ตอนที่ 598 สิ่งที่ตนไม่อยากประสบอย่าได้มอบแด่ฮ่องเต้
ในวังหลวง รองหัวหน้าสำนักส่วนพระองค์จางเฉิงลงจากเกี้ยว ในมือมีสมุดเล่มหนึ่ง ขมวดคิ้วเดินเข้าไปยังห้องทรงอักษร
ตอนเดินเข้าไป ขันทีเฝ้าหน้าประตูรายงานเสียงดัง เจ้าจินเลี่ยงออกมาต้อนรับจากห้องทรงอักษร จางเฉิงเดินเข้าไปกระซิบถามว่า
“ฝ่าบาทเสวยพระกระยาหารค่ำหรือยัง?”
“ห้องเครื่องส่งมาแล้ว แต่ฝ่าบาทเอาแต่ตรัสว่าไม่ทรงหิว”
ได้ยินคำตอบเจ้าจินเลี่ยง จางเฉิงหันไปมองฟ้าอย่างไม่ทันรู้ตัว เห็นดาวเต็มท้องฟ้า จางเฉิงส่ายหน้ากระซิบว่า
“ยามนี้แล้ว ยังไม่ไปตำหนักพระสนมเจิ้งอีก”
เจ้าจินเลี่ยงรายงาน ฮ่องเต้ว่านลี่รับคำจากด้านใน จางเฉิงรีบก้าวเท้าเข้าไป ตะเกียงในห้องทรงอักษรส่องสว่าง ตะเกียงเทียนไขดวงใหญ่แขวนอยู่หกดวง ทำให้ในห้องรู้สึกร้อนอบอ้าว
ฮ่องเต้ว่านลี่ประทับนิ่งอยู่ในห้องทรงอักษร บนโต๊ะมีอาหารสองสามอย่างที่ปรุงอย่างปราณีต ช้อนวางอยู่ในชาม จางเฉิงถวายบังคมก่อนจะเดินเข้าไปเบื้องหน้า เห็นว่าอาหารบนโต๊ะไม่ได้แตะต้องแม้แต่น้อย จางเฉิงอึ้งไปก่อนทูลว่า
“ฝ่าบาท ไม่เสวยพระกระยาหารจะทำลายพระสุขภาพนะพะยะค่ะ ทรงเสวยมากๆ หน่อยเถิดพะยะค่ะ!”
เขากล่าวจบ ฮ่องเต้ว่านลี่ก็ยังคงนิ่ง ผ่านไปครู่หนึ่งก็ส่ายพระพักตร์ ตรัสเบาๆ ว่า
“สำนักรักษาความสงบรายงานมาทุกวัน เราจำได้ว่ามีหลายข้อความเล่าถึงเรื่องในจวนท่านจาง จางปั้นปั้นไปหามาหน่อย เราอยากอ่านสักหน่อย”
จางเฉิงอึ้งไป รีบคำนับรับพระบัญชา การที่ฮ่องเต้ว่านลี่กัดพระทนต์ตรัสหรือว่าสุรเสียงเข้มนั้น ก็ล้วนเป็นสิ่งที่เข้าใจได้ แต่น้ำเสียงเมื่อครู่นิ่งสงบอย่างมาก ไม่ได้มีพระอารมณ์อันใดแม้แต่น้อย จางเฉิงที่คิดว่ารู้พระทัยฮ่องเต้ว่านลี่ดี ก็รู้สึกใจเต้นไม่เป็นจังหวะ รีบรับพระบัญชาออกไปหา
เอกสารที่สำนักรักษาความสงบรายงานมายังฮ่องเต้ว่านลี่ ล้วนมีจดแยกเอาไว้ ล้วนส่งไปให้สำนักที่โจวอี้ดูแลเก็บรักษาไว้ ห้องทรงอักษรส่งคนไปหยิบมาก็ย่อมใช้เวลาไม่นาน
ระหว่างนี้จางเฉิงก็เตือนให้ฮ่องเต้ว่านลี่เสวยพระกระยาหาร ฮ่องเต้ว่านลี่ได้แต่บอกว่าไม่หิว ปกติยามฮ่องเต้ว่านลี้ดึงดันเอาเรื่องไม่ยอมเสวย ทุกคนก็ล้วนฟังสุรเสียงไม่พอพระทัยออก แต่วันนี้ทรงบอกว่าไม่หิว ก็เหมือนว่าไม่หิวจริงๆ แต่ยิ่งเป็นเช่นนี้ จางเฉิงก็ยิ่งรู้สึกว่าไม่ถูกต้องนัก
จางเฉิงรู้สึกร้อนใจ ฮ่องเต้ว่านลี่กลับยิ่งดูปกติ หยิบฎีกาขึ้นมาสองฉบับ เริ่มตรัสถามสุรเสียงนิ่งว่า
“เราได้ยินเสี่ยวเลี่ยงเล่าว่า ที่พักจางปั้นปั้นมีที่ต้องซ่อมแซม ให้สำนักในวังส่งคนไปซ่อม เป็นอย่างไรบ้าง?”
