ตอนที่ 565 หากต้องข้าอดกลั้น ศัตรูย่อมต้องอดกลั้นด้วย ต้นฤดูหนาวต้องจากเทียนจินอีกครา
“ตอนเด็กได้เข้าเรียนในสำนักศึกษาในวัง จางกงกงเคยบอกข้าว่า ในวังไม่แพ้นอกวัง ต้องระวังตัวตลอดเวลา เจ้ากราบข้านับถือเป็นบิดาบุญธรรม วันหน้าก็ไม่ต้องลำบากแล้ว แต่ต้องระวังความริษยา หากว่าไม่อาจมีชีวิตยืนยาวไปถึงวันมีวาสนา อันใดก็ไม่จำเป็นต้องกล่าวถึงอีก……”
สีหน้าโจวอี้เรียบเฉย กล่าวไปก็แกะห่อผ้าไป หยิบชุดจอกชาออกมาจากในนั้น น้ำในจอกหกออกมาไม่น้อย แต่ทุกคนก็มิได้สนใจ กลับมองเห็นว่าในจอกชามีปิ่นเงินปักอยู่ ปลายปิ่นเงินเป็นสีดำคล้ำ”
“ที่พักจางกงกงและที่นี่ พวกเราดื่มชาไม่ทดสอบพิษ นอกจากนั้น ในวังแม้ว่าในที่พักตนก็ต้องทดสอบพิษก่อนดื่ม”
ปิ่นเงินเปลี่ยนเป็นสีดำก็หมายความว่าน้ำชามีพิษ หลี่เหวินหย่วน โจวอี้และหลี่ว์วั่นไฉสามคนมารวมตัวกันที่เรือนรับรองเดี่ยวในหอรุ่งเรือง สีหน้าเคร่งเครียด
นอกห้องเป็นทหารหวังทงที่ส่งมาอารักขา รอบนอกออกไปก็ยังมีคนของศาลซุ่นเทียน สำนักองครักษ์เสื้อแพรและสำนักบูรพา กำลังจับตาดูรอบทิศอย่างระแวดระวัง
ทั่วเมืองหลวงตอนนี้ภายนอกดูไร้เหตุ แต่หลายคนไม่รู้ว่าพวกหลี่เหวินหย่วน หลี่ว์วั่นไฉและโจวอี้พบกับเหตุลอบสังหารมา พวกเขาทั้งสามอย่างไรก็ไม่ใช่ขุนนางตำแหน่งสูงมีอำนาจขนาดนั้น แต่ในทางลับแล้ว มีอำนาจตรวจสอบล้นฟ้า คนที่สั่งการได้มีทั้งจากสำนักรักษาความสงบ สำนักองครักษ์เสื้อแพรและสำนักบูราพ
“ปิดถนนทักษิณจับตัวนักฆ่าไม่ได้ พวกเขาเตรียมที่ซ่อนตัวข้างนอกไว้นานแล้ว และต้องมีคนมารอรับ จึงจับไม่ได้แม้แต่คนเดียว”
“ทางศาลซุ่นเทียนก็ปิดเรื่องนี้ไว้ ตามมือปราบมากประสบการณ์มาตรวจสอบ หากคนที่ศาลซุ่นเทียนมีมาก ข่าวอันใดก็ปิดไม่อยู่”
หลี่เหวินหย่วนกับหลี่ว์วั่นไฉแลกเปลี่ยนเรื่องราวกัน โจวอี้หยิบปิ่นเงินในจอกชาขึ้นมามองปลายที่ดำคล้ำ กล่าวว่า
“ในวัง ตั้งแต่ชงชามาจนยกมาที่โต๊ะข้า ต้องผ่านมือหลายคน ในนั้นไม่รู้ว่ามีช่องว่างมากมายเท่าไร คิดจะตรวจสอบก็ไม่อาจตรวจพบ”
หลี่ว์วั่นไฉก้มหน้านิ่งไปสักพักก่อนจะถามขึ้นว่า
“จางกงกงคิดเช่นไร?”
