ตอนที่ 579 สายธารน้อยกลายเป็นลำน้ำลึกในที่สุด
สามารถมีผู้เรียกขาน ‘มหาขันที’ ในวังได้ แต่ละคนย่อมฉลาดหลักแหลม หลินซูลู่กล่าวออกมาเช่นนี้ หากไม่ใช่เพื่อเอ่ยให้คิด ก็ย่อมเพราะต้องการให้รู้กันอย่างเปิดเผย
ที่ๆ เฝิงเป่าพักอยู่ตอนนี้ก็เหมือนกับจวนทั่วไป ยามนี้ในห้องมีเพียงเฝิงเป่ากับหลินซูลู่สองคน เฝิงเป่าเงียบไปสักพัก ก็ยังไม่กล่าวอันใด เงยหน้ามองหลินซูลู่
“ไทเฮาแม้ทรงพระเมตตา แต่เรื่องก็ยากที่จะไม่ให้ทรงคิดมาก ข้าได้ยินมาจากพวกหัวหน้าองครักษ์ฝ่ายในหลายคน เดิมคิดว่าจะไปเตือน แต่ไม่ปิดบังกงกง ข้าเป็นคนของอ๋องลู่ กล่าววาจานี้ออกไป เกรงว่าจะทำให้เป็นเรื่องใหญ่”
แม้ว่าเป็นมหาขันทีเหมือนกัน แต่ต่อหน้าเฝิงเป่าหลินซูลู่ก็ย่อมต้องยืน ได้ยินคำว่า ‘อ๋องลู่’ เฝิงเป่าก็ลอบสังเกตแววตาหลินซูลู่ ก่อนจะยิ้มกล่าวว่า
“เหล่าหลินท่านระวังตัวมานานหลายปี ไม่เคยพลาดแม้แต่น้ำหยดเดียว เอาเถอะ เรื่องนี้ข้าจะไปพูดเอง หากเบื้องบนพิโรธ ก็มักจะเป็นพวกเราบ่าวรับใช้ที่ทำการใดก็ล้วนลำบากใจ”
หลินซูลู่ยิ้มพยักหน้า สองคนคุยกันไปสักพัก หลินซูลู่ก็ขอตัวกลับ พอเดินออกมา ก่อนขึ้นเกี้ยว ล้วนก้าวเดินมั่นคง ตั้งตัวตรง
แต่พอม่านเกี้ยวเปิด ร่างกายก็งองุ้ม เข่าอ่อนหมดแรง เกือบล้มลง ดีที่ซวงสี่ไว เข้ามาประคองไว้ทัน จึงได้เข้าไปในเกี้ยวได้
บรรดามหาขันทีสามารถปลีกไปพักผ่อนในเวลางานได้ ในช่วงก่อนฟ้ามืด หลังจากหลินซูลู่กลับไป ขันทีน้อยหลายคนก็รีบวิ่งออกไป
ในห้องเฝิงเป่าวางแผ่ไปด้วยกระดาษขาว หยิบพู่กันออกมาเขียนอักษร นี่เป็นความชอบของเฝิงเป่า ในห้องมีคนเดินเข้ามาจุดตะเกียง ขันทีน้อยหลายคนที่ออกไปกลับมากันแล้ว ได้ยินเช่นนี้ เฝิงเป่าขมวดคิ้ว วางพู่กันลง กล่าวว่า
“อีกสักครู่ ข้าไปห้องทำงาน พวกเจ้าอย่าลืมไปเชิญจางเฉิง จางกงกงมา”
************
“จางกงกง ท่านรอก่อน ข้าน้อยจะไปทูลฝ่าบาท!”
