ตอนที่ 597 โอรสสวรรค์เยี่ยมไข้ จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
“เราแค่จะไปเยี่ยมไข้ ไยต้องสวมอึดอัดเพียงนี้”
ยามเช้า ณ ห้องบรรทม ฮ่องเต้ว่านลี่ประทับยืนอยู่หน้ากระจก นางกำนัลสองสามนางกำลังยืนล้อมแต่งฉลองพระองค์ พระสนมเจิ้งข้างๆ ยิ้มกล่าวว่า
“ฝ่าบาทไปเยี่ยมท่านจางเป็นงานแผ่นดิน หากไม่แต่งกายตามธรรมเนียม เกรงว่าคนนอกจะว่ากล่าวอันใดอีก”
“งานแผ่นดินไม่เห็นพวกเขาสามารถอันใด พูดถึงธรรมเนียมล่ะก็ ทุกคนกรูกันแสดงสามารถเลยเชียว”
ฮ่องเต้ว่านลี่ตรัสอย่างไม่พอพระทัย มีน้ำเสียงแอบตำหนิเล็กน้อย ตอนกำลังทรงฉลองพระองค์ ก็เห็นขันทีพระสนมเจิ้งก้มหน้าก้มตากระซิบกับเจ้าจินเลี่ยงอันใดก็ไม่รู้
“เจ้าสองคนซุบซิบอะไรกัน มีอันใดไม่อาจให้เราได้รู้กัน?”
ฮ่องเต้ว่านลี่ตวาดอย่างอารมณ์เสีย เจ้าจินเลี่ยงเป็นขันทีรับใช้ข้างพระวรกาย ขันทีรับใช้พระสนมเจิ้งได้รับพระเมตตาด้วยเป็นคนรับใช้สนิทของพระสนมเจิ้ง ตวาดเช่นนี้ไม่ได้กริ้วอันใด ก็แค่ยืนอยู่ไม่มีอันใดทำถามขึ้นเท่านั้น
ได้ยินทรงถามเช่นนี้ พระสนมเจิ้งก็มองไป ขันทีผู้นั้นก็รีบถอยออกไปคุกเข่าลง เจ้าจินเลี่ยงคำนับทูลว่า
“ฝ่าบาททรงโปรดอภัย เมื่อครู่เจี่ยซานเหมินบอกว่าที่ตำหนักข้างมีฝนรั่วสองแห่ง ให้กระหม่อมเร่งสำนักดูแลพระราชฐานในวังมาซ่อมแซม นี่ฝนก็ใกล้จะตกอีกแล้ว”
“ฝนรั่ว? เรื่องนี้สำนักดูแลพระราชฐานชักช้ามานานเท่าไรแล้ว?”
ฮ่องเต้ว่านลี่ถลึงพระเนตร ตามมาด้วยสีพระพักตร์เปลี่ยนไป สุรเสียงเย็นเยียบ พระสนมเจิ้งมองอย่างแปลกพระทัยไปยังขันทีที่คุกเข่าอยู่ หากยิ้มกล่าวว่า
“น้องได้ยินพวกบ่าวบอกกันว่า ทางนั้นไม่ได้ชักช้า เสี่ยวเจี่ยก็ร้อนใจไป จึงได้มาขอให้เสี่ยวเลี่ยงเร่งให้”
ฮ่องเต้ว่านลี่แค่นเสียงเย็น ตรัสว่า
“พวกบ่าวพวกนี้ ในสายตามีแต่ไทเฮากับเฝิงต้าปั้น เคยเห็นเรากับคนของเราอยู่ในสายตาที่ไหนกัน เสี่ยวเลี้ยงเจ้าไปที่สำนักดูแลพระราชฐาน ให้หัวหน้าหลี่จัดการวันนี้เลย!”