“จางกงกงกล่าวว่า พวกเราต้องระวังตัว ตั้งใจสืบหาพวกอยู่ที่ในลับออกมา แต่อย่าได้ออกหน้ามากนัก”
ได้ยินคำว่า อย่าได้ออกหน้ามากนัก หลี่เหวินหย่วนก็ขมวดคิ้วกำลังจะกล่าววาจา หลี่ว์วั่นไฉก็ยื่นมือมาตบบ่าเขากล่าวว่า
“ตอนนี้นโยบายจัดเก็บภาษีและเรียกแรงงานในเมืองหลวงทำให้เชื้อพระวงศ์และขุนนางใหญ่ไม่ถูกกับท่านจาง หากมีอันใดก็ย่อมมีผู้ดึงเรื่องนี้ออกมาให้เป็นเรื่องเป็นราว การออกหน้าสืบนั้นทำให้เมืองหลวงแตกตื่นไม่ว่า ยังทำให้คนที่ไม่เกี่ยวข้องต้องพัวพันไปด้วย……”
“คนสำนักรักษาความสงบเราไม่ใช่คนหรืออย่างไร?”
หลี่เหวินหย่วนขมวดคิ้วแน่น ถามอย่างไม่พอใจ หลี่ว์วั่นไฉเคาะพัดจีบในมือตนอย่างแรงหลายที ก่อนจะกล่าวว่า
“ตอนนี้หากมีแรงกระเพื่อมใดอีก ย่อมต้องเป็นคลื่นใหญ่ ตอนนี้สำนักรักษาความสงบไม่ควรเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย ใต้เท้าหวังก็ไม่อาจเข้าไปพัวกันด้วย!!”
หลี่เหวินหย่วนตบโต๊ะอย่างแรง ไม่กล่าวอันใด หากคว้ากาสุรามารินให้ตนเองดื่มพรวดเดียวหมด จากนั้นก็คว้ามาเติมให้ตนเองดื่มไปอีกหลายจอก
บรรยากาศในห้องอึมครึม โจวอี้มองซ้ายขวา ส่ายหน้ากล่าวขึ้นเบาๆ ว่า
“ไทเฮาไม่ทรงอยากให้ในวังเกิดความไม่สงบอีก ช่วงก่อนพี่หลี่ว์ถูกปรับเบี้ย สำนักรักษาความสงบถูกตำหนิ ล้วนด้วยเรื่องนี้ เรื่องตอนนี้หากเป็นเรื่องขึ้นมา เกรงว่าไทเฮาคงไม่ใช่ให้เร่งสืบ หากตำหนิพวกเราที่ก่อเรื่องแทน”
“ทางข้าเองก็มีข่าวว่า ไทเฮาทรงพระเมตตาต่อพวกปฏิบัติงานในวังมาก……ช่วงก่อนหลี่เหวินเฉวียนจะเลื่อนตำแหน่งแล้วถูกท่านจางตีกลับ ไทเฮาอาจจะรู้สึกว่าราชสำนักไม่อาจพึ่งพา ต้องใกล้ชิดในวังฝ่ายในไว้ก่อน……”
สองคนกล่าวกันคนละคำสองคำ สายตามองไปยังหลี่เหวินหย่วน แท้จริงก็เพื่อเป็นคำอธิบายให้กับหลี่เหวินหย่วน กล่าวกันต่อไม่กี่คำก็มีเสียงรายงานจากด้านนอกมาว่า มีคนจากศาลซุ่นเทียนมาพบหลี่ว์วั่นไฉ