แม้ว่าไม่เข้าใจเหตุจึงถามเช่นนี้ หากจางเฉิงก็ตอบไปตามจริงว่า
“ทำให้ทรงเป็นห่วงแล้ว ที่พักกระหม่อมมีห้องข้างๆ ไว้เก็บตำราฝนรั่ว เกรงว่าจะทำตำราเสียหาย จึงได้ส่งคนไปซ่อม ล้วนเป็นอาคารเก่าแล้ว ไม้ก็รับน้ำหนักไม่ไหว”
ฮ่องเต้ว่านลี่ยิ้มส่ายพระพักตร์ ไม่ได้ทรงต่อบทสนทนาต่อ เอกสารที่ฮ่องเต้ต้องการคืนนี้ โจวอี้ไม่กล้ารอช้า ให้ขันทีนำเอกสารทั้งหมดที่เกี่ยวข้องคัดเลือกแล้วส่งมาถวายทันที
ในเมืองหลวงเรื่องของท่านจางย่อมเป็นประเด็นสนทนา ตามตรอกซอกซอย ข่าวลือแพร่ไปในหมู่ประชาไม่น้อย รายงานจากสำนักรักษาความสงบต้องเอามาคัดกรอง แต่ก็ยังมากอยู่ดี
ทางนั้นต้องการอย่างเร่งด่วน โจวอี้จัดการเรียบเรียงเสร็จก็ส่งขึ้นวางบนเกี้ยวให้ขันทีแบกออกไป เขาเดินตามไป ตลอดทางต้องวิ่งเหยาะๆ ไปยังห้องทรงอักษร
ยามฮ่องเต้ว่านลี่ทรงพักผ่อนในทุกวัน ทุกคนล้วนรู้ดี หากดึกดื่นเพียงนี้ยังอยู่ที่ห้องทรงอักษรไม่เสด็จยังตำหนักสนมเจิ้ง โจวอี้เองก็แปลกใจ
เอกสารส่งเข้าไป โจวอี้รออยู่ด้านนอก กำลังคิดจะทูลลา ก็เห็นม่านแหวกออก เจ้าจินเลี่ยงโผล่หน้าออกมากล่าวว่า
“โจวกงกง ฝ่าบาทให้ท่านเข้าไป!”
