ตอนที่ 608 คืนยามดึก
ในลานสว่างไสว เห็นคนกำลังโผล่หัวขึ้นเหนือกำแพง แต่ก็แค่หัว เสียง ‘ฉึก’ ดังขึ้น ลูกธนูปักลงตรงจุดพอดี
คนที่ถูกยิงก็เงยหน้าหงายหลังลงไป ได้ยินแต่เสียงร้องตกใจ ตามมาด้วยหัวโผล่ออกมาอีก เฉินต้าเหอบนหลังคาน้าวธนูเล็งไม่พลาดเป้า ระยะไม่ถึงสามสิบก้าว ไฟสว่างไสว คนด้านนอกปีนข้ามมา ขึ้นมาไม่ได้ๆ เพราะถูกยิงสกัดไว้
เฉินต้าเหอสายตาดี เป็นมือธนูที่แม่นยำอยู่ เขาเรียนกับถานกง ยิงได้แม่นนำ ระยะใกล้แค่นี้ ธนูน้าวแค่ครึ่งเดียวก็พอ ทำให้ประหยัดแรงน้าว เล็งไปที่ดวงตาของศัตรู ยิงตรงเข้าเป้า
เสียงดังฉึกติดๆ กัน ถูกยิงร่วงไปติดๆ กัน 7 คน แม้ว่าน้าวสายไม่มาก หากยิงกระชั้นชิด ก็จำเป็นต้องใช้เวลาฟื้นตัว เขาหยุดไป คนที่ปีนขึ้นมาก็มากขึ้นเรื่อยๆ
“กลัวอะไร บนหลังคามือธนูแค่คนเดียว ตอนนี้มันก็ล้าแล้ว!”
ด้านนอกมีเสียงดังเอะอะเช่นนี้ หวังทงกับพวกหลี่หู่โถวยืนอยู่กลางลาน หวังทงยกดาบพัวเตาขึ้นโบก เฉินต้าเหอเก็บธนู
ไม่มีธนูคอยคุกคาม ในที่สุดก็ปีนเข้ามาได้ พวกที่ท่าทางงุ่มง่ามพวกนั้นปีนกำแพง จำต้องโยนอาวุธเข้ามาก่อน พอลงถึงพื้นค่อยเก็บอาวุธขึ้น
เห็นเป็นขันทีลัทธิไตรสุริยัน ไม่มีฝีมือ ก้มลงเก็บอาวุธขึ้นมา กำลังจะลุกขึ้น ก็ตาลาย ลำคอเจ็บปวด เป็นความรู้สึกสุดท้าย
คนที่สองที่สามโดดลงมา พวกเขาเห็นคนข้างล่างรออยู่ ก็รู้สึกว่าตนเองหลบได้ คนผู้นั้นท่าทางเคลื่อนไหวไม่ไว พอลงถึงพื้น ก็มีหอกยาวแทงมาราวกับงูฉก แทงทะลุร่าง ส่งเสียงร้องดังโหยหวน ล้มลงกับพื้นทันที
ทวนยาวในมือหลี่หู่โถวกระตุกเบาๆ สองแขนขยับไหว เก็บทวนกลับคืน แสงค่ำคืนส่องไม่ชัดนัก หากทุกกระบวนท่าที่แทงออกไป ย่อมแทงถูกจุดตาย ส่งเสียงร้องแล้วก็สิ้นใจ มีคนถึงกับไม่ทันได้ส่งเสียงร้องด้วยซ้ำ
หวังทงไม่ได้ตามเข้ามาลุยด้วย ตอนนี้ เขากำลังคุมสถานการณ์โดยรวมอยู่ มองดูไม่ให้ปลาเล็ดรอดจากแหเข้ามาก็พอ ขันทีถือไม้พลองดาบสั้นพวกนี้ แม้แต่จะเรียกว่าปลาเล็ดรอดเข้ามายังไม่มีคุณสมบัติพอ
ด้านในเสียงร้องโหยหวน ด้านนอกก็มีเสียงร้องโหยหวน หวังทงอึ้งไป ได้ยินเสียงด้านนอกตะโกนดัง ยังมีเสียงร้องโหยหวน ยังมีคนตวาดดังขึ้นว่า
“เวลาไหนกันแล้ว พวกเจ้ายังคิดหนี บุกเข้าไปจึงจะมีวาสนารออยู่!! บุก!!”
