Skip to content

องครักษ์เสื้อแพร 615

ตอนที่ 615 น้ำใจในราชตระกูลไม่อาจสู้ราษฎรสามัญ

ในวังหลายคน ล้วนเป็นบุคคลระดับสูงสุดในวังและฝ่ายใน เหตุจลาจลเมื่อคืนแม้ว่าจะสงบลงได้ยามฟ้าสาง แต่ไม่ว่าผู้ใดคิดแล้วก็คงหวาดกลัว หากไม่ระมัดระวังเพียงนิด ก็คงเกิดภัยใหญ่ยิ่งฟ้า

จางเฉิงเมื่อคืนอยู่กับฝ่าบาท ได้ยินเสียงสังหารดังก้องไปทั่วด้านนอก ได้กลิ่นคาวเลือดกับกลิ่นดินปืนคลุ้งอบอวล ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการที่ได้เห็นศพกองเกลื่อนเต็มพื้น ก่อนหน้านี้ยังมีเหตุที่ฮ่องเต้ว่านลี่กับเขาได้เคยให้รายชื่อองครักษ์ที่ไว้ใจได้ไป กลับถูกตำหนักฉือหนิงกงของไทเฮาฉือเซิ่งปัดทิ้งไป เหตุการณ์ต่อสู้เมื่อคืน พวกโจรแม้ว่าบ้าคลั่ง หากก็เป็นเหมือนพวกนกกระจอกงอกง่อย ก็แค่มีคนมาก ไม่ถึงกับลงมือได้ดังใจเท่านั้น

ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่า จางเฉิงเป็นขันทีคนสนิทฮ่องเต้ว่านลี่ หากอ๋องลู่ขึ้นครองราชย์ เขาคงได้แหลกสลายแท้จริงเป็นแน่ ไม่รู้ว่าจะตกในสถานะรันทดเพียงใด

หลินซูลู่กับอ๋องลู่ในห้องบรรทมสนทนาอันใดกัน ต้องการทำอันใด คนก็ตายราวตะเกียงดับแสง คงไม่มีผู้ใดได้รู้อีก หากตอนนี้ที่คนตำหนักฉือหนิงกงรู้ก็คือ เหตุจลาจลเมื่อคืนมุ่งหมายที่ฮ่องเต้ว่านลี่ สิ่งดึงดูดให้คนลงมือ ก็คือวาสนาที่จะได้หากอ๋องลู่ขึ้นครองราชย์

ทุกอย่างล้วนเป็นไปได้ ขุนนางสมัยใดก็สมัยนั้น ตอนนั้นที่ฮ่องเต้เจียจิ้งขึ้นครองราชย์ พวกคนในจวนตั้งแต่ระดับต่ำสุดในจวนยังได้ตำแหน่งขุนนางระดับเจ็ด ฮ่องเต้หลงชิ่งขึ้นครองราชย์ คนเก่าแก่จวนอ๋องอวี้เป็นอย่างไรเล่า ดูทุกคนในตำหนักฉือหนิงกงก็รู้ได้แล้ว อ๋องลู่ขึ้นครองราชย์คิดว่าคงต้องมีกลุ่มคนที่ไว้ใจได้ มีอำนาจวาสนาล่อลวงดึงดูดเช่นนี้ ย่อมทำให้คนยอมเสี่ยงอันตราย

มีอ๋องลู่เป็นแกนกลาง มีหลินซูลู่วางแผน ในวังและในเมืองหลวงเมื่อคืนก็เกิดเหตุพร้อมกัน หากไม่ใช่ตามที่จางเฉิงบอกมาว่า ฮ่องเต้ว่านลี่เตรียมการไว้พร้อมแล้ว ตอนนี้จะเป็นเช่นไร ผู้ใดก็ไม่กล้าคิดต่อ