โจวอี้รีบเข้าไป คุกเข่าถวายบังคม ก่อนจะลุกขึ้นกวาดตามองไปรอบๆ เห็นฮ่องเต้ว่านลี่ปกติดีทุกอย่าง สีหน้าจางเฉิงมีความหนักใจอยู่ จึงอดรู้สึกงงไม่ได้ ฮ่องเต้ว่านลี่ตรัสถามว่า
“เราจำได้ว่าเอกสารพวกนี้มีเล่าถึงเรื่องในจวนท่านจาง ใช่แล้ว บัณฑิตรูปงามไหนสักคนหนึ่งที่ถูกปิดหน้าปิดตา จากนั้นถูกพามายังวังสวรรค์แล้วให้นอนกับนางฟ้าเหล่านั้น……”
โจวอี้ลังเลมองหน้าจางเฉิง เห็นว่าจางเฉิงมีสีหน้ำตกใจ ฮ่องเต้ว่านลี่กลับแย้มสรวล ที่ทรงตรัสมานั้น แม้ว่าข่าวจากสำนักรักษาความสงบจะมาก แต่โจวอี้ก็ยังคงพอจำเรื่องนี้ได้
เรื่องเล่าในหมู่บัณฑิตเมืองหลวง มีบัณฑิตระดับจวี่เหรินจากเขตปกครองใต้หน้ำตาดีรูปร่างสูง วันหนึ่งมีคนส่งเทียบเชิญไปยังร้านสุราหนึ่งดื่มสุรา ถึงเวลาแขกก็ยังไม่มา สุราอาหารพร้อม บัณฑิตผู้นั้นมิได้ระแวงป้องกัน หลังดื่มสุราไปก็สลบไป
พอตื่นมาก็มาอยู่ในจวนที่งดงามหาที่เปรียบมิได้ ได้เห็นสาวงามระดับนางฟ้า นอกจากสาวชาวฮั่นแล้ว ยังมีมาจากต่างชาติต่างเมืองอีกด้วย บัณฑิตผู้นั้นตกใจหาที่สุดมิได้ หญิงเหล่านั้นบอกกับเขาว่านั้นคือวังสวรรค์ บัณฑิตผู้นั้นก็มาจากครอบครัวมีเงิน แต่ไรมาก็ไม่เคยได้เห็นสถานที่ที่งดงามหรูหราเช่นนี้มาก่อน ยังมีสาวงามระดับนางฟ้านางสวรรค์มากมายเพียงนั้น จึงได้เชื่อ
ทั้งวันผ่านไปไร้คืนวัน อิสรเสรีหาใดเทียบ แต่บางครั้งก็ต้องเข้าไปอยู่ใน ‘ถ้ำ’ ผ่านไปสิบกว่าวัน เขาดื่มสุราสลบไปอีก ตื่นมาอยู่กลางท้องถนน ถูกห่ออยู่อยู่ในถุงผ้ากลิ่นหอมประหลาด ข้างกายยังมีทองอีกร้อยกว่าตำลึง
แท้จริงแล้วเป็นฝันหรือความจริง บัณฑิตผู้นี้เลอะเลือน ตอนกลับไปหาร้านสุราที่ทำให้ตนเองเมานั้นก็หาไม่ได้เจอแล้ว ร้านสุราเป็นเพียงเรือนที่ไร้ผู้คนอาศัย
