ตอนที่ 616 ผู้บัญชาการหวัง
พระสนมเอกเจิ้งกำลังกลับไปยังพระตำหนักที่ประทับ ตอนเช้าออกมา ฮ่องเต้ว่านลี่ยังให้พระสนมรอนานอีกสักหน่อย ศพในลานด้านหน้าขนออกไปหมดแล้ว จึงให้พระสนมกลับมา แต่สีพระพักตร์พระสนมเอกเจิ้งก็ยังคงไม่สู้ดีอยู่ดี
ไม่ต้องพูดถึงว่าเมื่อคืนอาจไม่ได้นอน เสียงตะโกนสังหาร และเสียงร้องโหยหวน กลิ่นดินปืนและกลิ่นคาวเลือดปะทะจมูก ก็ล้วนสามารถให้หญิงสาวอายุน้อยที่ไม่เคยพบเห็นสถานการณ์เช่นนี้มาก่อนต้องฝันร้ายได้ ความจริงแล้ว ในลานด้านหน้าได้เก็บกวาดคราบเลือดไปพร้อมกับคราบอาเจียนของบรรดานางกำนัลและขันที ถึงกับมีนางกำนัลใจเสาะทนไม่ไหว เป็นลมล้มไปไม่ใช่แค่คนสองคน พระสนมเอกเจิ้งเพียงแค่สีพระพักตร์ไม่สู้ดี นี่นับว่าเป็นเรื่องที่เก่งแล้ว
แม้แต่จางเฉิงตอนไปตำหนักฉือหนิงกง ยังเอ่ยชมกับเฝิงเป่าและจางจิงว่าพระสนมเอกเจิ้งครองพระสติได้นิ่งมาก ช่างมีความเป็นเจ้านายชั้นสูงจริงๆ
“พระสนม พระสนม ฝ่าบาทกำลังทรงถลกชายฉลองพระองค์ลงมือตักซุปในชามเสวยกับแป้งเปี๊ยะอยู่ด้านนอกกับบรรดาพลทหารเหล่านั้นเพคะ!!”
นางกำนัลผู้หนึ่งวิ่งเข้ามารายงานพระสนมเอกเจิ้งด้วยความแปลกใจยิ่ง น่าแปลกใจจริงๆ ฮ่องเต้ว่านลี่ค่อนข้างพิถีพิถันเรื่องอาหารการกิน นอกจากอาหารใหม่ๆ ที่บรรดาพ่อครัวห้องเครื่องปรุงมาแล้ว พระสนมเอกเจิ้งยังแอบเชิญพ่อครัวในเมืองมาปรุงให้พิเศษอีกด้วย ยังมีห้องเครื่องเล็กๆ ที่นี่ ก็เพื่อปรุงอาหารที่ถูกปากฮ่องเต้
ในชามซุปมีแต่กระดูกแพะกับเนื้อแพะ แผ่นแป้งเปี๊ยะก็แค่แป้งแข็งๆ กับแกล้มเคียงง่าย ๆ ใช้ต้นหอม เกลือและซีอี๊วปรุงรส ยังมีผักดองที่ในวังปรุงเองอีกสองสามอย่าง อาหารพวกนี้ หากเป็นพวกขันทีหรือนางกำนัลที่พอมีสถานะก็ย่อมไม่แตะต้อง ฮ่องเต้ว่านลี่กลับเสวยเอร็ดอร่อย
“เจ้าเด็กนี้ ใครให้เจ้าไปสอดดูมา ยังมีอีก อย่าเรียกคนในนั้นว่าพลทหาร ต้องเรียกขุนพลใหญ่……”
“พระสนม หม่อมฉันทราบมาว่า ระดับชั้นขุนนางพวกเขาอย่างมากก็แค่นายกองพัน ตำแหน่งเพิ่มเติมก็แค่รองผู้บัญชาการ จะไปเรียกว่าขุนพลใหญ่ได้อย่างไรเพคะ!”