สถานการณ์เกือบจะถึงขึ้นไม่อาจควบคุมได้ เพราะตำหนักฉือหนิงกงเข้าควบคุมองครักษ์เข้มงวด จางเฉิงรู้สึกแค้นเคืองใจ หากก็ยังคิดอีกเรื่องหนึ่ง เป็นเพราะตำหนักฉือหนิงกงจงใจจัดการควบคุมองครักษ์เข้มงวด ทำให้เขาเริ่มระวังตัวมากขึ้น ไม่กล้าพูดอันใดมาก

เฝิงเป่ารายงานจบก็หยุดไป ไทเฮาฉือเซิ่งถอนหายใจยาวจากนั้นก็เงียบไป ในพระตำหนักเงียบกริบ เวลาเริ่มเงียบเนิ่นนาน ขันทีสามคนที่ก้มหน้าอยู่ก็เงยหน้าขึ้น ก็พบว่าในช่วงเวลาสั้นๆ ไทเฮาฉือเซิ่งเหมือนแก่ลงไปสิบปี

แม้ว่าเรียกว่าไทเฮา หากไทเฮาฉือเซิ่งปีนี้อายุก็แค่ 40 ต้นๆ ดูแลพระองค์ดี มีวิธีบำรุงพระวรกายดี ดูแล้วก็เหมือน 30 กว่าเท่านั้น แต่ในยามนี้ ไทเฮาดูเหมือนหญิงชราอายุ 50-60 แก่ลงไปมาก ท่าทางอำนาจบารมีดังเคยเป็นมาไม่เห็นอีกแล้ว

“……เมื่อคืนตำหนักอ๋องลู่ เฉาอี้ไปตรวจค้นแล้วเจออันใดหรือไม่!?”

สามคนสบตากัน หัวหน้าขันทีสำนักอาชาหลวงทูลว่า

“ทูลไทเฮา เมื่อคืนตำหนักอ๋องลู่ไม่มีอันใดเกิดขึ้น คนในตำหนักปลอดภัยไร้การบาดเจ็บ”

กล่าวจบก็ก้มหน้าลง ไทเฮาฉือเซิ่งจ้องมองจางจิง ก่อนจะตรัสขึ้นเนิบนาบว่า

“ทางตำหนักอุ่นมีคนวางเพลิง องครักษ์สองกองทางตะวันตกก็ล้วนสู้ตายกับพวกโจร เรื่องนี้เรารู้”

ได้ยินดังนี้ จางจิงก็ได้แต่ก้มหน้า ไม่กล่าวอันใด ตำหนักอุ่นห่างจากห้องบรรทมอ๋องลู่ไม่ถึงร้อยก้าว องครักษ์สองกองทางตะวันตกห่างจากห้องบรรทมอ๋องลู่ราวร้อยก้าวกว่าเท่านั้น ใกล้เพียงนี้กลับมีคนวางเพลิงและต่อสู้ดุเดือด เหตุใดห้องบรรทมอ๋องลู่จึงรอดมาได้ ในวังเป็นคนระดับใดกัน เหตุใดจะไม่เข้าใจประเด็นสำคัญนี้

“……อ๋องลู่เล่าว่า หลินซูลู่อยู่ๆ อ้างว่ามาเข้าเฝ้ากลางดึกเข้ามาในตำหนัก ถือดาบเข้ามาคิดก่อการร้าย ดีที่ขันทีซื่อสัตย์ภักดีช่วยขวางไว้ จึงได้สังหารหลินซูลู่ตายแทน”

เฝิงเป่าทูลเสริมขึ้นท่าทางลังเล สีพระพักตร์ไทเฮาฉือเซิ่งที่เมื่อครู่ฉายแววว่าทรงรู้สึกเหลวไหลอย่างที่สุด ยามนี้เป็นเช่นนั้นอีกครา จึงได้แต่ยิ้มแห้งๆ ก่อนจะคิดทูลต่อ ก็ได้ยินเสียงด้านนอกรายงานดังมา เป็นนางกำนัลจิ่นซิ่ว

แต่ไรมาจิ่นซิ่วเป็นนางกำนัลคนสนิทอันดับหนึ่งของไทเฮาฉือเซิ่ง ณ ตำหนักฉือหนิงกงนี้เกรงว่าไม่เป็นรองเฝิงเป่าและจางเฉิง ปกติพอรายงานดังเข้ามา ก็เดินไปยังข้างกายไทเฮาฉือเซิ่ง วันนี้ไม่เหมือนกับวันวาน พอเข้ามาก็คุกเข่าที่หน้าประตู สีหน้าซีดขาวยิ่ง คุกเข่าลงทูลรายงานว่า

“ทูลไทเฮา เตี่ยนชุ่ยสิ้นใจแล้ว”

“เอาไปเผานอกเมือง เอาเถ้าไปลอยทะเล!”

