ตอนที่ 566 วาจาไม่กระจ่าง โอรสสวรรค์ตกพระทัย
คนด้านหลังหลี่เหวินหย่วนคุกเข่าถวายคำนับ ตอนเงยหน้าขึ้น ฮ่องเต้ว่านลี่ก็อึ้งไป หันไปทอดพระเนตรจางเฉิง จางเฉิงก้มหน้านิ่ง หันไปทอดพระเนตรหลี่เหวินหย่วน หลี่เหวินหย่วนทิ้งมือข้าลำตัวท่าทางนอบน้อมกล่าวว่า
“ฝ่าบาท กระหม่อมขอออกไปตรวจตราการอารักขาด้านนอก”
กล่าวจบก็ถอยออกไป ฮ่องเต้ว่านลี่ทรงอึ้งไปครู่หนึ่งก่อนจะตรัสว่า
“ลุกขึ้นได้!”
หวังทงยืนขึ้น ฮ่องเต้ว่านลี่ทรงตบขาพระองค์เอง ถอนพระปัสสาสะตรัสว่า
“จางปั้นปั้น หวังทง เหตุใดเราไม่รู้ว่าสถานการณ์เลวร้ายถึงขั้นนี้แล้ว เราออกจากวังมายังต้องแต่งตัวเป็นขันที เจ้ายังต้องคิดหาวิธีการมาเข้าเฝ้า”
“ฝ่าบาท หลี่ว์วั่นไฉกับหลี่เหวินหย่วนถูกลอบสังหาร โจวอี้ถูกวางยา ฝ่าบาททรงรู้แล้วกระมังพะยะค่ะ!”
หวังทงในชุดพลทหารองครักษ์เสื้อแพร แต่งกายเช่นนี้ไม่เห็นนานแล้ว เขาทูลออกมาอย่างไม่อ้อมค้อม ฮ่องเต้ว่านลี่พยักพระพักตร์
“ตั้งแต่กระหม่อมจากเมืองหลวงไป ที่ต้องเจอในเทียนจิน ฝ่าบาทก็ทรงทราบ มีคนมุ่งมาที่กระหม่อมไม่หยุด กระหม่อมเป็นแค่นายกองพันองครักษ์เสื้อแพร คนเช่นกระหม่อม ใต้หล้าไม่รู้มีมากมายเท่าไร การมุ่งมาเช่นนี้ ไม่ใช่มุ่งหมายที่กระหม่อม หากเป็นฝ่าบาท!”
หวังทงกล่าวอย่างขึ้นรวดเดียว สีพระพักตร์ฮ่องเต้ว่านลี่ที่ร้อนพระทัยเมื่อครู่เริ่มนิ่งลง ทรงคิดอยู่สักพักตรัสว่า
“แผ่นดินใต้การปกครองเรา ผู้ใดกันที่กล้าถึงเพียงนี้ ไม่กลัวประหารเก้าชั่วโคตรหรือ ไม่กลัวโดนตัดเป็นหมื่นชิ้นหรือ?”
กล่าวถึงตรงนี้ พระสุรเสียงเริ่มกริ้วหนัก แต่หากยังแฝงสุรเสียงท้อแท้และสับสน ตั้งต้นจนจบแต่ละเรื่อง แต่ละคนก็ถูกลงโทษถูกสอบสวน ฎีกาหวังทงและสิ่งที่ฮ่องเต้ว่านลี่ได้ทรงประสบได้ทรงได้ยินมาในเมืองหลวง ล้วนเห็นได้ชัดว่าเบื้องหลังมีแผนการร้าย แต่เป็นผู้ใดกันแน่ ไม่มีเงื่อนงำให้สืบสาวไปถึงแต่อย่างใด
กล่าวถึงตรงนี้ หวังทงก็คุกเข่า ทูลด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า
“ฝ่าบาท กระหม่อมขออภัยโทษก่อนที่จะทูลต่อ หากฝ่าบาททรงกริ้ว ขอได้โปรดอภัยโทษ กระหม่อมเพียงแต่คาดเดา ไม่อาจเป็นข้อสรุปได้!!”
ได้ยินหวังทงทูลท่าทางจริงจังเช่นนี้ ในพระทัยฮ่องเต้ว่านลี่ก็ทรงร้อนพระทัยขึ้น ยกพระหัตถ์โบกขึ้น กัดพระทนต์ตรัสว่า
“ลุกขึ้นได้ กล่าวกันถึงขั้นนี้แล้ว หรือว่าเรายังจะลงโทษอันใดเจ้ากัน?”
