ตอนที่ 578 เคลื่อนไหวเล็กน้อย
เข้าสู่ปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 10 แล้ว…
ตั้งแต่ฮ่องเต้ว่านลี่ขึ้นครองราชย์มา 9 ปีที่ผ่านมาล้วนไม่แตกต่าง ไทเฮาฉือเซิ่งกับเฝิงเป่าแห่งสำนักส่วนพระองค์อยู่เบื้องหลัง มหาอำมาตย์จางจวีเจิ้งควบคุมใต้หล้า
ระบบภาษีที่ดินและเกณฑ์แรงงานใหม่ดำเนินการไปแล้ว ขุนนางตรวจสอบผลงานด้วยการดูว่าเก็บได้ประสบผลสำเร็จหรือไม่ ทุกคนไม่ว่ายินดีหรือไม่ก็ต้องปฏิบัติตาม
หากเรื่องงานแผ่นดินใดที่หารือกันในที่ประชุมขุนนางแล้วส่งผลกระทบเสียหายต่อบรรดาขุนนาง เช่นนั้นก็ย่อมวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างไม่ลดละ แม้ว่าเป็นมหาอำมาตย์ก็ต้องโดนลากลงจากหลังม้ามาเช่นกัน หากตอนนี้ท่านผู้นี้ยังอยู่ในตำแหน่งได้อย่างไม่สะเทือน ผู้ใดก็ไม่อาจทำให้ตำแหน่งเขาสะเทือนได้
ตอนนี้ทุกคนรู้แต่ว่าปิดปากเงียบ รู้หลักการรักษาตัวรอด ในปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 5 บิดาท่านจางจากไป ท่านจางขอกลับบ้านไว้ทุกข์ โอรสสวรรค์ยับยั้งไว้ เป็นเรื่องน่าขันที่ทุกคนคิดว่าโอกาสมาถึงแล้ว ตอนนี้ดูแล้ว ผู้ที่เคยคัดค้านการยับยั้งไว้ทุกข์ล้วนตกที่นั่งเอนจอนาถ แม้แต่เสนาบดีกรมปกครองในตอนนั้นก็ยังต้องขออำลาตำแหน่งกลับบ้านเกิดไปด้วยการตัดสินใจที่ผิดพลาดในครั้งนั้น
ในเมื่อไม่อาจแตะต้องได้ เช่นนั้นทุกคนก็ปฏิบัติงานกันไปให้ดีๆ ท่านจางอยู่บนเวทีที่ไม่มีผู้ใดสั่นคลอนได้ มีความคิดอื่นใดที่แตกต่างอย่างไรก็ควรเก็บซ่อนเอาไว้ในท้องอย่าได้ปริปากให้ผู้ใดได้ยิน
ท่านจางราวกับสุริยันกลางนภา ไปเข้าพวกให้ดี ทุกคนล้วนรู้สึกว่าเป็นเรื่องปกติ ศิษย์ท่านจางสองฝ่าย ทั้งเสนาบดีกรมทหารจางซื่อเหวยและเสนาบดีกรมพิธีการเซินสือหังกลับมีผู้คนคิดเข้าหาไม่น้อยเช่นกัน ทางท่านจางนั้น ส่งของขวัญให้ก็นับว่าเพียงพอแล้ว กลับกัน จางซื่อเหวยกับเซินสือหังนั้นต้องลงแรงให้มากหน่อย วันหน้าอาจได้ผลตอบแทนสักวัน