ไทเฮาฉือเซิ่งสุรเสียงเย็น จิ่นซิ่วรับบัญชาน้ำเสียงแหบพร่า ก่อนจะคำนับออกไป ขันทีในห้องสามคนสบตากัน เตี่ยนชุ่ยเป็นนางกำนัลอันดับสามในตำหนักฉือหนิงกง องครักษ์และขันที รวมทั้งนางกำนัลล้วนแบ่งอำนาจทำงานกันในตำหนักฉือหนิงกง นางรับหน้าที่ดูแลเวรทำงานของขันที

นางกำนัลตำหนักฉือหนิงกงอายุค่อนข้างมาก ปกติก็ย่อมมีขันที ‘อาหารถูกปาก’ อาหารถูกปากของเตี่ยนชุ่ยก็คือซวงสี่ขันทีคนสนิทของหลินซูลู่ รายงานแต่ละหน่วยในเช้านี้ ไทเฮาฉือเซิ่งก็สั่งการให้นำตัวเตี่ยนชุ่ยไปโบยให้ตาย

จิ่นซิ่วออกไป บรรดาขันทีก็คิดจะต่อ ด้านนอกก็มีเสียงรายงานดังมาอีก พระขนงไทเฮาฉือเซิ่งขมวดมุ่น เพราะนางกำนัลจิ่นซิ่วไปแล้วกลับมาใหม่ เข้ามาอีกครั้ง

“ทูลไทเฮา อ๋องลู่คิดขอมาเข้าเฝ้าไทเฮาเพคะ มาถวายพระพร!”

จิ่นซิ่วหมอบอยู่ที่พื้น ในตำหนักเงียบไป ไม่มีผู้ใดส่งเสียงอันใด สีพระพักตร์ไทเฮาฉือเซิ่งเจ็บปวดอย่างมาก แต่ก็จางหายไปอย่างรวดเร็ว ตรัสว่า

“เราไม่เป็นไร เราเหนื่อยแล้ว เมื่อคืนตกใจกับเหตุการณ์ ให้อ๋องลู่กลับไปพักผ่อนให้ดี วันหลังค่อยมาถวายพระพรใหม่!!”

จิ่นซิ่วโขกศีรษะออกไป ประตูปิดลง ไทเฮาฉือเซิ่งโงนเงน หลับพระเนตรลง ก่อนจะตรัสขึ้น หากยามนี้สุรเสียงแหบพร่ามากว่า

“เฝิงเป่า คนในตำหนักอ๋องลู่เมื่อคืนอารักขาอ๋องลู่ปลอดภัย ต่อสู้จนตัวตาย ในวังควรจะดูแลให้ดี”

สามคนสะดุ้งขึ้นพร้อมกัน เฝิงเป่าก้าวขึ้นหน้ามา ทูลถามว่า

“ไทเฮาพะยะค่ะ สองคนที่ช่วยอ๋องลู่ไว้……”

“พวกเจ้าคิดว่าข้าจะเลอะเลือนหรือไง!?”

ไทเฮาฉือเซิ่งสุรเสียงตวาดดัง ทั้งสามรีบคุกเข่าลง ทูลว่า

“กระหม่อมมิบังอาจ!”