จางเฉิงมองนางกำนัลยืนอยู่รอบๆ แม้ว่ามีทั้งอายุน้อยและมาก แต่ก็นอบน้อมอย่างมาก ตนเองยืนอยู่ตรงนี้ถึงกับไปกล้าเงยหน้าขึ้น
ตอนฮ่องเต้หลงชิ่งครองราชย์ จางเฉิงก็รับใช้อยู่ในวัง เคยไปยังตำหนักพระสนมที่ทรงโปรดปรานหลายคน ขันทีและนางกำนัลในตำหนักพวกนั้นไม่น้อยที่ไม่รู้จักวางตัว ท่าทางเหิมเกริม แต่ที่ตำหนักพระสนมเอกเจิ้งที่อายุน้อยกว่าฮ่องเต้ว่านลี่หนึ่งปี กลับรู้จักวางตัว รู้จักการควรไม่ควร ช่างไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
ไม่นาน เจ้าจินเลี่ยงก็นำเสด็จฮ่องเต้ว่านลี่มาถึงด้านหน้า ฮ่องเต้ว่านลี่สวมฉลองพระองค์สีขาวนวล พระเกศาครอบด้วยหยกวงเอาไว้ง่ายๆ เสด็จมาอย่างไม่ทรงพอพระทัยนัก
“กระหม่อมมีเรื่องสำคัญทูลฝ่าบาท!”
ได้ยินวาจาจางเฉิง ฮ่องเต้ว่านลี่พยักหน้า เจ้าจินเลี่ยงรีบโบกมือให้สองข้าง บรรดานางกำนัลก็ถอยห่างออกไป
จางเฉิงรีบเข้าไปใกล้กราบทูล ฮ่องเต้ว่านลี่อึ้งไป ก่อนจะพิโรธใหญ่ทันที หันไปถีบหินศิลาก้อนหนึ่งพลิกคว่ำไป คำรามด้วยความกริ้วหนักว่า
“แม้แต่เลือกคนมาอารักขาข้างกายเช่นไร เราก็ยังทำไม่ได้งั้นหรือ?”
“ฝ่าบาททรงระงับความกริ้วด้วยพะยะค่ะ ฝ่าบาททรงระงับด้วย เบาหน่อยพะยะค่ะ ที่นี่แม้ว่าเป็นตำหนักพระสนมเจิ้ง แต่ก็ยากจะรับรองว่าไม่มีคนอื่นเฝ้าจับตาดูอยู่……”
ฮ่องเต้ว่านลี่ยกพระหัตถ์ชี้จางเฉิง พระกรสั่น สุรเสียงเบาลงไปมาก คำรามเบาๆ ว่า
“หรือว่าต้องให้เราข้างกายไร้คนที่ไว้ใจได้อารักขากัน หรือว่าต้องเห็นเราถูก……ไปต่อหน้า”
ฮ่องเต้ว่านลี่ยิ่งตรัสยิ่งดัง จางเฉิงร้อนใจมาก รีบก้าวเข้าไปคว้าแขนฮ่องเต้ว่านลี่ไว้ รีบทูลว่า
“ฝ่าบาท การเปลี่ยนกำลังองครักษ์ เดิมไม่ควรเป็นเรื่องใหญ่ แต่ในเมื่อไทเฮาทรงทราบ การเปลี่ยนกำลังอารักขาในวังก็ย่อมเป็นเรื่องที่มีเหตุต้องกระทำ ทำให้คนคิดไปต่างๆ นานา ย่อมไม่พอใจ เรื่องนี้หากเปิดช่องไว้ เกรงว่าคงเปิดโอกาสให้พวกคิดไม่ซื่อฉวยโอกาสได้ ฝ่าบาทไม่ต้องทรงเป็นกังวล กระหม่อมจะลองหาวิธีดู……”