หวังทงก้าวเข้าไปสองก้าว เขยิบใกล้ข้างพระวรกายฮ่องเต้ว่านลี่ แม้ว่าในห้องมีแค่สามคน แต่ก็ยังกระซิบเสียงเบายิ่งว่า
“ฝ่าบาท พวกโจวอี้สามคนถูกลอบสังหารในเมืองหลวงแล้ว สถานการณ์ในราชสำนักตอนนี้ทำให้ก็ไม่อาจสอบสวนอย่างเปิดเผยได้ เจ้าหน้าที่ศาลซุ่นเทียนสืบได้จากศพนักฆ่า ว่าบางทีน่าจะมาจากซานซี มีร่องรอยเช่นนี้ กระหม่อมและสำนักรักษาความสงบจัดคนที่ไว้ใจได้ให้ตรวจสอบทั้งในและนอกเมืองหลวง นอกเมืองไปทางตะวันตกมีจวนแห่งหนึ่ง หลายวันส่งคนจับตาดูเงียบ ๆ เห็นชัดว่าเป็นพวกลอบสังหาร และมาจากซานซีพะยะค่ะ”
“ไม่ต้องกล่าวว่ามีเรื่องพวกนี้หรือไม่ บอกมาว่าแท้จริงแล้วผู้บงการคือผู้ใด ทำให้จางปั้นปั้นและเจ้าต้องระวังรอบคอบเพียงนี้”
“หลายวันก่อน ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องที่โจวอี้ในวัง เรื่องที่หลี่เหวินหย่วนและหลี่ว์วั่นไฉต้องเจอมา แม้แต่กรมทหารเราก็ไม่อาจมีนักฆ่าโหดเหี้ยมร้ายกาจเพียงนี้ ซานซีส่งคนระดับนี้มาได้ ก็ย่อมเป็นพวกมาจากชายแดนต้าถง”
ฮ่องเต้ว่านลี่พระเนตรเบิกกว้าง หวังทงทูลต่ออย่างไม่อ้อมค้อม
“กระหม่อมและชายแดนต้าถงไม่ได้มีความแค้นใด แต่ทว่า กระหม่อมสร้างเทียนจินเป็นเขตการค้า สร้างความขัดแย้งกับร้านจิ้นเหอและร้านหย่งเซิ่งสองร้านนี้มากที่สุด สองร้านนี้มีหย่งเซิ่งป๋อแห่งจวนตระกูลอวี๋ที่ซานซีอยู่เบื้องหลังการค้า”
กล่าวถึงตอนนี้ ก็ไม่จำเป็นต้องกล่าวต่อแล้ว สีพระพักตร์ฮ่องเต้ว่านลี่ไม่ได้ตกพระทัยหรือกริ้วอย่างที่หวังทงคาดไว้ หากกลับเงียบไปสักพัก ก่อนจะค่อยๆ ตรัสว่า
“อ๋องลู่หรือ? หวังทง เจ้ากล่าววาจาเกินเลยเช่นนี้เพราะเราให้ความโปรดปรานเมตตาเจ้ามากไปใช่ไหม เขาเป็นเด็กน้อยที่วันๆ เอาแต่อ่านตำรา จะทำอันใดได้?”
