่อเรือกวางตุ้งนี้ขึ้นมา แล่นได้เร็ว หนีพวกโจรสลัดอย่างสุดชีวิต จึงหนีออกมาได้”

พวกพ่อค้าทะเลไม่ใช่คนดีอันใด พวกเขานำคนออกทะเลมาส่วนใหญ่ก็เป็นพวกเดนตาย เรือ 7 ลำ คนเยอะเช่นนี้ ยังถูกโจรสลัดเขมือบไปได้ โจรพวกนี้ย่อมไม่ใช่โจรธรรมดา

“พวกเขาขนสินค้าอันใด?”

พอถามเช่นนี้ เหลียงเต้าเฉิงก็ลังเลไปครู่หนึ่งก่อนะจกล่าวว่า

“ข้าน้อยขนผ้าฝ้าย……”

เหลียงเต้าเฉิงเป็นคนเมืองซูโจว ไปเมืองซงเจียงนำผ้าฝ้ายมาขายทางเหนือ เมืองซงเจียงมีชื่อเสียงเรื่อฝ้ายดีราคาถูก ขนส่งทางทะเลมาทางเหนือ คนเมืองหลวงและเมืองละแวกนี้นิยมฝ้ายจากซงเจียง ไม่นิยมผ้าท้องถิ่น ทำให้กำไรไม่เลว แต่ก็ไม่มากนัก

ทว่า เหลียงเต้าเฉิงก็ตอบได้ปกติดี มองไม่เห็นช่องโหว่อันใด หวังทงพยักหน้า รอตนการสอบปากคำทางตนและถานเจียงเสร็จ ก็จ่ายเงินไป

โกดังบ้างนี้มีหน้าต่าง หวังทงมองออกไปด้านนอก หรี่ตามองไปทางเสากระโดงเรือของเหลียงเต้าเฉิงมีธงสีดำ บนธงดำมีเส้นขาวแนวนอนสามเส้น จึงถามขึ้นด้วยความแปลกใจ

“เจ้าซื้อธงเรือจากราชาสามธาราหรือ? จะถูกปล้นอีกได้อย่างไร?”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version