จางซื่อเหวยกับเซินสือหังนั้นแตกต่างกัน เซินสือหังในตำแหน่งเสนาบดีกรมพิธีการอยู่ๆ ก็ถอยห่างออกมา ว่ากันว่าเรื่องในราชสำนักไม่สนใจไยดีจะถามไถ่ ตอบรับทุกเรื่อง สถานะเสนาบดีกรมพิธีการสูงส่ง หากมีอำนาจไม่มากนัก ส่วนจางซื่อเหวยนั้นไม่เหมือนกัน แม้ว่าตอนนี้ไม่ได้ชัดเจนนัก แต่ทุกคนก็ยอมรับให้จางซื่อเหวยเป็นรองจากมหาอำมาตย์จาง ในราชสำนักมีกิจการงานใด จางจวีเจิ้งวางใจให้จางซื่อเหวยไปจัดการ คนเช่นนี้เป็นอันดับสองได้อย่างไม่ใช่เรื่องล้อกันเล่น หากสานสายสัมพันธ์ดี ตอนนี้ก็มีสิ่งตอบแทนมากมาย ไม่ต้องพูดถึงวันหน้าหากว่าจะลงเดิมพันถูกข้าง……
การวิเคราะห์เปรียบเทียบเช่นนี้ ทำให้จวนเสนาบดีกรมทหารจางซื่อเหวยยิ่งคึกคัก วันทั้งวันมีแขกมาเยือนไม่ขาดสาย จางซื่อเหวยเองก็รู้จักวางตัว รับแขกส่งแขกไม่เคยหลบหน้า อยู่ในตำแหน่งนี้ มีคนไปมาหาสู่มากมายเป็นเรื่องปกติ ขอเพียงไม่มีเรื่องราวเป็นความลับ ท่านจางก็ย่อมไม่ใส่ใจอันใด
บรรดาแขกที่มาเยือนจวนจางซื่อเหวยนี้ ย่อมไม่อาจไร้พวกขุนนางบัณฑิตที่ชอบวิพากษ์วิจารณ์เรื่องราวบนแผ่นดินพวกนั้น ท่านจางเห็นว่าไร้ประโยชน์ ใต้เท้าเซินส่วนใหญ่ไม่ให้พบ ดังนั้นหากสามารถมาคุยต่อหน้ากับจางซื่อเหวยได้สักหน่อย อย่างน้อยก็พอมีหน้ามีตาอยู่บ้าง
“กู้เซี่ยนเฉิง สิ่งที่ท่านจางทำนั้นเป็นประโยชน์แก่ราษฎรและแผ่นดิน ข้าไม่มีความคิดเห็นแย้งแต่อย่างใด เจ้ามักจะกล่าวเรื่องไร้เหตุนี่นั่นมีประโยชน์อันใด หากไม่ใช่เทียบแนะนำเจ้าจากหลี่ซานไฉ ข้าไหนเลยจะยอมให้เจ้าเข้าพบ เจ้าอดทนอ่านตำราเข้าสอบมานานหลายปี ข้าสงสารเจ้า จะไม่ทำให้เป็นเรื่องใหญ่ไป หรือว่าจะเป็นเรื่องใหญ่เรื่องโตให้ได้ หรือว่าเรื่องห้าปีก่อนนั้น เจ้าไม่รู้หรือ!?”
“ที่ใต้เท้ากล่าวมานั้น ข้าน้อยเองย่อมรู้ หากปล่อยให้ใต้หล้าเป็นดังที่ท่านจางต้องการ ย่อมต้องแตกสลายในสักวันหนึ่ง ประเทศไม่เป็นประเทศ หากพวกบัณฑิตขุนนางเอาใจออกห่าง จะมีแผ่นดินนี้ได้อย่างไรกัน ข้าน้อยอ่านตำรานักปราชญ์มามาก ย่อมต้องเห็นชอบด้วยหลักการซื่อสัตย์จงรักภักดี แม้ตายก็ไม่เสียดาย!”
กู้เซี่ยนเฉิงสีหน้าเปี่ยมด้วยคุณธรรม คำนับไปทีหนึ่ง จางซื่อเหวยสีหน้าเคร่งเครียด โบกมืออย่างรำคาญใจว่า
“ข้ามีงานต้องทำ เชิญกลับได้!!”