เจี่ยซานเหมินที่คุกเข่าอยู่เริ่มตัวสั่น ฮ่องเต้ว่านลี่หันพระพักตร์ไปทางพระสนมเจิ้ง กำลังจะถาม หากไปถามเช่นนี้เกรงว่าคงได้กลายเป็นการล่วงเกินไทเฮาและขันทีใหญ่หลายท่าน หากมีคนคิดอยากหาเรื่องลงโทษก็คงโดนเป็นแน่ แม้แต่ พระสนมเจิ้งยังตำหนิ คนที่กล่าวถึงตามมาอาจไม่เกี่ยวอันใดด้วย ดีไม่ดีคงได้ถูกรุม
เจ้าจินเลี่ยงที่ยืนอยู่รับพระบัญชา เงียบไปครู่หนึ่งก็รายงานว่า
“ฝ่าบาท เมื่อวานที่พักจางเฉิง จางกงกงสองแห่งก็ต้องซ่อม กระหม่อมไปสำนักดูแลพระราชฐานให้คนมาซ่อม ทางนั้นบอกว่าทุกคนมีงานล้นมือ ต้องรออีกสองสามวันจึงจะส่งคนมาได้……ยังบอกว่า ตำหนักฉือหนิงกงกับอุทยานปัจจิมสองแห่งนี้มีที่ต้องซ่อมแซมไม่น้อย”
คนรอบๆ หยุดแล้ว หากเจ้าจินเลี่ยงยังเข้าไปทูล ยังเป็นการซ่อมแซมตำหนักใหญ่ของสองผู้ยิ่งใหญ่ในวัง สำนักดูแลพระราชฐานจะกล้ารอช้าได้อย่างไร แต่ยังไงก็ไม่อาจทำได้ทันที ดูแล้วน่าจะยุ่งมากจริง
ตำหนักฉือหนิงกงเป็นที่ประทับไทเฮา ไม่ต้องพูดถึง อุทยามปัจจิมเป็นที่ฮ่องเต้ว่านลี่และพระสนมเจิ้งไปบ่อยที่สุดสำนักดูแลพระราชฐานย่อมจัดความสำคัญสองแห่งนี้เป็นดันดับต้น
ได้ยินเช่นนี้ ฮ่องเต้ว่านลี่จึงไม่ทรงกริ้วต่อ เพียงแค่สะบัดชายแขนเสื้อตรัสว่า
“นี่เป็นความผิดพลาดของธรรมเนียม ในวังมีห้องมากมาย แต่ละแห่งล้วนมีข้อปฏิบัติสืบมาแต่บรรพชน ไม่อาจขยับเคลื่อนย้ายได้ หลายปีมานี้ ข้อบกพร่องเล็กๆ น้อยๆ ก็มีไม่น้อยจริง ได้แต่ซ่อมๆ ไป เสี่ยวเลี่ยง เจ้าไปบอกสำนักดูแลพระราชฐาน รีบมาซ่อมที่นี่หน่อย”
ทุกคนรู้ดีกว่าฮ่องเต้ว่านลี่พระอารมณ์เย็นลงแล้ว พระสนมเจิ้งแย้มยิ้มขอบพระทัย เจ้าจินเลี่ยงก็รับพระบัญชา พระสนมเจิ้งในวังขันทีและนางกำนัลเห็นสายตาเจ้าจินเลี่ยง เป็นมิตรมากกว่ายามปกติมากนัก
***************
“กระหม่อมถวายบังคมฝ่าบาท ขอจงทรงพระเจริญหมื่นปีๆ !!”
จวนมหาอำมาตย์จางจวีเจิ้งประตูหน้าเปิดกว้าง คนตระกูลจางทั้งหมดในชุดทางการออกมารอรับเสด็จฮ่องเต้ว่านลี่
ฮ่องเต้ว่านลี่ลงจากเกี้ยวเสด็จเข้ามากวาดพระเนตรมอง สุรเสียงอบอุ่นยิ่งว่า
“ลุกขึ้นได้ เรามาเยี่ยมครั้งนี้ พวกเจ้าไม่จำเป็นต้องมากพิธีรีตอง รบกวนถูกท่านจางกลับไม่ดี!”