สุรเสียงเฉียบขาดยิ่ง หากก็มีความเหน็ดเหนื่อยยิ่ง ส่ายพระพักตร์ตรัสว่า

“อ๋องลู่อายุยังน้อย ปีนี้ก็ใกล้จะออกนอกวังไปครองบรรดาศักดิ์อ๋องในพื้นที่ได้แล้ว ไปแล้วคงได้วางตนได้เป็นผู้ใหญ่ขึ้น เรื่องพระชายา ก็ให้หาเอาจากตระกูลบัณฑิตใสสะอาดในเมืองหลวงให้เหมาะสมก็แล้วกัน”

ทุกคนรับพระบัญชา ไทเฮาฉือเซิ่งโบกพระหัตถ์ ตรัสว่า

“เฝิงเป่าไปดูแลตำหนักอ๋องลู่ก่อน อย่างไรก็ล้มตายไปมาก ในวังก็ต้องดูแลให้ดี”

เฝิงเป่าก้มคำนับทูลลา พอเฝิงเป่าออกไป จางจิงกับจางเฉิงก็สบตากัน พระทัยไทเฮาไม่สู้ดีนัก เหน็ดเหนื่อยอย่างมาก หากอยู่ต่อ ดีไม่ดีอาจโดนกริ้วไปด้วย กำลังจะทูลลา ไทเฮาฉือเซิ่งก็ตรัสขึ้นว่า

“ตำแหน่งในสำนักอาชาหลวงที่ว่างลง สำนักอาชาหลวงเป็นดังองครักษ์วังหลวง ไม่อาจขาดคน พวกเจ้ามีใครในใจแล้วหรือยัง?”

จางจิงหัวหน้าสำนักอาชาหลวงคิดถึงชื่อหลายคนได้ทันที กำลังจะเอ่ย หากไทเฮาฉือเซิ่งกลับหันไปทางจางเฉิงตรัสถามว่า

“จางเฉิง เจ้ามีตัวเลือกในใจหรือไม่?”

พระดำรัสนี้ย่อมเป็นที่เข้าใจกระจ่าง ก็คือให้จางเฉิงแนะนำคนของตน ซึ่งถือว่าเป็นการชดเชยให้แก่ฮ่องเต้ว่านลี่ จางเฉิงก้มตัวลงกล่าวว่า

“ตำแหน่งระดับนี้ไหนเลยจะให้กระหม่อมเสนอได้ ขอไทเฮาและฝ่าบาทตัดสินพระทัยพะยะค่ะ……แต่ว่าโจวอี้แห่งสำนักส่วนพระองค์ก็ทำงานหนักเพื่อให้ในวังปลอดภัย ควรค่าแก่การเรียกใช้พะยะค่ะ”

ไทเฮาฉือเซิ่งพยักพระพักตร์ ตรัสสุรเสียงเนิบว่า

“เจ้าเด็กโจวอี้นี่ข้ารู้จัก ทำงานไว้ใจได้ ความคิดดี ข้าว่ามาดำรงตำแหน่งนั้นเหมาะสมสุด จางจิง เจ้าเป็นหัวหน้าสำนักอาชาหลวง คิดอย่างไร?”

จางจิงหัวหน้าสำนักอาชาหลวงและจางเฉิงแห่งสำนักส่วนพระองค์ล้วนเป็นคนเก่าแก่จากจวนอ๋องอวี้ ล้วนถูกเฝิงเป่ากดหัวไว้ ความสัมพันธ์ระหว่างกันย่อมไม่เลว นับประสาอันใดกับการที่ไทเฮาฉือเซิ่งตรัสมาขนาดนี้ หรือว่าจะบอกว่า ‘ไม่’ ได้กันเล่า จึงได้แต่คำนับทูลว่า

“ไทเฮาทรงพระปรีชา โจวอี้การวางตัวและการทำงานล้วนไว้ใจได้ เหมาะกับตำแหน่งนี้พะยะค่ะ!”

ไทเฮาฉือเซิ่งพยักพระพักตร์ตรัสว่า

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ จางเฉิง เจ้ากับฝ่าบาทดูเรื่องนี้ด้วย มีราชโองการไปก็แล้วกัน จางจิง ห้ากองกำลังสำนักอาชาหลวงต้องตรวจสอบทั้งหมด การอารักขาวังหลวงต้องแน่นหนา เหตุการณ์เมื่อคืนไม่ปกติ วันหน้าห้ามเด็ดขาด……แต่ว่าเมื่อคืนเจ้าเข้าจัดการได้ทันเวลา ข้าก็รู้อยู่ ยังมีเติ้งจิ้นและหูฉีแห่งกองกำลังมังกรฝ่ายซ้าย สองคนนี้ก็ไม่เลว!”