กล่าวจบก็ไม่สนใจอีก หยิบหนังสือเล่มหนึ่งขึ้นอ่าน สถานะอย่างจางซื่อเหวยเช่นนี้ การปฏิบัติเช่นนี้นับว่าไม่ไว้หน้าแล้ว ผู้ใดหากได้รับการปฏิบัติเช่นนี้ ก็ย่อมตระหนกตกใจ แต่สีหน้ากู้เซี่ยนเฉิงยังคงเป็นปกติ เพียงแค่คำนับก่อนจะขอตัวกลับ
คนสนิทจางซื่อเหวยเห็นว่านายท่านตนโกรธแล้ว มองเห็นฟ้าใกล้มืดแล้ว ในช่วงเดือนหนึ่งอีก จึงตัดสินใจแทนว่าไม่รับแขกแล้วในวันนี้ พรุ่งนี้ค่อยมาใหม่ นี่เป็นงานในความรับผิดชอบของเขา
พอกลับมาในโถงรับแจก ก็เห็นจางซื่อเหวยยังคงถือหนังสืออ่านอยู่ คนสนิทผู้นี้ติดตามรับใช้จางซื่อเหวยมาหลายปี ย่อมรู้ว่าจิตใจนายท่านตอนนี้ร้อนใจหงุดหงิดยิ่ง จึงเข้าไปใกล้กระซิบว่า
“เจ้าพวกขุนนางบัณฑิตพวกนี้ช่างไม่รู้เรื่องรู้ราว ปีใหม่เช่นนี้ยังมาพูดจาเหลวไหลกับนายท่าน นายท่าน หรือให้ข้าน้อยวันนี้ไปบอกกับคนเฝ้าประตูสักหน่อย วันหน้าไม่ให้เข้าพบ”
หนังสือในมือจางซื่อเหวยปิดลง ขยี้ตากล่าวว่า
“กู้เซี่ยนเฉิงเป็นคนที่โดดเด่นที่สุดในบรรดาขุนนางบัณฑิตตอนนี้ ยังมีหลี่ซานไฉมอบเงินให้ก้อนโต หากทำอันใดไม่ดีไป พวกเขาไม่กล้าแตะต้องท่านจาง ให้ข้ารับไปแทนก็ไม่ยาก หรือหากทำให้ทางนั้น……”
กล่าวถึงตรงนี้ จางซื่อเหวยก็ไม่กล่าวต่อ ที่จริงแล้วคนสนิทผู้นี้ไหนเลยจะไม่รู้หลักการพวกนี้ แต่ก็แค่พูดไปเช่นนั้น ได้ยินนายท่านกล่าวเช่นนี้ เขาก็เงียบไปเช่นกัน
จางซื่อเหวยวางหนังสือลงบนโต๊ะน้ำชา ลุกขึ้นยกมือไพล่หลังเดินไปมาสองสามก้าว กล่าวว่า
“ไม่ต้องจับตาดูเทียนจินแล้ว ตอนนี้ไม่สนใจทางนั้นแล้ว หากไปกล่าวถึงมาก ดีไม่ดีอาจมีเรื่องมาถึงตัวได้”
คนสนิทได้ยินดังนั้น สีหน้าเก้อเขิน เข้าไปใกล้กล่าวว่า
“นายท่าน พวกขุนนางบัณฑิตตอนนี้ไม่อยากกล่าวถึงเรื่องใดๆ ของเทียนจินแล้ว เมื่อก่อนคนที่ข้าน้อยส่งเงินไปให้หรือเลี้ยงสุราก็ล้วนไม่ค่อยฟังคำข้าน้อยแล้ว”
จางซื่อเหวยหัวคิ้วกระตุก หยุดเดินหันไปมองคนสนิท กล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า
“เจ้าติดตามข้ามาหลายปี ประโยชน์ตกถึงมือไม่น้อย เงินพวกนี้เจ้าก็จะแตะต้องด้วยหรือ?”
กล่าวเช่นนี้ คนสนิทก็ลนลาน รีบกล่าวว่า
“นายท่าน ข้าน้อยรู้ว่าเรื่องสำคัญระดับนี้ ไม่มีแอบอมไว้แม้แต่แดงเดียว หากมีเรื่องปิดบัง ข้าน้อยออกไปขอให้ถูกฟ้าผ่าตาย”
เห็นเขาสาบานแช่งหนักเช่นนี้ จางซื่อเหวยส่ายหน้ากล่าวว่า
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็แล้วไป เทียนจินกับหวังทงทางนั้นไม่ต้องไปสนใจแล้ว เรื่องอื่นๆ ก็ไม่ต้องเคลื่อนไหว แต่คนยังต้องซื้อใจไว้”