ได้ยินฮ่องเต้รับสั่ง ทุกคนก็รีบขอบพระทัยลุกขึ้น ตามธรรมเนียม จางจิ้งซิวบุตรชายคนโตจางจวีเจิ้งรีบเข้ามานำเสด็จ ในฐานะบุตรชายคนโต จางจิ้งซิวสอบได้บัณฑิตระดับจิ้นซื่อ ตอนนี้ทำงานอยู่ที่กรมพิธีการ แต่ก็แค่ขุนนางระดับหก บุตรชายมหาอำมาตย์แค่ระดับหก นับว่าต่ำไปจริงๆ
สมัยฮ่องเต้เจียจิ้ง เหยียนซื่อฟานบุตรชายมหาอำมาตย์กาวก่ง หรือสวีฝานบุตรชายมหาอำมาตย์สวีเจี้ยในปลายสมัยฮ่องเต้เจียจิ้งต้นสมัยฮ่องเต้หลงชิ่ง อายุอย่างจางจิ้งซิวนี้ ก็น่าจะได้นั่งตำแหน่งเจ้ากรมโยธา
หากกล่าวว่าจางจวีเจิ้งเกรงคำครหา ตระกูลจางบุตรชายสี่ จางเจี่ยนซิว ก็คือน้องคนที่สี่ของจางจิ้งซิว ตอนนี้เป็นถึงหัวหน้าในสำนักองครักษ์เสื้อแพร ก็นับว่าตำแหน่งใหญ่ไม่เบา
จางจวีเจิ้งอำนาจมากมาย หากจะกล่าวว่า มือสะอาด นั้นอาจไม่ได้ ใต้หล้าล้วนรู้ว่าส่งเงินให้อิ๋วชีมาก ย่อมไม่มีทางที่การงานจะไม่สำเร็จ แต่จางจวีเจิ้งกลับเข้มงวดกับจางจิ้งซิวมากผิดปกติ ต้องการให้จางจิ้งซิวมีชีวิตเรียบง่าย ปฏิบัติราชการด้วยความใจซื่อมือสะอาด ไม่ให้มือเปรอะเปื้อนการซื้อขายตำแหน่ง ชื่อเสียงจางจิ้งซิวในวงขุนนางย่อมดีงาม
แผ่นดินหมิงให้ความสำคัญกับตำแหน่งบัณฑิตจิ้นซื่อมาก หากสอบได้ก็เท่ากับเป็นฐานบินได้ไกล แต่พอสอบได้ ยังต้องมีระดับชั้นต่างๆ หากได้ทำงานที่กรมพิธีการ ก็เท่ากับเข้าสู่เส้นทางการเป็นขุนนางมือสะอาด
การจัดการต่างๆ ทุกคนล้วนเห็นกันดีว่า ท่านจางตั้งความหวังไว้กับบุตรชายคนโตมาก แต่เริ่มก็วางเส้นทางให้เขาก้าวเดินไป หวังให้เดินไปบนเส้นทางขุนนางใจซื่อมือสะอาด เดินไปบนเส้นทางนี้ อายุ 40 กว่าคงได้ตำแหน่งสูง อาจได้เข้าสู่คณะเสนาบดีใหญ่
บิดาและบุตรชายได้ร่วมกันในสำนักเสนาบดีใหญ่ หาได้น้อยมากบนแผ่นดินหมิง ดูอำนาจและตำแหน่งจางจวีเจิ้งในตอนนี้ ผู้ใดกล้ากล่าวว่าเป็นไปไม่ได้กัน?
“ท่านจางอาการเป็นอย่างไรบ้าง?”