*************
วันที่ 6 เดือนหนึ่ง ทุกฝ่ายในวังล้วนมีข่าวแพร่กระจายว่า ฮ่องเต้ว่านลี่เสด็จตำหนักฉือหนิงกงถวายพระพรไทเฮา ถูกนางกำนัลขวางไว้ว่า ไทเฮาพระวรกายไม่ดี หลายวันนี้ไม่พบผู้ใด ฮ่องเต้ว่านลี่ทรงกตัญญู ได้ยินเช่นนี้ก็ตามหมอหลวงมาเข้าเฝ้า คิดไม่ถึงว่าแม้แต่หมอหลวงก็ไม่ให้เข้าเฝ้า ไทเฮาไล่ให้กลับไปเสียอย่างนั้น เรื่องมาถึงตอนนี้ ทุกคนรู้ดีแล้วว่า ไม่ใช่พระวรกายไม่ดี หากเป็นเพราะไม่อยากพบฮ่องเต้ว่านลี่
แม้ว่าเป็นเดือนหนึ่ง แต่เจ้านายอารมณ์ไม่ดี ทุกคนก็ย่อมไม่มีอารมณ์ฉลองปีใหม่ ไทเฮาฉือเซิ่งไม่รู้มีอันใดไม่ขัดพระทัยกับฮ่องเต้ ทุกคนรู้สึกไม่สบายใจ ผู้ใดก็ไม่มีกระจิตกระใจจะฉลองเทศกาลปีใหม่
ตอนเช้ามีเรื่องนี้ ตอนกลางวันหลังกินอาหารกลางวัน มหาขันทีแห่งสำนักส่วนพระองค์เฝิงเป่าเรียกหัวหน้าสำนักขันทีทั้ง 24 สำนักมาหารือกัน ณ เรือนข้างในสำนักส่วนพระองค์ สีหน้าเฝิงเป่าเคร่งเครียดจนน่ากลัว กวาดตามองทุกคนก่อนจะแค่นเสียงเย็นกล่าวว่า
“ทุกคนกลับไปจัดการคนของตน อย่าได้พอข้ากล่าวอันใด ไม่เกินหนึ่งชั่วยามก็รู้กันไปทั้งวัง หากจับได้ จะโยนออกไปประหารทิ้งกลางลาน!”
กล่าวจบก็ให้ทุกคนกลับไป พอตกค่ำทุกคนก็ได้ข่าวมาว่า ที่แท้เฝิงเป่าปิดบังไทเฮากระทำการหนึ่ง คิดไม่ถึงว่าไทเฮาจะทรงรู้ก่อนแล้ว คืนวันที่ 5 เรียกตัวเฝิงเป่าเข้าเฝ้า ตำหนิรุนแรง ว่ากันว่าฝ่าบาทเองก็ทรงพิโรธหนัก
ดูท่าแล้วเป็นชนวนเหตุให้ไทเฮาขัดแย้งกับฝ่าบาท เรื่องอันใดนั้น สืบมาไม่ได้ความแต่อย่างใด
เมื่อก่อนหากไทเฮาพิโรธ ฮ่องเต้ว่านลี่ก็ล้วนต้องไปเข้าเฝ้ารับผิดอย่างนอบน้อมระมัดระวัง จนกระทั่งไทเฮาคลายพระทัย แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนกัน
แม้ว่าเป็นเดือนหนึ่ง แต่ฮ่องเต้ว่านลี่ทุกเช้าค่ำก็ยังมาตำหนักฉือหนิงกงเพื่อถวายพระพร หากไทเฮาไม่ทรงให้พบ ฮ่องเต้ว่านลี่ก็ไม่ดึงดันอันใด ถามไถ่สองสามคำก็กลับไป
แม้ว่าทำตามธรรมเนียมไม่บกพร่อง หากคนใกล้ชิดล้วนรู้ว่าเป็นเรื่องไม่จริงใจ เพียงแค่เป็นรูปแบบที่ต้องกระทำให้จบไปเท่านั้น สองฝ่ายทำสงครามเย็น ทำให้บรรยากาศในวังเคร่งเครียดมาก ทุกคนล้วนไม่เป็นสุข ไม่กล้าทำผิดแม้เพียงเล็กน้อย
จิ่นซิ่ว นางกำนัลที่ทรงโปรดที่สุดในตำหนักฉือหนิงกงส่งคนไปยังสำนักราชองครักษ์สองรอบ ต้องการตรวจสอบรายชื่อราชองครักษ์ทั้งหมด การรักษาความปลอดภัยในวังแต่ไรมาล้วนอยู่ในการควบคุมของไทเฮาฉือเซิ่ง หากต้องการตรวจดู ย่อมไม่มีสิ่งใดปิดบังได้