วาจาเหมือนสั่งสอนหากก็เหมือนกำลังสงสัย หวังทงสูดลมหายใจลึกก่อนทูลว่า
“กระหม่อมอยู่เทียนจินเปิดร้านผงฟู การค้ารุ่งเรืองดี แต่ก่อนหน้านั้น การค้าผงฟูเป็นการค้าของหย่งเซิ่งป๋อ……”
กล่าวถึงตรงนี้ พระขนงของฮ่องเต้ว่านลี่ขมวดมุ่น สุรเสียงครานี้ไม่อาจกลั้นความกริ้วในพระทัยไว้ได้ ตรัสสุรเสียงเยียบเย็นว่า
“เงินการค้าพวกนี้เรื่องเล็กน้อย ไยต้องก่อเรื่องราวใหญ่โต……”
“ฝ่าบาท ผงฟูกระหม่อมนำเข้าจากทุ่งหญ้านอกเมืองเซวียนฝู่ ผงฟูหย่งเซิ่งป๋อนำเข้าจากทุ่งหญ้านอกเมืองต้าถง กระหม่อมนำกำลังกองกำลังหู่เวยไปซ้อมรบบนทุ่งหญ้า ปะทะกับการล้อมโจมตีของพวกทหารม้ามองโกล”
วาจาไม่เหมือนว่าเป็นการอธิบาย เหมือนว่าไม่เกี่ยวข้องกับปัญหาก่อนหน้าแม้แต่น้อย ฮ่องเต้ว่านลี่ที่ประทับอยู่นั้นก็ทรงเริ่มคิดได้ ก่อนจะตกพระทัย สะดุ้งจ้องมองหวังทงทันที
เรื่องราววังหารบุตรชายรองของหย่งเซิ่งป๋อ หวังทงไม่ได้เอ่ยขึ้น แต่เมื่อครู่เขากำลังร่ายวนกลับเข้ามารวมกัน แม้ว่าวังวนนี้มีส่วนที่ขาดหายไปหลายส่วน ไม่ครบถ้วน แต่ก็สามารถบรรยายคร่าว ๆ ถึงเรื่องราวบางอย่าง ฮ่องเต้ว่านลี่ยิ่งคิดก็ยิ่งเห็นว่ามีเหตุผล ยิ่งรู้สึกต้องขนลุกไปทั้งพระวรกาย
เห็นสีพระพักตร์ฮ่องเต้ว่านลี่ หวังทงก็รู้ว่าฮ่องเต้ว่านลี่ทรงเชื่อหลายส่วนแล้ว อย่างน้อยก็ไม่รู้สึกว่าตนเองกล่าววาจาพกลม จึงทูลต่อว่า
“หากเป็นเรื่องเงินเล็กน้อย หย่งเซิ่งป๋อไปทูลขอต่อหน้าพระพักตร์ไทเฮาและฝ่าบาท ไม่ใช่ว่าไทเฮาจะทรงเมตตาหรอกหรือ? นอกด่านมีมองโกลนับพันเข้าโจมตี ไยต้องทำใหญ่โตเพียงนี้ กองกำลังในวังหลายกองออกไปไม่เห็นสนใจ เหตุใดทหารกระหม่อมพอออกนอกด่านไปก็ถูกจับตา พวกมองโกลหากต้องการโจมตีจริง โจมตีทหารกองกำลังในวังหลวง พวกกองกำลังมังกรพวกนั้นไม่ดูยิ่งใหญ่กว่าหรอกหรือ ไยต้องมาสนใจทหารกองกำลังใหม่ด้วย?”
สีพระพักตร์ฮ่องเต้ว่านลี่บัดนี้ดำคล้ำลงแล้ว พระหัตถ์บนเข่าทั้งสองกำแน่น บีบคลาย ผู้ที่คุ้นเคยกับพระองค์ล้วนรู้ว่านี่เป็นอาการร้อนพระทัย ผ่านไปครู่หนึ่ง ฮ่องเต้ว่านลี่ตรัสถามขึ้นเบาๆ ว่า
“แต่ผู้ที่สั่งการซ้อมรบเป็นสำนักอาชาหลวง หรือว่าฉู่เจ้าเหรินเองก็เกี่ยวพันด้วย?”
“ฝ่าบาท ไม่แน่ว่าเป็นฉู่เจ้าเหริน แต่ในวังต้องมีคนมีส่วนรู้เห็นในเรื่องนี้แน่นอน ตั้งแต่คดีลัทธิไตรสุริยันมา คนในวังย่อมไม่อาจสลัดความเกี่ยวข้องในเรื่องนี้พ้น แต่เรื่องการทหารในวังเป็นเรื่องลับเฉพาะ เรื่องพวกนี้กระหม่อมไม่อาจรู้ได้”
หวังทงกล่าวต่อ ฮ่องเต้ว่านลี่ทรงผุดลุกจากที่ประทับ อย่างรวดเร็ว หากด้วยขาพิการ ยามก้าวไปข้างหน้าอย่างเร็ว เกือบจะล้มลง หวังทงรีบก้าวเข้าไปประคอง
พระวรกายฮ่องเต้ว่านลี่ค่อย ๆ สั่นเทิ้ม มองไปรอบ ๆ หอเลิศรส ก่อนจะตรัสสุรเสียงแหบพร่าว่า
“เป็นผู้ใด เป็นผู้ใดคิดร้ายต่อเรา นี่ไม่ใช่พระราชวังหรือ? นี่ไม่ใช่วังของเราหรือ? เราไม่ใช่เป็นโอรสของอดีตฮ่องเต้หรือ? เราอยู่ในราชบังลังก์นี้ พวกนั้นมีอันใดไม่อาจสวามิภักดิ์!!”