ด้านนอกเอ่ยชื่อมา หลี่ว์วั่นไฉรับรอง จึงปล่อยให้เข้ามาพบได้ คนที่เข้ามาก้มศีรษะคำนับทุกคนในห้อง จากนั้นก็ไปกระซิบข้างหูหลี่ว์วั่นไฉ
รายงานจบ หลี่ว์วั่นไฉก็ขมวดคิ้ว โบกมือให้คนผู้นั้นออกไป พอประตูปิดลงก็กล่าวขึ้นเบาๆ ว่า
“ตรวจสอบศพแล้ว รองเท้าหนังและชุดด้านใน เป็นคนที่มาจากเมืองต้าถง มณฑลซานซี”
************
วันที่ 21 เดือนสิบ เทียนจินหิมะตกรอบแรก
ในเวลานี้ที่เทียนจินมีข่าวแพร่ออกมาว่า ใต้เท้าหวังขากลับมาบาดเจ็บอีกแล้ว ยังต้องไปพักผ่อนโรงบ้านนอกเมืองอีก คลองส่งน้ำและแม่น้ำทะเลทางนั้นปิดเดินเรือเพราะน้ำเป็นน้ำแข็งหมดแล้ว เรือไม่อาจแล่นได้ พวกพ่อค้าก็ยุ่งกับการเตรียมสินค้าเพื่อจะนำไปขายยังเมืองหลวง เมืองเหลียวโจวและเขตปกครองเหนือไม่มีเวลามาสนใจเรื่องพวกนี้
มีคนไม่น้อยรู้สึกงง กล่าวว่าใต้เท้าหวังปรากฏตัวบนท้องถนน ขี่ม้าเดินเหินได้เหมือนคนปกติ เหตุใดเป็นอีกแล้ว แต่กลับมีข่าวอีกว่า ใต้เท้าหวังเลี้ยงดูสาวงามไว้ในโรงบ้านนอกเมือง ไม่อาจผละจากมาได้ วัน ๆ เอาแต่เสพสุข เรื่องของเรื่องก็เพราะหลายวันก่อนเห็นเกี้ยวแบกเข้าไปในจวน
ทว่าบาดเจ็บอีกก็ส่วนบาดเจ็บอีก ทุกคนรู้ว่าใต้เท้าหวังไม่เป็นอันใดมาก พากันไปฝากร้านสามธาราเยี่ยมก็พอ จากนั้นก็ไม่สนใจอันใดกันอีก
หิมะเหมือนว่าจากตะวันออกไปตะวันตก ตกที่เทียนจินแล้ว ตามด้วยอำเภอเซียงเหอและเมืองทงโจวตามลำดับ วันที่เมืองทงโจวหิมะโปรยปราย มีกลุ่มคน 30 กว่าคนเข้าสู่เมืองทงโจว
ทุกปีใกล้เดือนสิบเอ็ด พ่อค้าจะรอนแรมกันมารวมตัวกันที่ทงโจว มาพักผ่อนรอที่นี่ ช่วงกลางเดือนสิบเอ็ด พ่อค้าแต่ละแห่งในเมืองหลวงก็จะมาซื้อหาสินค้าฉลองปีใหม่กันที่เมืองทงโจว
คน 30 กว่าคนนี้ก็ไม่แปลกอันใด กลุ่มนี้เข้าพักที่โรงเตี๊ยมนอกเมืองทงโจว ไม่มีผู้ใดสังเกต