บรรดาคนที่ได้ยินข่าวนี้ต่างพากันใจเต้นไม่เป็นสำเนียง ที่แท้แล้วเป็นเรื่องใดกัน ถึงกับเกี่ยวพันกับราชองครักษ์ทั้งหมด
“เราเดิมควรเสวยสุขอยู่ในตำหนักฉือหนิงกง มีชีวิตสุขสบาย หากมิใช่อดีตฮ่องเต้ฝากฝัง หากมิใช่ฝ่าบาททรงพระเยาว์ ข้าเป็นเพียงสตรี จะต้องมาวุ่นวายด้วยเรื่องพวกนี้เพียงนี้หรือ ตอนนี้ดีเลย ฝ่าบาทเจริญพระชันษาแล้ว ไม่อยากให้ข้าคอยเฝ้าดูแล้ว ข้าคิดจะถามสักหน่อย ว่าแท้จริงแล้วข้าไปยุ่งเรื่องอันใดนัก ขัดขวางอันใดนักหนา ถึงกับต้องเปลี่ยนองครักษ์ในวัง”
ไทเฮาฉือเซิ่งประทับนั่งอยู่บนพระที่นั่ง ตรัสด้วยความกริ้ว เฝิงเป่าก้มหน้านิ่งเงียบไป จางเฉิงข้าง ๆ สีหน้าไม่ดีนัก ได้ยินเช่นนี้ก็คุกเข่าลงกราบทูลว่า
“ไทเฮา ฝ่าบาทไม่ได้ทรงคิดเช่นนี้เด็ดขาด ฝ่าบาทเพียงแค่ต้องการส่งเสริมพวกคนเก่าแก่ที่ทรงเคยฝึกร่วมกันมาจากลานฝึกหู่เวยเท่านั้น ฝ่าบาททรงกตัญญู ย่อมไม่มีทางคิดไม่สมควรเช่นนั้นเป็นแน่พะยะค่ะ”
“หากไม่มีเรื่องอันไม่สมควรนั้น ฝ่าบาทไยต้องทรงไม่พอพระทัยเช่นนี้ด้วย จางเฉิง ข้าเห็นเจ้าจงรักภักดี จึงได้ให้เจ้ารับใช้อยู่ข้างพระวรกาย หากฝ่าบาททรงคิดเรื่องที่ไม่สมควร ไม่ควรกระทำ เจ้าไยไม่ตักเตือนพระองค์ เช่นนั้นก็ไม่จำเป็นต้องรับใช้ใกล้ชิดข้างพระวรกายแล้ว!”
ตรัสเช่นนี้ จางเฉิงไม่กล้ารับคำ ได้แต่คุกเข่าโขกศีรษะไม่หยุด ไทเฮาฉือเซิ่งไม่มองจางเฉิงที่คุกเข่าอยู่แม้แต่น้อย หันไปตรัสกับเฝิงเป่าว่า
“เฝิงเป่า อ๋องลู่วันก่อนมาขอตำแหน่งให้ขันทีสองคน เป็นสองคนจากสำนักผลิตอาวุธ เจ้าจัดการตำแหน่งขันทีตรวจสอบนอกวังให้ด้วย อ๋องลู่มามาขอข้าให้คนรับใช้เก่าคนแก่ที่เคยรับใช้ ปกติไม่ค่อยมาขอเท่าไรนัก”
เฝิงเป่ารีบรับพระบัญชา สำนักผลิตอาวุธในวังนอกจากหัวหน้าและผู้คุมคลังอาวุธแล้ว ที่เหลือล้วนเป็นตำแหน่งงานลำบาก แต่หากได้เป็นขันทีตรวจสอบออกไปปฏิบัติงานข้างนอกวัง ก็ล้วนเป็นงานเงินดี
กริ้วก็ส่วนกริ้ว หากไทเฮาฉือเซิ่งก็ยังทรงรู้หนักเบา การเปลี่ยนองครักษ์ในวัง เดิมเป็นการตัดสินใจของฮ่องเต้ เรื่องนี้ทำให้ไทเฮาฉือเซิ่งทรงคิดมาจนไม่สบายพระทัย หากไม่คิดจะนำเรื่องนี้ออกมาพูดกันให้กระจ่างนัก