ด้วยเหตุการณ์เหล่านี้ บัณฑิตผู้นั้นจึงคิดว่าตนเองไปวังสวรรค์มาจริง เล่าให้คนฟังไปทั่ว ตอนไปเล่าอยู่ที่หอสุราในตรอกม้าหิน กลับมีคุณชายตระกูลสูงท่านหนึ่งข้างๆ ได้ยินเข้า หัวเราะกล่าวว่า เจ้าไม่รู้ว่าเข้าไปในจวนผู้ใดหรือ จวนที่หรูหราเพียงนั้นที่ใดมีกัน พอตั้งสติเริ่มคิดได้ ก็รู้ว่าตนเองจะล่วงเกินได้อย่างไร บัณฑิตผู้นั้นรู้ว่ามีภัยมาถึงตัวแล้ว คืนนั้นจึงได้หลบออกนอกเมืองหลวงไป แต่นั้นมาก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย
ตามคำบรรยายของบัณฑิตผู้นี้ ทุกคนล้วนเดาได้ว่าเป็นจวนท่านจาง
เรื่องเล่าขานนี้ถูกนำมาถวายให้ทอดพระเนตร ฮ่องเต้ว่านลี่ทรงอ่านอย่างละเอียด แต่เหมือนข่าวลือจะเน้นไปที่บัณฑิตผู้นั้น ‘เหลวไหล’ อยู่ในวังสวรรค์อย่างไร เรื่องอื่นๆ ไม่มีรายละเอียดนัก โจวอี้เดาว่าที่ฮ่องเต้ว่านลี่อ่านละเอียด อาจเพราะเห็นว่าเป็นเรื่องเริงรื่นในวังสวรรค์กระมัง
แต่วันนี้เหตุใดจึงถามขึ้น โจวอี้รู้สึกงง ในเมื่อเข้าใจแล้วว่าต้องการสิ่งใด การจะหามาเพิ่มก็ง่าย ไม่นานก็หาได้อีก สองมือประคองทูลแก่ฮ่องเต้ว่านลี่
ฮ่องเต้ว่านลี่แย้มสรวลพลิกเปิดอ่าน โจวอี้คิดไปคิดมาก็กราบทูลว่า
“ฝ่าบาท เอกสารนี้สามหน้าหลังเพิ่งเติมเมื่อปลายปีที่แล้ว สำนักรักษาความสงบส่งคนไปสืบ เรื่องบัณฑิตจวี่เหรินนั่นเป็นเรื่องเหลวไหล แต่มีนางชีสองนางเคยเข้าไปในจวนท่านจาง มักจะติดต่อกันคนในจวนทำหน้าที่ปล่อยกู้ส่งจดหมายให้คนในนั้น นางชีสองคนเอาเรื่องในจวนท่านจางมาเล่าต่อ พวกเขาจึงได้แต่งเป็นเรื่องราว เขียนเป็นนิยายออกขาย คนชั่วพวกนี้ ศาลซุ่นเทียนจับไปลงโทษหนักแล้ว……”
ฮ่องเต้ว่านลี่ทอดพระเนตรเอกสารอย่างละเอียด ฟังโจวอี้ไปพลางพยักหน้าไปพลาง จากนั้นก็แย้มสรวลตรัสถามว่า
“หญิงสาวจากไท่ซี จากสยาม ยังมีหญิงชั้นสูงจากเกาหลี เป็นเรื่องจริงใช่ไหม?”
“ทูลฝ่าบาท เรื่องนี้..น่าจะไม่เท็จ……”
“เห็นนางสวรรค์แต่งกายประดับอาภรณ์งดงาม ไม่เหมือนกับหญิงในโลกมนุษย์ หลังจากได้สนทนา ล้วนเห็นว่ามีค่ามหาศาล ไม่มีเงินมหาศาลเช่นนั้นคงไม่อาจมีได้ หึๆ ก็หมายความว่าหญิงในจวนท่านจางแต่งกายเช่นนี้กันหมดใช่หรือไม่?”