กล่าวถึงสุดท้าย ก็เริ่มทรงคำรามขึ้นเบาๆ หวังทงสบตาจางเฉิงที่ยืนอยู่ข้างๆ ฮ่องเต้ว่านลี่ตอนนี้แม้ว่ารุ่มร้อนใจ แต่ก็มิได้เก็บพระอาการไม่อยู่ อย่างน้อยก็ไม่ได้เสียงดังให้ข้างนอกตกใจ จางเฉิงสบตากับหวังทงเป็นนัย ลังเลครู่หนึ่ง ก่อนจะกราบทูลเบาๆ ว่า
“ฝ่าบาท กระหม่อมขอทูลวาจาสมควรตาย อ๋องลู่เจริญชันษาจนสมควรแต่งตั้งบรรดาศักดิ์ให้ออกไปปกครองพื้นที่นอกวังแล้ว แต่ไทเฮายังทรงรักใคร่เอ็นดู ย่อมเลี่ยงไม่ได้มีผู้คิดการมาก เลี่ยงไม่ได้ที่จะมีผู้คิดการเหิมเกริม อ๋องลู่ทั้งวันเอาแต่อ่านตำรากับพวกขุนนางบัณฑิตพวกนั้น ต่อหน้าพระพักตร์ไทเฮาก็เชื่อฟังว่านอนสอนง่าย ในวังนอกวังก็เผยแพร่แต่ชื่อเสียงดีงามของพระองค์ กระหม่อมไม่กล้าคาดเดาว่าแท้จริงแล้ว……”
“ให้เขาออกนอกวังไปได้แล้ว เขาคิดจะอยู่ในวังนี้อีกนานเท่าไรกัน วันนี้เราจะทูลเสด็จแม่ให้รู้เรื่อง……”
“ฝ่าบาท (ฝ่าบาท) ไม่ได้เด็ดขาดพะยะค่ะ!!”
หวังทงและจางเฉิงตะโกนขึ้นพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย จางเฉิงรีบคุกเข่าลงตรงหน้าฮ่องเต้ว่านลี่ กราบทูลอย่างร้อนใจว่า
“ฝ่าบาท เรื่องอ๋องลู่ออกนอกวังนี้ เป็นเรื่องต้องห้ามต่อหน้าพระพักตร์ไทเฮา หากทรงทูลขึ้น ก็คงเป็นเรื่องขึ้นมาอีกนะพะยะค่ะ!”
“ฝ่าบาท หากฝ่าบาทคิดไปทูล ไทเฮาย่อมถามถึงที่มา ฝ่าบาทไม่ทรงเอ่ย ไทเฮาก็ย่อมทรงกริ้วใหญ่ หากฝ่าบาทเอ่ยถึงสาเหตุ ไทเฮาก็ย่อมต้องประหารพวกกระหม่อมและจางกงกงก่อน จากนั้นค่อยจัดการ พวกกระหม่อมเป็นดังปีกและกรงเล็บของฝ่าบาท หากพวกกระหม่อมถูกกำจัด ก็จะเป็นการเปิดช่องให้พวกโจรชั่วในวังนอกวัง ดีไม่ดีก็จะเกิดเป็นภัยใหญ่ได้จริงๆ !!”
น้ำเสียงหวังทงก็เริ่มแหบพร่า ตอนมายังโลกใบนี้คิดจะเรืองอำนาจวาสนาเงินทอง มีชีวิตที่รุ่งโรจน์ แต่แต่ละก้าวที่ก้าวเดินมานั้น เหตุใดจึงแต่ละก้าวเดินจึงต้องอกสั่นขวัญแขวนเช่นนี้
ฮ่องเต้ว่านลี่เบิกพระเนตรจ้องมองหวังทงและจางเฉิง หายใจอย่างแรง ในที่สุด ก็กลับไปประทับลงม้านั่งตัวเดิม ยกพระหัตถ์ชี้หวังทง ตรัสถามเบาๆ ว่า
“เราควรทำเช่นไร ให้อยู่ในวังรอพวกมันก่อเรื่องหรือ? พวกเจ้ามาทูลเรื่องพวกนี้ หรือว่าไม่มีวิธีจัดการอันใด?”