นางกำนัลน้อยถามกลับอย่างไร้เดียงสา แผ่นดินหมิงนอกจากตอนก่อตั้งราชวงศ์และหลังจากเกิดเหตุการณ์จักรพรรดิจูตี้ปราบจลาจลจิ้งหนานขึ้นสู่บังลังก์สงครามจิ้งหนานแล้ว พวกฝ่ายบู๊ที่ได้ตำแหน่งขุนพลก็ยากมาก ทหารชายแดนที่ได้รับตำแหน่งขุนพลใหญ่ก็มีแค่สี่คนเท่านั้น พระสนมเอกเจิ้งสีพระพักตร์ไม่สู้ดีนัก หากพ้นภัยมาได้ ก็พระอารมณ์ดียิ่ง จึงแย้มสรวลตรัสตำหนิไปว่า
“เจ้าจะไม่รู้อันใด พวกเขาน่ะนะ วันหน้าต้องได้เป็นขุนพลใหญ่!!”
**************
“ฝ่าบาท ได้เสวยของดีทั้งอาหารทะเลโสมชั้นดี อาหารพวกนี้เหตุใดยังเสวยได้ออกรสออกชาติเพียงนี้พะยะค่ะ!?”
ผู้ที่สามารถเรียก ‘ฝ่าบาท’ ได้อย่างไม่ค่อยนอบน้อมเช่นนี้มีเพียงหลี่หู่โถวผู้เดียว คำว่า ฝ่าบาท จากปากเขา ฟังแล้วเหมือนเรียก ‘พี่ใหญ่’ มากกว่า หากคนอื่นเรียกเช่นนี้ ย่อมเรียกได้ว่าไม่เคารพเบื้องสูง หลี่หู่โถวทักเช่นนี้ ฮ่องเต้ว่านลี่ก็รับลุกต่อ ซดน้ำซุปไปคำหนึ่งก่อนกลืนแป้งลงไป แย้มสรวลตรัสว่า
“เมื่อคืนไม่ได้นอนทั้งคืน เช้ามายังต้องรีบไปออกว่าราชการ ยังไม่ทันได้เสวยเลย ได้กลิ่นซุปแพะแล้ว ท้องก็ร้องเลย ตอนนั้นที่อยู่ลานฝึกหู่เวย หวังทงพูดได้ถูกต้อง ท้องหิว กินอะไรก็อร่อยออกรส”
ทุกคนฮาดัง หลี่เป้าตายไปทำให้ทุกคนเสียใจ แต่ทุกคนเป็นนายทหาร หลายปีนี้ผ่านการฆ่าฟันมามาก รู้ว่าบนสนามรบล้มตายเป็นเรื่องปกติ ต้องวางให้ได้ หากฮ่องเต้ว่านลี่มีราชโองการไปจัดการแล้ว ครอบครัวหลี่เป้าที่อายุมากก็ให้ราชสำนักกับเทียนจินเลี้ยงดู ที่อายุน้อยก็ให้เรียนบุ๋นเรียนบู๊ หากเรียนบุ๋น ฮ่องเต้ว่านลี่รับปากาว่าจะให้ดำรงตำแหน่งผู้ว่า หากเรียนบู๊ ก็จะให้เป็นผู้บังคับกองทหารสักกอง หากเป็นทหารออกรบ อย่างน้อยต้องได้ตำแหน่งขุนพลหน่วย
การให้คำมั่นเช่นนี้ ก็เท่ากับเป็นการให้อนาคตที่ร่ำรวยวาสนาเงินทองแก่ครอบครัวเขา หลี่เป้าสู้จนตัวตายเพื่ออันใด หากไม่ใช่เพื่อให้ทุกคนในครอบครัวมีสิ่งเหล่านี้หรือ ฝ่าบาทรับปากแล้ว เขาก็ย่อมตายตาหลับ ทุกคนก็ย่อมปล่อยวางความเศร้าได้
เด็กหนุ่มพวกนี้หนึ่งเพราะหิว สองเพราะอยู่รวมกัน กินข้าวก็จะออกรสออกชาติ ไม่นานก็กินเสร็จเรียบร้อย นางกำนัลและขันทีด้านนอกเข้ามาเก็บจานชามออกไปต้องตกใจ
เก้าอี้โต๊ะในห้องไม่มีสักตัว หีบใส่อาวุธและดินปืนล้วนเป็นที่นั่ง บ้างก็นั่งกันกับพื้น