ตอนตรัสถึงว่า ห้ามเด็ดขาด นั้น จางจิงเกือบจะคุกเข่าลงแล้ว ได้ยินพระดำรัสถัดมาจึงได้ผ่อนคลายลง ไทเฮาฉือเซิ่งตรัสต่อว่า

“กลับไปจัดการเรื่องนี้กันก่อนละกัน!”

จางจิงก้มคำนับทูลลา ก่อนออกไปยังหรี่ตามองจางเฉิง ในใจก็รู้ว่าไทเฮาต้องการสนทนากับจางเฉิงส่วนพระองค์

“พวกหวังทงเข้าวังมาได้อย่างไร? ฝ่าบาทเหมือนว่ารู้เรื่องเหตุเมื่อคืนมาก่อน!?”

ถามสุรเสียงเรียบ แต่จางเฉิงรู้ว่าหากตอบผิด จะหมายถึงสิ่งใดตามมา ในใจก็อดนับถือหวังทงไม่ได้ ตอนเช้าก่อนออกจากตำหนักพระสนมเจิ้ง หวังทงกำชับมา เอามารับมือยามนี้พอดี จางเฉิงก้มคำนับทูลตอบนอบน้อมว่า

“ทูลไทเฮา ฝ่าบาททรงพระปรีชา ทรงมองออกจากข่าวที่ได้จากสำนักรักษาความสงบและแต่ละแห่ง……”

*************

ลานหน้าตำหนักพระสนมเอกเจิ้ง คนในตำหนักและคนนอกพากันเอาน้ำโซดาไฟมาราดพื้น ใช้ผ้าเช็ดกันไปรอบหนึ่ง เพื่อลบร่องรอยเหตุการณ์เมื่อคืน

หลายจุดในลานยังจุดกำยาน ราวกับจุดโดยไม่คำนึงถึงราคา ต้องกำจัดกลิ่นคาวเลือดและกลิ่นดินปืนนี้ให้ได้ ความจริง กลิ่นในลานยามนี้ก็แปลกมาก นอกจากกลิ่นพวกนี้แล้ว ยังมีกลิ่นอาหารอบอวลอยู่ด้วย

“นี่หรือห้องเครื่องทำ ซุปกระดูกแพะสู้ถนนทักษิณเราทำไม่ได้เลย ต้นหอมก็ไม่มีกลิ่น หวานไป……”

หลี่หู่โถวมือหนึ่งถือซุปแพะชามโต อีกมือถือแผ่นแป้ง กินไปพูดไป ได้ยินเช่นนี้ หวังทงก็ขมวดคิ้ว ถลึงตาใส่ตำหนิไปว่า

“สถานที่เช่นนี้ยังมากล่าววาจาเหลวไหล รีบกินข้าวเจ้าไปซะ!”

ถูกหวังทงถลึงตาใส่ หลี่หู่โถวก็คอหด ไม่กล้ากล่าวอันใดอีก คนในห้องพากันหัวเราะเสียงดัง ยามนี้ก็ได้ยินเสียงรายงานข้างนอกดังมา ‘ฝ่าบาทเสด็จ’ ทุกคนรีบวางชามในมือลงลุกขึ้นยืนตรง ฮ่องเต้ว่านลี่เสด็จเข้ามาในห้อง เห็นสภาพเละเทะในห้อง ชามจานวางตามพื้นไม่สนใจ สีพระพักตร์บึ้งตึงก็อดมีรอยแย้มสรวลมิได้ โบกพระหัตถ์ตรัสว่า

“ไม่ต้องมากพิธี เราเองก็หิวแล้ว เอาชามตะเกียบมา พวกเรากินด้วยกัน!!”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version