คนกลุ่มนี้จ่ายหนัก เห็นก็รู้ว่าเป็นกลุ่มพ่อค้ามีเงิน พักที่นี่ เหมาทั้งหมดไม่ว่า แม้แต่โรงม้าก็เหมาหมด ไม่ให้คนบริการโรงเตี๊ยมอื่นเข้าใกล้ จ่ายเงินหนัก ทุกคนย่อมยินดีปรีดา
แต่คืนนี้หากเข้าไป คนงานจะต้องตกใจหนัก กลางวันเด็กหนุ่มแต่งกายแบบคนงานที่อยู่ข้างนายท่าน ตอนนี้ในห้องกลับเป็นนายท่าน หากคนที่เป็นนายท่านกลับยืนรอคำสั่งอยู่ข้าง ๆ แทน
“พวกหลี่ว์วั่นไฉรู้สึกคิดมากกับเรื่องที่เกิดขึ้นพวกนั้น อีกฝ่ายตามล่าสังหารถึงที่ อย่างไรก็ต้องล่าสังหารกลับคืนไปบ้าง”
หวังทงยิ้มนั่งกล่าวอยู่บนเก้าอี้ ถานเจียงข้างๆ เงียบไปสักครู่ ก่อนจะกล่าวว่า
“นายท่าน เรื่องนี้แม้ว่าเกี่ยวพันกับหย่งเซิ่งป๋อ ทูลฝ่าบาท เกรงว่าคงไม่มีผลอันใด กลับทำให้พวกเรามีความผิดแทน ไทเฮาทรงรักอ๋องลู่ ไม่ว่าเรื่องนี้จริงหรือเท็จ เกรงว่าคงไม่เป็นผลดีต่อนายท่าน”
หวังทงยิ้มส่ายหน้า สีหน้ำเย็นเยียบกล่าวว่า
“แน่นอนไม่กราบทูล พวกเขาส่งคนมาสังหารคนสำนักรักษาความสงบ พวกเราไม่เอะอะโวยวายก็เพราะเห็นแก่ภาพรวมใหญ่ แต่เรื่องนี้ คนของพวกเขาถูกสังหารไป ก็ย่อมต้องทนกล้ำกลืนไป ข้าจะสู้กับพวกมันดู แท้จริงแล้วผู้ใดโหดเหี้ยมกว่ากัน”
*************
“จางกงกงจะมาวันนี้ หอเลิศรสเตรียมการให้พร้อม อย่าได้ขาดตกบกพร่อง!”
“จางกงกงไม่ได้มานานแล้ว เหตุใดวันนี้จึงมาได้”
พวกขันทีน้อยหอเลิศรสวิพากษ์วิจารณ์กันไม่หยุด มือไม้ก็เตรียมการวุ่นวายไปด้วย หอเลิศรสตอนนี้เป็นโรงอาหารของขันทีและองครักษ์ในวังหลวง นานวันเข้าก็ย่อมมีของรก ทุกคนต้องปัดกวาดเช็ดถูให้ดี
เพิ่งกล่าวจบ ด้านหลังก็มีเสียงด่าตามมา
“ยังมัวแต่พ่นกันอยู่นั่นแหละ เดี๋ยวข้าจะนำคนไปตามดู หากมีที่ใดบกพร่อง ก็จะหักเงินเดือนพวกเจ้าสองเดือน บกพร่องสองจุด ก็งดกินกับข้าวมีเนื้อกันไปเลย!”