ฮ่องเต้ว่านลี่มองซ้ายมองขวา ล้วนเป็นคนสนิท พวกที่เมื่อก่อนตอนอยู่ลานฝึกไม่ถูกกันตอนนี้ก็เหมือนสนิทสนมขึ้นมา ฮ่องเต้ว่านลี่ไม่ค่อยได้ปล่อยตนตามสบายในวังนัก ได้เห็นหลี่หู่โถว ได้เห็นรอยยิ้มไม่หุบ มันเป็นตัวแทนของวัยหนุ่มที่ส่องประกายดังแสงตะวัน เทียบกับอ๋องลู่ยังเหมือนเป็นน้องชายฮ่องเต้ว่านลี่มากกว่า มองไปยังหวังทงที่นั่งอยู่ ฮ่องเต้ว่านลี่พลันรู้สึกวางใจอย่างแปลกประหลาด
หากไม่ใช่พวกวัยเดียวกันที่โตไวพวกนี้ เขาอาจจะไม่อาจเห็นแสงตะวันของวันนี้แล้ว และก็เพราะพวกวัยเดียวกันที่โตไวพวกนี้ที่สร้างกองกำลังให้เขา เขาจึงได้มีกำลังในมือไว้คุมสถานการณ์ได้เช่นนี้ จึงสามารถก้าวพ้นภัยในครานี้มาได้ สีพระพักตร์ฮ่องเต้ว่านลี่เห็นได้ว่าแย้มสรวลกว้างเบิกบานยิ่ง
ประตูห้องถูกถอดออกมายันประตูลานด้านหน้าไว้ก่อนหน้านี้แล้ว ขันทีและนางกำนัลด้านนอกมองเห็นฮ่องเต้ว่านลี่ยิ้มเบิกบานก็รู้สึกอึ้งปากค้าง
พวกเขาปฏิบัติหน้าที่ในวังมา การมองสีหน้าออกนั้นเป็นเรื่องเชี่ยวชาญ ย่อมรู้ว่าฮ่องเต้ว่านลี่ยามนี้รู้สึกดีใจเบิกบานจากใจจริง เป็นรอยยิ้มที่มาจากใจจริง ตอนฮ่องเต้ว่านลี่มาตำหนักพระสนมเอกเจิ้งเป็นเวลาที่ทรงแสดงออกอย่างจริงใจที่สุด หากก็แค่เงียบๆ ไม่ยิ้มง่ายๆ เช่นนี้
“หวังทง การประชุมราชสำนักวันนี้ เราให้หลิวโหวโหย่วกลับบ้านไปปิดประตูสำนึกผิด ตำแหน่งผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพรย่อมว่างลง เจ้าว่าผู้ใดควรนั่งตำแหน่งนี้?”
แม้ว่ามีตำแหน่งแม่ทัพชายแดน แม้ว่าตำแหน่งหัวหน้ากองกำลังเมืองหลวงและในวังหลวงที่ใหญ่โตมีชื่อ หากในสายตาคนใต้หล้าแล้ว ขุนนางบู๊อันดับหนึ่งก็คือผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพร เพราะตำแหน่งนี้ได้ใกล้ชิดโอรสสวรรค์ กุมอำนาจในการสืบหาข่าวกรองใต้หล้า มีบารมีอย่างมาก
ได้ยินรับสั่งฮ่องเต้ว่านลี่ ทุกคนในห้องก็นิ่งตั้งใจฟัง หวังทงเงียบไป ก่อนจะมองท่าทีฮ่องเต้ว่านลี่ก่อนจะทูลว่า
“ตำแหน่งนี้ไม่ใช่ตำแหน่งที่กระหม่อมออกความเห็นได้ หากฝ่าบาทถามมา อู่ชิงโหวหลี่เหว่ยก็เคยมีตำแหน่งควบในหน่วยองครักษ์เสื้อแพร ยังเป็นพระอัยกาฝ่าบาท ตำแหน่งนี้เป็นเขาเหมาะที่สุด”
หวังทงทูลตอบอย่างนอบน้อมยิ่ง คนที่นำเสนอก็เป็นคนกลางๆ ฮ่องเต้ว่านลี่ยิ้มส่ายหน้าโบกพระหัตถ์ตรัสว่า
“ท่านตาอายุมากแล้ว ชอบแต่เงินทองและทำงานสบายๆ ให้มาดูแลสำนักองครักษ์เสื้อแพร ไม่ยอมแน่ หวังทง เจ้าเองก็มีตำแหน่งควบเป็นรองผู้บัญชาการองครักษ์เสื้อแพรไม่ใช่หรือ เจ้ามาเป็นดีไหม!?”