คนสนิทรีบรับคำ จางซื่อเหวยกล่าวว่า
“ให้ครัวทำอาหารมาสองสามอย่าง อุ่นสุรามากาหนึ่ง จัดไว้เรือนข้าง ข้าอยากอยู่คนเดียว”
จางซื่อเหวยชอบนั่งจิบสุราเพียงผู้เดียว ในเวลาเช่นนี้ไม่ชอบให้ผู้ใดรบกวน แม้แต่ภรรยาหลวงน้อย หรือคนสนิทคนรับใช้ใดก็ต้องถอยห่าง คนสนิทรู้วิสัยนายท่านตน จึงรีบออกไปจัดการตามคำสั่ง
อาหารธรรมดา สุราส่งกลิ่นหอมรุนแรง จางซื่อเหวยคอไม่แข็งนัก ไม่กี่แก้วลงท้องก็จะรู้สึกมึนงงแล้ว เขานั่งรับลมอยู่ เหม่อไปสักพัก ก็ยิ้มกล่าวกับตนเองว่า
“ล้วนกล่าวว่าไม้งามในป่า ย่อมถูกลมกระหน่ำ คนเก่งย่อมเป็นที่ริษยา ล้วนกล่าวว่า อาทิตย์สาดแสงแรงกล้ากลางนภา ย่อมมีวันลาลับขอบฟ้า คนผู้นี้อยู่บนกองเกียรติยศมานานนับสิบปีแล้ว ยังต้องรอ ยังต้องรอ……”
น้ำเสียงเริ่มแผ่วลง แม้ว่าคนอยู่ด้านนอกก็คงไม่ได้ยิน
*************
จางซื่อเหวยกำลังดื่มสุรา เซินสือหังกำลังดีดพิณ หน้าประตูห้องเขายังเงียงเหงากว่าของจางซื่อเหวย แขกไปหาจางซื่อเหวยยังได้เข้าพบ หากมาที่นี่นอกจากคนที่มีงานราชการด่วยหรือพวกที่ต้องให้เกียรติจริงๆ แล้ว คนอื่นๆ ก็ล้วนไม่ให้เข้าพบ ไปๆ มาๆ ย่อมไม่มีผู้ใดมาเยือน
พวกที่ชอบหาเรื่องขุดคุ้ยก็ย่อมยากที่จะหาเรื่องใดของเซินสือหังมาขุดคุ้ย เขาถึงกับไม่ค่อยได้รับเอาน้ำใจจากคนอื่นที่ส่งมอบมา เรื่องโกงกินก็ยิ่งไม่มาถึงเขา แม้ว่าเขามีร้านหลายร้านอยู่เทียนจิน แต่ล้วนบอกคนข้างนอกว่าเป็นกิจการของบ่าวรับใช้นายหญิงในจวน เป็นเรื่องปกติ
ทุกวันหลังเซินสือหังเสร็จกิจการงาน ก็จะกลับจวนปิดประตูแน่นหนา ได้ยินแต่เสียงพิณกล่อมบรรเลง คนข้างนอกอย่างมากได้ยินเพียงแค่เสียงดนตรีพิณเท่านั้น
“นายท่าน คนที่ใต้เท้าจางซื่อเหวยจัดมาจับตาดูถูกเรียกกลับหมดแล้ว แม้แต่กับพวกบรรดาขุนนางบัณฑิตก็เพียงแค่ส่งมอบของขวัญกันไปมาเท่านั้น ไม่เหมือนเมื่อก่อนที่จะมักมีเรื่องลับสนทนากัน”
เสียงพิณไพเราะเงียบลง เซินสือหังค่อยหันมาคุยกับพ่อบ้านข้างๆ ได้ยินรายงาน เซินสือหังคิดสักครู่หนี่ง ก็ยิ้มส่ายหน้ากล่าวว่า
“ในที่สุดเขาก็สงบใจได้แล้ว เจ้ายังต้องจับตาดูต่อไป พวกเราไม่ทำร้ายผู้อื่น แต่ก็ไม่อาจให้ผู้อื่นมาทำร้ายเราได้”
พ่อบ้านรับคำ กล่าวว่า
“นายท่าน ตอนนี้พวกขุนนางบัณฑิตมักไปจวนใต้เท้าจางน้อย[1]ด้านนอกวิพากษ์วิจารณ์กันให้ทั่ว ว่าใต้เท้าจางน้อยสั่งสอนไปยกใหญ่ ถึงกับกล่าวตำหนิด้วยวาจารุนแรง ทำให้พวกเขารู้ว่าการควรไม่ควร อย่าได้วิพากษ์วิจารณ์อันใดที่ส่งผลต่อการบริหารงานแผ่นดิน แต่ทางข้าน้อยกลับได้ยินมาว่า ขุนนางบัณฑิตระดับแกนนำหลายคน ล้วนใกล้ชิดกับใต้เท้าจางน้อย ……”