จางเฉิงโขกศีรษะอยู่ที่ตำหนักฉือหนิงกงจนหน้าผากเขียวช้ำ จากนั้นค่อยทูลลา ไม่ได้รับโทษอื่นใด ยังมีนางกำนัลตามมามอบยาให้ทา คิดแล้วก็คงเป็นเพียงดำรัสระบำยอารมณ์เท่านั้น
พอออกมาจากตำหนักฉือหนิงกง เดือนหนึ่งเป็นฤดูหนาว หน้าประตูก็มีเกี้ยวปูพรมรอรับอยู่ สีหน้าจางเฉิงดำคล้ำกุมหน้าผากขึ้นเกี้ยวไป หากถูกเฝิงเป่าด้านหลังเรียกให้หยุด พอหันกลับไปก็เห็นเฝิงเป่าลังเลกล่าวว่า
“จางกงกง เรื่องนี้ไม่ใช่ข้าทำนะ เห็นว่าฝ่าบาทเพิ่มองครักษ์ เกรงว่าหากเข้าพระกรรณไทเฮาจะไม่เหมาะ จึงได้แอบส่งคนมาบอกกล่าวท่านก่อน คิดไม่ถึงว่ามีคนเร็วไวยิ่งกว่า พอไทเฮาทรงทราบก็สั่งสอนข้ายกใหญ่ ตอนนี้พระอารมณ์ฝ่าบาทก็แรง ขอให้สงบลงสักหน่อย”
จางเฉิงถูกเป็นที่ระบำยในวัง ในใจย่อมไม่สู้ดีนัก กุมศีรษะกล่าวเสียงเย็นว่า
“เปลี่ยนตัวองครักษ์ 10 กว่าคน มีราชโองการฝ่าบาท ข้าก็ไปปฏิบัติ เดิมเรื่องเล็กน้อย ผู้ใดก็คงไม่ทำเป็นเรื่องใหญ่โต ข้ามาคิดดู เป็นผู้ใดกันที่ปากมาก ไปกราบทูลไทเฮา แล้วเป็นผู้ใดที่จับตาดูแน่นหนาเช่นนี้ เรื่องเล็กน้อยนี่ก็ไม่ปล่อยผ่าน”
ได้ยินเช่นนี้ เฝิงเป่าตะลึงค้างอึ้งไป ในหัวก็คิดอย่างเร็ว ส่ายหน้าปฏิเสธ ในเมื่อหลินซูลู่มาแจ้งตนก่อน และยังพูดอย่างเป็นการเป็นงาน คิดว่าคงไม่ใช่เขาที่แพร่ข่าวออกไป แต่แม้แต่หลินซูลู่ยังรู้ คิดว่าในวังคนที่รู้ก็ย่อมไม่น้อย
ข่าวในวังไม่อาจปิดบังผู้ใด อ๋องลู่ขอตำแหน่งให้ขันทีสองคนไปดำรงตำแหน่งขันทีตรวจสอบสำนักผลิตอาวุธจากไทเฮาได้ไป ในวังก็รับรู้กันอย่างรวดเร็วว่า อ๋องลู่เป็นผู้ที่ทูลขอไทเฮาได้ นี่เป็นสิ่งที่ทุกคนไม่ได้รู้สึกแปลกอันใด มีเพียงนางกำนัลตำหนักฉือหนิงกงนางหนึ่งยากตัดใจ
นางกำนัลผู้นี้กับหนึ่งในสองขันทีที่ส่งออกไปสนิทกัน ทุกคนแอบรู้กันว่าพวกเขาเป็น ‘อาหารถูกปาก’ [1] กัน แต่ไม่ค่อยมีคนรู้ว่า ข่าวที่ฮ่องเต้ว่านลี่เพิ่มองครักษ์นั้นเป็นการ ‘บังเอิญ’ ได้ยินเข้าของนางกำนัลผู้นี้ นางกำนัลตำหนักฉือหนิงกงเดิมมีหน้าที่สืบข่าวแทนไทเฮา พอรู้ข่าวนี้ก็ย่อมต้องไปรายงาน
แน่นอน นอกจากคนที่เกี่ยวข้อง ก็ไม่มีผู้ใดรู้ว่านางกำนัลผู้นี้ได้ข่าวมาจากขันทีที่เป็นอาหารถูกปากกันของนาง
———————-
[1] นางกำนัลและขันทีในวังที่แอบรักกัน