ทุกคนเริ่มส่งเสียง หวังทงอึ้งไป รีบลุกขึ้นปฏิเสธว่า
“กระหม่อมความรู้น้อย เกรงว่าไม่อาจรับภาระหนักนี้ได้……”
“เงินก้อนจินฮวาล้านสองตำลึงทุกปี ยังทำอะไรให้เราอีกมากมาย ยังมีความดีความชอบจากเมื่อคืนนี้ ยังต้องการความรู้อันใดอีกกัน หลิวโสวโหย่วรู้ตำรานั่นนี่มากมาย แต่ไม่เอาใจใส่ภักดีเราแม้แต่น้อย คนเช่นนี้ไม่สู้ไม่ใช้งานดีกว่า อย่าปฏิเสธเลย พรุ่งนี้ออกประชุม ก็จะมีราชโองการแต่งตั้งเจ้าเป็นผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพร พวกเจ้าจะมาอึ้งอยู่ทำไมกัน รีบคารวะผู้บัญชาการหวังสิ”
ฮ่องเต้ว่านลี่โบกพระหัตถ์ติดๆ กัน หลี่หู่โถวกับพวกลี่เทาไหนเลยจะไม่รับลูกนี้ พากันลุกขึ้นคารวะกล่าวว่า
“ข้าน้อยคารวะใต้เท้าผู้บัญชาการ!!”
ธรรมเนียมไม่เคร่งครัด กล่าวกันฮาดัง หวังทงรีบก้าวขึ้นหน้าออกมาคุกเข่าขอบพระทัยว่า
“ฝ่าบาททรงพระเมตตา กระหม่อมขอยอมถวายชีวิต ขอบพระทัยฝ่าบาท!!”
“ลุกขึ้น ลุกขึ้น”
ฮ่องเต้ว่านลี่ยิ้มโบกมือ หวังทงเริ่มหนักใจ จากประสบการณ์การทำงานในสายอาชีพจากโลกก่อน ยิ่งสร้างความชอบใหญ่ ก็ยิ่งต้องระมัดระวัง หากถูกเบื้องบนเห็นว่าสร้างความชอบแล้วโอ้อวด คิดว่าตนเองใหญ่โต เบื้องบนย่อมระแวง เกรงว่าจะมีภัยมาถึงตัว
แม้เมื่อคืนสร้างความชอบใหญ่ หากบอกว่าเป็นความชอบจากการช่วยชีวิตก็ได้อยู่ ฮ่องเต้ว่านลี่ก็จริงใจ แต่หวังทงรู้ดีกว่าไม่อาจลืมตนได้
เห็นท่าทีหวังทงเหมือนปกติ ในพระทัยฮ่องเต้ว่านลี่ก็รู้สึกสบายขึ้น ความดีความชอบเมื่อคืนหากเป็นธรรมเนียมแต่โบราณมา การมอบบรรดาศักดิ์ให้เป็นโหว หรือกั๋วกงก็ย่อมได้ แต่ตำแหน่งพวกนี้ ฮ่องเต้ว่านลี่ไม่กล้ารับประกันว่าไทเฮาจะทรงเห็นชอบ ไม่กล้ารับประกันว่าในราชสำนักจะไม่คัดค้าน
กำลังสรวลเสเฮฮากันอยู่นั้น ด้านนอกก็รายงานดังมา โจวอี้เข้ามาอย่างรีบร้อน เมื่อคืนเมืองหลวงปราบจลาจล โจวอี้กับหลี่ว์วั่นไฉและหลี่เหวินหย่วนร่วมบัญชาการ พอคุมสถานการณ์ได้ ก็เท่ากับได้สร้างความชอบใหญ่ ตำหนักฉือหนิงกงเลื่อนตำแหน่งให้เขาเป็นรองหัวหน้าสำนักอาชาหลวงแล้ว เรียกได้ว่าพอกลับคืนอำนาจได้ก็ก้าวเดียวขึ้นฟ้าเลยทีเดียว