ฮ่องเต้ว่านลี่เสด็จเข้าประตูใหญ่มาก็ตรัสถามขึ้น จางจิ้งซิวท่าทางอิดโรย สองตาแดงก่ำเส้นเลือดแดงชัดเหมือนอดหลับอดนอน ได้ยินรับสั่งถาม ก็รีบเข้าไปทูลว่า
“ทูลฝ่าบาท บิดาเช้านี้ตื่นมาก็สลึมสลือได้ราวครึ่งชั่วยาม หมอหลวงสองคนไม่กล้าให้ยา บอกว่ายามนี้การให้โสมบำรุงกลับเป็นการเพิ่มพิษร้อนมากขึ้น ให้หมอดังจากเมืองไคเฟิงใช้ยาบัวหิมะกับลูกบ๊วยต้มเป็นยาแทน……”
ฮ่องเต้ลงจากเกี้ยวหน้าประตู เดินเข้ามาในจวน สำหรับขุนนางแล้วนับว่าเป็นพระกรุณายิ่งใหญ่ จางจิ้งซิวรีบตอบไม่หยุด หากเริ่มรู้สึกว่าเสียมารยาท เห็นชัดว่าหมอหลวงที่ในวังส่งมานั้นความสามารถไม่พอ
จางจิ้งซิวกล่าวได้ไม่ทันจบก็หยุดไป เพราะรู้ว่าไม่เหมาะไม่ควร และยังเห็นว่าฮ่องเต้ว่านลี่อึ้งอยู่กับที่
เดินไปคุยไป ทั้งหมดก็เดินเข้าไปในกลางสวนชั้นกลาง ฮ่องเต้ว่านลี่หยุดเดิน คนด้านหลังก็หยุดตาม ล้วนรอด้วยความรู้สึกหวาดหวั่น
ฮ่องเต้หยุดไม่เสด็จต่อ ต้องการสิ่งใด จางเฉิงข้างๆ หรี่ตามอง เห็นว่าฮ่องเต้ว่านลี่มองไปรอบทิศด้วยความตื่นตะลึง สายตาหยุดอยู่รอบสถาปัตยกรรมรอบทิศ ณ กลางสวนชั้นกลาง และยังมองไปยังหญิงสาวบ่าวรับใช้ในจวนตามมุมที่ไกลออกไปสักครู่หนึ่ง สวนกลางนี้ก็ปกติดี แต่ฮ่องเต้ว่านลี่กลับรู้สึกเหมือนถูกดูดความสนพระทัยไปมองทางนั้นทีทางนี้ที
“ฝ่าบาท ฝ่าบาท……”
จางเฉิงรีบเข้ามากระซิบเรียก ฮ่องเต้ว่านลี่สะบัดพระพักตร์ ได้พระสติคืนมา รับคำ ‘อ้อ’ จากนั้นก็เสด็จต่อไปข้างหน้าต่อ
ก็ไม่รู้ว่าเมื่อครู่จางจิ้งซิวเล่าถึงอาการเมื่อครู่ฟังเข้าพระกรรณไปหรือไม่ แต่ตลอดทางต่อมา ฮ่องเต้ว่านลี่ไม่ทรงถามอันใดอีก
พอถึงเรือนจางจวีเจิ้ง บรรดาสตรีในจวนล้วนถอยห่างไป หมอหลวงหลายคนที่ส่งมาคุกเข่ารอรับเสด็จอยู่หน้าประตู ฮ่องเต้ว่านลี่ตรัสถามว่า
“ท่านจางอาการเป็นอย่างไรบ้าง?”
ได้ยินรับสั่งของฮ่องเต้ว่านลี่ บรรดาหมอหลวงก็รีบสบตากัน แต่ละคนแสดงท่าทางไร้หนทาง หมอหลวงใหญ่อวี๋ซิวไห่กัดฟัน ลงโขกศีรษะหนักๆ หลายที ทูลขึ้นเบาๆ ว่า
“ทูลฝ่าบาท พวกกระหม่อมไร้สามารถ พิษร้อนปะทุนานเกินไป ตอนนี้ได้เริ่มเข้าสู่ส่วนต่างๆ ของร่างกายตามจุดชีพจรแล้ว……”
หมอหลวงกล่าวเช่นนี้ จางจิ้งซิวที่ยืนอยู่ข้างๆ ฮ่องเต้ก็เริ่มโอนเอน หากไม่ใช่ว่าคนประคองอยู่ เกรงว่าคงล้มลงกับพื้นไปแล้ว