ทุกคนรีบก้มหน้าก้มตาทำงาน รอพ่อบ้านดูแลจากไป ก็มีคนคิดขึ้นได้ว่า
“ได้ยินว่าโจวกงกงถูกคนลอบวางยาพิษ จางกงกงอารมณ์ไม่ดี บอกว่าจะออกมาเดินเล่นพักผ่อน……”
ทุกคนหันไปมองไม่เห็นพ่อบ้านแล้ว ก็แอบนินทากันต่อ
*************
ทหารเฝ้าประตูข้างวังเห็นรองหัวหน้าสำนักส่วนพระองค์จางเฉิงค่อยๆ เดินมา ด้านหลังมีขันทีน้อยสองคนก้มหน้ำตามา สองคนเดินมาล้วนลากขาเดิน ดูแล้วแปลกประหลาดยิ่ง แต่เพราะมีจางเฉิงอยู่ คนด้านหลังจะอย่างไรย่อมไม่มีผู้ใดสนใจ ทหารเฝ้าประตูข้างวังรีบวิ่งเข้ามาคำนับ
เห็นสีหน้าจางเฉิงอารมณ์ดี องครักษ์ผู้นั้นก็ทักทายสองสามคำ รีบเปิดทางให้ ตามธรรมเนียมต้องตรวจสอบป้ายประจำตัวขันทีในวัง แต่สถานะเช่นจางกงกง ผู้ใดกล้าหาเรื่องใส่ตัว อย่าได้ว่าเป็นจางเฉิงเลย แม้แต่ผู้ติดตามสองคนก็ไม่กล้าตรวจสอบ
เดินเข้าประตูวังมาได้ไม่กี่ก้าว ก็มีองครักษ์วังหลวงเข้ามารายงานว่า
“จางกงกง ทางนี้ตรวจตราสงบแล้วรอบหนึ่ง หอเลิศรสทางเหนือก็ให้ทหารองครักษ์เฝ้าไว้ ทางใต้ก็มีทหารองครักษ์เสื้อแพรเฝ้าอยู่”
จางเฉิงยิ้มพยักหน้า กล่าวว่า
“ข้าออกมาเดินเล่นไยต้องทำเป็นเรื่องใหญ่เพียงนี้ ให้คนนอกเห็นเข้า ยังคิดว่าในวังวางอำนาจ เจ้าก็ลำบากเตรียมการแล้ว วันหน้านำคนของเจ้าไปกินเลี้ยงที่หอรุ่งเรืองก็แล้วกัน”
นายทหารใหญ่ได้ยินแล้วก็รู้สึกงง เห็นๆ ว่าโจวกงกงสั่งการมา เหตุใดจางกงกงไม่พอใจ ได้ยินวาจาสุดท้ายจึงได้วางใจ รู้สึกดีใจกับหน้ำตาที่ได้มาในครานี้ รีบยิ้มร่ากล่าวว่า
“เป็นงานของข้าน้อย กงกงกล่าวเช่นนี้ ข้าน้อยไม่กล้ารับไว้”
จางเฉิงยังตบบ่าเขาไป ยิ่งทำให้รู้สึกตัวเบา ก้มหน้าคำนับเดินไปส่งก่อนจะกลับไปประจำการที่เดิม
ขันทีใหญ่ในวัง มีหลายคนชอบมานั่งเล่นที่หอเลิศรส แม้ในวังดูแล แต่อย่างไรก็เป็นนอกวัง บรรยากาศย่อมไม่เหมือนกัน
จางเฉิงนำขันทีน้อยสองคนเข้ามาในหอเลิศรส ในนั้นจัดเตรียมอาหารตามคำสั่งไว้นานแล้ว หากไล่ให้คนไม่เกี่ยวข้องออกห่างไป
ปล่อยม่านลง ขันทีน้อยผู้หนึ่งที่ก้มหน้าอยู่ก็ก้าวเข้ามานั่งกางขาออกท่าทางใหญ่โต กล่าวด้วยความโมโหว่า
“หวังทงทำเราลำบาก เราอยู่ห่างแค่วังกับหอเลิศรสแค่นี้ไยต้องระวังเพียงนี้ ไม่รู้ว่าเขาระวังอันใดอยู่!”
ขันทีน้อยอีกคนที่เข้ามาในห้องถวายคำนับ ก่อนจะยืนอยู่นอกประตู ไม่นาน ด้านนอกก็รายงานดังเข้ามาว่า
“นายกองร้อยสำนักองครักษ์เสื้อแพรแห่งถนนทักษิณ หลี่เหวินหย่วนมาขอคำนับจางกงกง”
กล่าวอยู่นั้น ม่านผ้าก็เปิดออก หลี่เหวินหย่วนนำผู้ติดตามคนหนึ่งเข้ามา พอม่านปิดลง คนด้านหลังหลี่เหวินหย่วนก็ก้าวเข้าไปคุกเข่าลง ทูลว่า
“กระหม่อม หวังทง ถวายบังคมฝ่าบาท…”