โจวอี้มองจางเฉิงเป็นครั้งที่สาม สีหน้าจางเฉิงนิ่ง เหมือนว่าแอบพยักหน้าให้ โจวอี้คิดมองให้ชัด หากฮ่องเต้ว่านลี่เงยพระพักตร์ขึ้นแย้มสรวล เขาจึงรีบก้มหน้าลังเลกราบทูลว่า
“กระหม่อม……กระหม่อมเองก็ไม่ได้เห็นด้วยตา แต่ในจวนท่านจางฟุ้งเฟ้ออย่างมาก เรื่องนี้ได้ยินมากมาย น่าจะไม่เป็นความเท็จ”
“เห็นหอหยกล้ำค่าราวกับสรวงสวรรค์ วังสวรรค์แล้วอย่างไร เกรงว่าคงไม่อาจสู้ได้ หึๆ เรื่องนี้คงไม่ต้องถามเจ้าแล้ว วันนี้เราไปเยี่ยมท่านจาง ได้เห็นจวนท่านจางแล้ว เป็นเช่นนี้จริง……เป็นเช่นนี้จริง……”
โจวอี้ไม่รู้ว่าควรตอบเช่นไร ได้แต่ก้มกายถวายคำนับ ว่านลี่ยิ้มหันไปหาจางเฉิงตรัสว่า
“จางปั้นปั้น เตียงเรากับพระสนมใช้แค่ขอเกี่ยวทองแดง ม่านเตียงก็เป็นผ้าที่ว่าสำนักในวังหามาจากทางใต้ แต่ท่านจางเป็นขอเงิน ผ้าม่านมุ่งเบาบาง แม้เราไม่ค่อยรู้ แต่ก็รู้ว่าใช้ดีกว่าของเรามาก”
จางเฉิงตะลึงค้างอึ้งไป คิดจะกล่าวอันใด แต่ก็ได้แต่ก้มหน้าเงียบไป ฮ่องเต้ว่านลี่แย้มสรวลหันพระพักตร์ไปอ่านต่อ พลิกไปอีกหน้า ก็หยุด ราวกับว่าอึ้งไป
เงียบไปครู่หนึ่ง ฮ่องเต้ว่านลี่ก็เขวี้ยงเอกสารนั้นลงกับพื้นอย่างแรง ในห้องสามคนเงยหน้าขึ้นมองพร้อมกัน ฮ่องเต้ว่านลี่ลุกพรวดขึ้นจากที่ประทับ สองหัตถ์กวาดของบนโต๊ะลงพื้นหมด อาหารบนโต๊ะถูกกวาดเทลงพื้นกระจัดกระจาย แตกละเอียด
“บัดซบ!!”
ฮ่องเต้ว่านลี่ตวาดดังลั่น ในห้องอึ้งกริบ ด้านนอกมีเสียงฝีเท้าดังมา องครักษ์หลายคนวิ่งกันมา มีคนหนึ่งตะโกนดังเข้ามาว่า
“ฝ่าบาท มีพระบัญชาอันใดหรือไม่!?”
นี่เป็นธรรมเนียมในวังเมื่อองครักษ์ได้ยินเสียงผิดปกติ ฮ่องเต้ว่านลี่ยืนตวาดสุรเสียงดังขึ้นว่า
“ไสหัวออกไป ไสหัวออกไปให้หมด เฝ้าข้างนอกไว้ให้ดี!!”
ด้านนอกรับพระบัญชา รีบถอยห่างออกไป
“ให้เราประหยัด ให้เรามัธยัสถ์ ปกติอาหารเราก็มีแค่เนื้ออย่างเดียว ตอนนั้นจางปั้นปั้นพาเราไปกินเนื้อน้ำแดง เราจึงชอบอย่างมาก ……ท่านจางกินอันใดกัน!! กินปลาจากแม่น้ำทางใต้ ถึงกับมาพร้อมเรือที่บรรทุกน้ำมาด้วย เลี้ยงปลามาถึงเมืองหลวง ให้เราอย่าได้สร้างอันใด เรากับเสด็จแม่พักแต่อาคารเก่าๆ ผุๆ ที่พักจางจวีเจิ้งเป็นไง ในรายงานว่าได้ดี หอหยกล้ำค่า แม้แต่เราเห็นแล้วยังอิจฉา เราไปหาสนมเราบ่อยหน่อย ก็ว่าให้เราห่างไกลสตรีให้มาก เขาทำอย่างไรเล่า!! เขาทำอย่างไร!!”
ตรัสจนสุดท้าย ฮ่องเต้ว่านลี่คว้าสิงโตหยกที่ใช้ทับฎีกาไว้ปาลงพื้นแตกกระจาย พระเนตรแดงก่ำมองไปซ้ายทีขวาที คว้าเอกสารขึ้นมาอ่านอีก ด่ากราดดังว่า
“เจ้าสารเลว!!”
จางเฉิง โจวอี้ เจ้าจินเลี่ยงพากันรีบคุกเข่าลงทันที