ฮ่องเต้ว่านลี่ได้ยินเช่นนี้ ก็ยืนพระวรกายแข็งทื่อ สีพระพักตร์หม่นลง ในที่นั้นเงียบกริบจนน่ากลัว หากมีเสียงร่ำไห้จากหญิงในจวนดังออกมาจากในห้องพัก
ผ่านไปครู่หนึ่ง ฮ่องเต้ว่านลี่ถอนพระปัสสาสะ ส่ายพระพักตร์ไม่ตรัสอันใด เสด็จเข้าไปด้านใน ก่อนจะเข้าไป จางเฉิงรีบถามขึ้นว่า
“หมอหลวงอวี๋ โรคท่านจางแพร่เชื้อให้คนอื่นได้หรือไม่”
หัวหน้าหมอหลวงรีบโขกศีรษะทูลว่า
“โรคท่านจางเป็นอาการภายใน คนรอบข้างไม่ติดเชื้อ จวนท่านจางคนรับใช้ในสิบวันนี้ก็ไม่เป็นอันใด”
พอทูลจบ ฮ่องเต้ว่านลี่ก็เสด็จเข้าไปในห้องแล้ว
เมื่อก่อนเป็นอาจารย์ที่เข้มงวดสอนหนังสือในจวนอ๋องอวี้ อยู่ในวังเป็นท่านจางที่ไร้รอยยิ้ม ในที่ประชุมขุนนางเป็นมหาอำมาตย์จางที่จัดการทุกเรื่องผู้เดียว ยามนี้เป็นเพียงชายชราอ่อนแอที่ป่วยติดเตียง
ในห้องกลิ่นยาตลบอบอวล คนในห้องย่อมรู้จักไม่สบายสักเท่าไร นอกจากกลิ่นแล้ว ก็มีกลิ่นคาวที่น่ารังเกียจผสมกับกลิ่นกำยานหอมที่ฉุนรุนแรง
“ฝ่าบาท กระหม่อมลุกเดินไม่สะดวก ไม่อาจถวายคำนับฝ่าบาท ขอทรงโปรดอภัย!”
น้ำเสียงอ่อนละโหยโรยแรงเต็มที สีหน้าจางจวีเจิ้งแดงระเรื่อ แต่เหมือนว่าแดงเกินไป อาการแดงระเรื่อมากผิดปกติเช่นนี้ เป็นอาการผิดปกติอย่างยิ่ง ฮ่องเต้ว่านลี่รีบสาวพระบำทเข้าไปถึงหน้าเตียงใช้แรงประคองจางจวีเจิ้งเอาไว้ ตรัสอย่างเป็นห่วงว่า
“ท่านจางตรากตรำเพื่อแผ่นดิน จึงได้ล้มป่วยเช่นนี้ได้ ขอให้รักษาตัวให้สบายเถิด”
“ฝ่าบาทอย่าได้ทรงปลอบใจ ร่างกายกระหม่อม กระหม่อมรู้ตัวเองดี เกรงว่าคงไม่ไหวแล้ว……กระหม่อมยังมีงานอีกมาก……เป็นดังชีวิตของกระหม่อม!”
จางจวีเจิ้งน้ำเสียงสั่น กล่าวจบก็ถอนหายใจยาว ฮ่องเต้ว่านลี่ส่ายพระพักตร์ สีพระพักตร์มีแววโศกเศร้า
“ฝ่าบาท นโยบายจัดเก็บภาษีและเรียกแรงงานทำให้เงินเต็มคลัง หากดำเนินการต่อไปได้ พวกมองโกลทางนี้บิดาส่งต่อบุตรชาย ทำให้กำลังไม่ลดลง ฝ่าบาทชายแดนต้องระวังกำลังให้ดี ต้องคุมขุนพลชายแดน ไม่อาจปล่อยปละ……ฝ่าบาท บุตรชายกระหม่อมล้วนไม่รู้ความ กระหม่อมไม่อาจวางใจลงได้……”
“ท่านจางวางใจ ที่ท่านจางว่ามา เราจะต้องปฏิบัติตาม ลูกหลานท่านจาง เราก็จะดูแลให้ดี”
ว่านลี่รับปาก แต่สายพระเนตรไม่หยุดนิ่ง สักครู่มองไปยังผ้าแพรที่เกี่ยวกับมุ้ง สักครู่ก็มองไปยังชามหยกที่มียาอยู่บนโต๊ะไม้จันทร์หอมข้างๆ