“บรรดาขุนนางบัณฑิตจะเล่นไม่เลิกอย่างไรก็ต้องมีคนดูต้นทาง ไม่เช่นนั้นหากไม่ดูทิศทางลมทำผิดพลาดไป เช่นนั้นย่อมมีภัยถึงตัว ต้องมีจุดจบสิ้นชีพไร้ที่ฝัง จางซื่อเหวยย่อมแอบเห็นด้วย ย่อมรวมตัวกันได้เพียงพริบตา อวี้เอ๋อร์ เมื่อครู่ดีดผิดไปหนึ่งทำนอง”
เซินสือหังกล่าวอย่างสบายอารมณ์ สุดท้ายยังแนะนำหญิงดีดพิณไปหนึ่งทำนอง พ่อบ้านข้างๆ ลังเลครู่หนึ่งก็เข้าไปใกล้รายงานว่า
“นายท่าน ข้าน้อยขอล่วงเกินกล่าวสักคำ ขุนนางบัณฑิตนั่นไม่เท่าไร หากทำลายงานเข้าย่อมผลเสียร้ายแรง ใช้การไม่ได้ แต่ก็ต้องป้องกัน ตอนนี้จ่ายเงินไปก่อน อย่างไรก็เป็นการป้องกันไว้ก่อน”
ในที่สุดเซินสือหังก็สีหน้าเคร่งเครียด โบกมือกล่าวว่า
“ไม่จำเป็น เขาทางนั้นต้องการคบหากว้างใหญ่เพียงใดก็เพื่อให้เบื้องบนเห็นว่าเขาสามารถคุมสถานการณ์ใหญ่ได้ ทางข้าจะให้เบื้องบนเห็นว่า ไม่เกี่ยวข้องกับฝ่ายใดทั้งสิ้น ขอเป็นเพียงขุนนางโดดเดี่ยวของฝ่าบาทก็พอ”
พ่อบ้านรีบก้มหน้าลง ไม่กล้ากล่าวต่อ สีหน้าเซินสือหังเริ่มเครียดขึ้น กล่าวน้ำเสียงจริงจังว่า
“พูดถึงเรื่องนี้ทำให้ข้านึกได้เรื่องหนึ่ง พรุ่งนี้เจ้ากับเหล่าวั่งกับพวกคนงานหญิงมีอายุในจวนไปตรวจสอบหน่อย คนที่ทำงานในจวนทั้งหมด ต้องรู้ที่มาที่ไปชัดเจน ยามนี้ทุกคนนิ่งแล้ว แต่ก็ยากจะรับประกันว่าคนอื่นจะหาช่องทางเจาะเข้ามาไม่ได้!!”
*************
“เฉินซือเป่าแห่งตระกูลเซียงเฉิงป๋อ ถังซื่อไห่แห่งร้านค้าเลือกซื้อสินค้าส่งเข้าวัง ยังมีนายกองพันอีกสิบกว่านายจากกองกำลังเมืองหลวง ล้วนย้ายไปเป็นองครักษ์ฝ่ายใน?”
พอเห็นเอกสาร เฝิงเป่าย่อมต้องรู้เนื้อความ หากก็ยังถามออกมา หลินซูลู่ที่ยืนอยู่ตรงข้ามพยักหน้า สีหน้าลำบากใจยิ่ง กล่าวว่า
“เฝิงกงกง หากฝ่าบาทต้องการเปลี่ยนทหารรักษาพระองค์ เรื่องนี้พวกเราเป็นบ่าวไม่ควรกล่าวอันใด แต่ข้ารู้สึกว่าไม่ค่อยเหมาะ เรื่องในวังล้วนอยู่ในการดูแลของไทเฮา ยังมีตำหนักฉือหนิงกง ฝ่าบาทเปลี่ยนคนของพระองค์เข้ามา เรื่องนี้……เรื่องนี้……เกรงว่าไทเฮาไม่พอพระทัย”
การเปลี่ยนองครักษ์ในวัง ฮ่องเต้ระแวงว่ามีคนคิดปองร้าย หรือว่าคิดปองร้ายผู้อื่น ไทเฮาฉือเซิ่งย่อมต้องคิด คิ้วเฝิงเป่ากระตุก………
———————-
[1] ในบริบทที่มีคนแซ่จางสองคนที่มีคำเรียกขานเหมือนกัน อีกคนที่อายุน้อยว่าจะถูกเรียกว่า จางน้อย ณ ที่นี่ หมายถึงจางจวีเจิ้งและจางซื่อเหวย