เงียบไปครู่หนึ่ง ก็เห็นคนอีกระลอกปีนข้ามมา ครั้งนี้คนมากกว่าครั้งก่อนหน้าไม่น้อย ใบหน้ำยามแสงส่องกระทบเห็นว่าบิดเบี้ยว ไม่ค่อยๆ ปีนลงมาเหมือนเดิม หากนั่งยองบนกำแพงแล้วโดดลงมาแทน
บนพื้นเป็นหินดาดสีเขียวแข็งโป๊ก กำแพงไม่สูงแต่ก็สูงกว่าคน หลายคนโดดลงมาก็ส่งเสียงร้องเจ็บปวด หากไม่นานก็มีคนลงมาได้ถึงสิบกว่าคน หลี่หู่โถวสังหารไม่ทัน ทวนยาวแทงไปสองสามครา แทงตายไปสี่ ที่เหลือก็ตะโกนกรูกันเข้ามา ซุนซิงเข้าไปช่วย ในมือมีโล่ อีกมือมีขวานสั้น
ทุ่มตัวเข้าไปปะทะ ชนเอาคนด้านหน้าสุดกระเด็นไป ขวานในมือฟันใส่ อีกคนก็ยังได้สติป้องกันไว้ เคลื่อนไหวเร็ว ทันที่จะใช้ดาบสั้นในมือรับไว้ได้
แต่ดาบสั้นไหนเลยจะรับแรงขวานสั้นที่เพิ่มน้ำหนักด้วยการหลอมตีอย่างประณีตในมือซุนซิงได้ ดาบถูกฟันหัก ขวานตัดลำคอและบ่าขาดกระเด็น
อีกทางหนึ่ง นายทหารสองนายของกองกำลังหู่เวยกำลังยืนเคียงใช้ทวนยาวแทงไป ไม่นานก็กำจัดได้หมดเกลี้ยง หวังทงยังไม่ทันได้ลงมือ เขาสังเกตเห็นว่าขันทีสิบกว่าคนที่ปีนเข้ามา ด้านหลังมีอีกแปดคน แปดคนด้านหลังเคลื่อนไหวเร็ว บนร่างกายยังสวมเกราะอ่อนขององครักษ์
พวกองครักษ์พวกนี้พอโดดถึงพื้น ก็ต้องตกใจ เดิมคิดว่าด้านในลานต้องเป็นองครักษ์เหมือนพวกเขา คิดไม่ถึงว่าจะเป็นนักรบชุดเกราะเหล็ก เกราะเหล็กเช่นนี้ เมืองหลวงได้ยินข่าวลือมา เรียกว่า ‘เกราะหู่เวย’ ทหารมีตำแหน่งสถานะจึงจะได้มาครองสักชุด เรียกได้ว่าเป็นเกียรติยศ
“พวกหวังทง……”
ทหารองครักษ์นายหนึ่งคนหนึ่งตะโกนดัง เห็นคนด้านหน้าสุดก้าวเข้ามา
ดาบพัวเตาในมือหวังทงถูกใช้งานเหมือนทวนสั้น แทงเข้ากลางลำ
เขาลงมือก่อน อีกฝ่ายด้านหลังเป็นกำแพง ข้างๆ เป็นเพื่อนกัน หลบก็ไม่อาจหลบ ได้แต่รับไว้
แต่ดาบในมือตนจะรับได้อย่างไร ร่างกายก็มีเพียงแค่เกราะอ่อนทำจากหนัง จะป้องกันได้อย่างไร เสียงดังฉึก ถูกดาบพัวเตาแทงทะลุร่างทันที
เสียง ‘ตึง’ ดังขึ้นสองเสียง สองคนข้างๆ ก็อาศัยจังหวะนี้เข้ามาอยู่หน้าหวังทง ยกดาบจะฟัน หวังทงโยกตัวหลบ ใช้หลังรับสองดาบ
เกราะเหล็กอย่างไรก็ทำจากเหล็กกล้า ดาบฟันลงไปก็เหลือแค่รอยขาว ไม่บาดเจ็บอันใด ดาบในมือหวังทงพลิก กระชากออก กระเด้งถอยหลังไปก้าวหนึ่ง สองแขนฟันฉับ ดาบพัวเตาฟันเข้าขาขวาของคนผู้นั้น คนผู้นั้นส่งเสียงร้องโหยหวน ล้มลงกับพื้นในทันที
หวังทงถอยไปก้าวหนึ่ง ไปประจันหน้ากับคนทางด้านซ้าย ดาบพัวเตาในมือพลิกฟันแนวขวางเข้าใส่ ดาบของคนผู้นั้นอยู่อีกด้าน ย่อมรับไม่ทัน
หวังทงใช้แรงฟันเต็มที่ คนผู้นั้นไม่ทันพลิกตัวหลบ ศีรษะถูกตัดขาด เลือดสาดพุ่งออกมาทันที
ปะทะกันช่วงเวลาสั้นๆ องครักษ์ที่มีเพียงอาวุธสั้นในมือไม่ใช่คู่ต่อสู้ของหวังทงในชุดนักรบเกราะเหล็ก แปดคนถูกสังหารสิ้นซาก
การเคลื่อนไหวไม่กี่ทีก็สังหารติดๆ กันไปทีเดียวสามคน หวังทงยังไม่ทันรู้สึกหอบหรือออกเหงื่อแต่อย่างใด การหมั่นฝึกนั้นมีประโยชน์จริงๆ
“โยนกระบอกธนูขึ้นมา!”