โจวอี้ล้วนคุ้นเคยกับทุกคน ไม่ใช่คนนอก ฮ่องเต้ว่านลี่อนุญาต โจวอี้รีบร้อนเข้ามา พอเข้ามาก็ถวายบังคม พยักหน้าทักทายรอบทิศ ก่อนจะกล่าวว่า
“ฝ่าบาท แม่ทัพเมืองหลวงเซี่ยหยวนเฉิงถูกจับเข้าคุกแล้ว หลี่เหวินเฉวียนบุตรชายอู่ชิงโหวได้รับภารกิจแทน ออกนอกเมืองไปปฏิบัติภารกิจแล้ว”
กองกำลังวังหลวงปกตินั้นเป็นขันทีอันดับสามหรือสี่ในสำนักส่วนพระองค์ รองเจ้ากรมซ้ายแห่งสำนักตรวจสอบ ยังขุนพลที่เป็นชนชั้นสูงร่วมนำกองกำลัง หลี่เหวินเฉวียนนั้นสถานะเหมาะสม ผู้ใดก็ไม่อาจกล่าวอันใด
“หืม? ให้ท่านอาไป เรารู้แล้ว”
ฮ่องเต้ว่านลี่ไม่ได้ทรงแปลกพระทัย ตรัสเพียงว่ารู้แล้ว โจวอี้มองไปสองด้าน ฮ่องเต้ว่านลี่โบกพระหัตถ์ตรัสว่า
“ล้วนเป็นคนที่เราไว้ใจ มีอันใดก็ว่ามา!”
โจวอี้ลังเลก่อนจะโขกศีรษะทูลว่า
“กระหม่อมขอให้ฝ่าบาท ให้ใต้เท้าหวังและใต้เท้าหลี่อยู่ต่อสองคนเท่านั้นพะยะค่ะ”
หากว่ากันตามความสนิทแล้ว สองคนนี้นับว่าสนิทที่สุด ลี่เทากับซุนซิงสบตากัน ก่อนจะเรียกทุกคนให้ออกไป ฮ่องเต้ว่านลี่ยังตะโกนสำทับว่า
“พวกเจ้าก็มีบำเหน็จรางวัล เราจำได้อยู่นะ!”
คนด้านนอกยิ้มขอบพระทัย พอออกไปกันหมด โจวอี้ก็ทูลขึ้นเบาๆ ว่า
“ฝ่าบาท คนรับใช้ในตำหนักอ๋องลู่ล้วนถูกรัดคอตายหมด บอกคนข้างนอกว่าปกป้องนายจนตัวตาย”
ซวงสี่ขันทีคนสนิทของหลินซูลู่ที่รับใช้ใกล้ชิดอ๋องลู่ก็ตายอยู่ที่นั่น ก็บอกเรื่องราวได้กระจ่างแล้ว ฮ่องเต้ว่านลี่พระพักตร์เยียบเย็น ตรัสถามสุรเสียงเข้มว่า
“แค่คนในตำหนักหรือ?”
โจวอี้สะดุ้งก่อนจะทูลว่า
“ข่าวจากทางนั้นมาว่า ไทเฮาทรงให้อ๋องลู่รีบออกจากวังไปครองบรรดาศักดิ์อ๋องในพื้นที่แล้ว ให้ขุนนางกรมพิธีการหาพระชายาจากตระกูลบัณฑิตในเมืองหลวง”
ฮ่องเต้ว่านลี่รับคำสุรเสียงนิ่ง ‘ออ’ โจวอี้ทูลต่อว่า
“……อ๋องลู่กำลังทรงร่ำไห้อยู่หน้าตำหนักตำหนักฉือหนิงกง ขอเข้าเฝ้าไทเฮา …”