ตั้งแต่ฮ่องเต้ว่านลี่ขึ้นครองราชย์มาถึงตอนนี้ ในวังอยู่ในอำนาจสั่งการของไทเฮาและเฝิงเป่า นอกวังก็เป็นมหาอำมาตย์จางจวีเจิ้งควบคุมคณะเสนาบดีใหญ่ พระองค์เองนั้นไม่เคยประสบเหตุการณ์ใหญ่ร้ายแรง แม้อายุมากขึ้น เริ่มเป็นผู้ใหญ่ แต่พอพบกับเรื่องเช่นนี้ จิตใจกลับไม่อาจสงบนิ่งได้ มีอาการหลุดพระกิริยาอยู่บ้าง
“แม้นมีโจรร้าย แม้นมีแผนชั่วร้าย แต่ขอเพียงคุมสถานการณ์ให้นิ่งได้ พวกเขาย่อมไม่กล้าลงมือ พวกโจรชั่วมีความสามารถแค่เพียงกวนน้ำให้ขุ่นและค่อยจับปลาเท่านั้น กระหม่อมมากราบทูลเช่นนี้ ก็เพื่อขอให้ฝ่าบาทเพิ่มกำลังอารักขาในวัง ให้ระวังพระองค์อยู่ตลอดเวลา ขอให้จางกงกงจัดคนสนิทที่ไว้ใจติดตามอารักขา เรื่องในวังให้จางกงกงจับตาดูให้แน่นหนา เรื่องนอกวังกระหม่อมจะสืบเองพะยะค่ะ”
กล่าวถึงตรงนี้ หวังทงก็คุกเข่าลงทูลน้ำเสียงจริงจังว่า
“พวกโจรโดนพวกกระหม่อมจี้จุดเจ็บมาหลายครา ไม่กล้าเคลื่อนไหวพลการอีกแล้ว ครั้งนี้จึงได้คิดลอบสังหารพวกกระหม่อม คิดว่าคงจะร้อนรนสุดขีดแล้ว จึงได้ลงมือขาดความยั้งคิด ความจริงคงอีกไม่ไกลแล้ว แต่ยิ่งใกล้เวลานั้น ก็ย่อมต้องยิ่งระมัดระวัง ฝ่าบาท วันนี้กระหม่อมกราบทูลไม่อ้อมค้อมเช่นนี้ก็ถือว่าเสี่ยงภัยแล้ว ก่อนน้ำลดตอผุดเรื่องราวกระจ่าง กระหม่อมขอติดต่อกับฝ่าบาททางสารลับ การพบปะกันเช่นนี้ หากถูกผู้ใดพบเห็น ย่อมเป็นภัยใหญ่ กระหม่อมขอฝ่าบาทรักษาพระวรกายด้วย!!”
หวังทงโขกศีรษะอย่างแรง จางเฉิงข้างๆ ก็รีบคุกเข่าลง ทูลว่า
“ฝ่าบาท แผ่นดินแห่งบรรพชน พวกโจรชั่วก็แค่เพ้อฝันเท่านั้น กระหม่อมจะต้องปกป้องพระองค์ไว้ให้ทรงปลอดภัยให้ได้ จะร่วมกับหวังทงสืบความจริงให้กระจ่าง”
ฮ่องเต้ว่านลี่ถอนพระปัสสาสะยาว เงียบไปสักครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวว่า
“พวกเขาภักดี เรารู้อยู่แก่ใจ เราจะไม่ทำให้พวกเจ้าต้องเสียแรงเปล่า!”
สองคนลงโขกศีรษะพร้อมกัน หวังทงลุกขึ้นถอยออกไป บรรยากาศเริ่มเครียด ฮ่องเต้ว่านลี่เปลี่ยนบทสนทนาถามขึ้น
“หวังทง ต่อไปนี้เราควรทำอะไร!”
“ทูลฝ่าบาท กระหม่อมจะสังหารโจรทางตะวันตกนอกเมืองหลวง……”