เฉินต้าเหอตะโกนจากบนหลังคา ทหารกองกำลังหู่เวยที่เฝ้าอยู่บนขั้นบันไดหน้าประตูก็วิ่งเข้าไปด้านใน คว้ากระบอกธนู มีราว 30 ดอก โยนขึ้นไป
ด้านนอกยังคงมีเสียงสังหารดังมา แสงไฟเริ่มสว่างยิ่งขึ้น ในวังมีเสาไม้แกะสลัก และอาคารไม้มาก ยังลงสีน้ำมันเพื่อความสวยงาม ลงเคลือบไปไม่น้อย หากในยามนี้วัตถุนี้ติดไฟดีที่สุด ตั้งแต่ฮ่องเต้จูตี้สร้างพระราชวังมา เกิดเพลิงไหม้ทำลายไปหลายครั้ง สมัยฮ่องเต้เจียจิ้งก็เกิดเพลิงไหม้บ่อย ถึงกับต้องซ่อมตำหนักยกใหญ่ ทำให้มหาอำมาตย์เหยียนซงต้องหลุดจากตำแหน่ง
ในวังยิ่งวุ่นวายขึ้น หากรอบๆ กลับสงบเงียบลงอย่างรวดเร็ว พวกหวังทงเห็นการฆ่าฟันจนชินเสียแล้ว ในใจสงบนิ่งมาก แต่ก็ยังต้องการเวลาพักจัดการให้เรียบร้อยอยู่บ้าง
ได้ยินเสียงข้างนอกเงียบลง ในห้องก็เปิดออก ฮ่องเต้ว่านลี่มั่นพระทัยในพวกหวังทง เริ่มมีความกล้าขึ้น เมื่อครู่เสียงร้องโหยหวนดังติดๆ กัน เมื่อครู่มีคนพูดขึ้นนอกประตูว่า ‘ปลอดภัยชั่วคราว’ พระองค์จึงได้กล้าออกมาดู
พระสนมเอกเจิ้งย่อมอยู่ในห้อง จางเฉิงกับเจ้าจินเลี่ยงตามเสด็จฮ่องเต้ว่านลี่เดินออกมาหน้าประตูอย่างกลัวๆ กล้าๆ
ในลานกระถางไฟถูกพลิกฟืนใหม่ ไฟเริ่มลุกขึ้นอีกครา ในกระถางล้วนเป็นไม้ฟืนชั้นดี เผาไหม้ได้นาน ในลานสว่างไสวยิ่ง ฮ่องเต้ว่านลี่โผล่พระพักตร์ออกมาจากหน้าประตู มองซ้ายมองขวา เห็นศพเกลื่อนกลาด กลิ่นคาวเลือดสดคละคลุ้งไปทั่วบริเวณกระทบจมูก ไม่ต้องพูดถึงนอกกำแพงยังมีเสียงสังหารดังมาเป็นระยะ ฮ่องเต้ว่านลี่รู้สึกพะอืดพะอม หันหน้าอาเจียนออกมาทันที
เดิมคิดว่าพวกหวังทงมาเพื่ออารักขาให้ปลอดภัย ผู้ใดจะคิดว่าจะมีการสังหารที่น่าสยดสยองเพียงนี้ ศพในลานเป็นพวกขันที บ้างก็เป็นองครักษ์ ผู้ใดจะคิดว่าในวังถึงกับมีอันตรายมากมายเช่นนี้ได้
จางเฉิงลูบหลังเบาๆ ฮ่องเต้ว่านลี่อาเจียนจนหมดก็ดีขึ้น กำลังจะตรัสอันใด ก็ได้ยินเสียงเกราะดังมา วิ่งมาจากในลาน ตอนนี้ทรงหูไวยิ่ง ตกพระทัย หดพระวรกายลีบลงอย่างไม่ทันรู้ตัว ผินพระพักตร์ไปมอง เป็นลี่เทาวิ่งมา ในมือลี่เมาถือขวานสั้น เกราะเหล็กที่สวมอยู่เปรอะไปด้วยโลหิต
เขาไม่ทันเห็นฮ่องเต้ว่านลี่ จึงกล่าวว่า
“พี่หวัง ด้านหลังมีเจ็ดคนคิดปีนเข้ามา ถูกจัดการไปหมดแล้ว!”
ลี่เทากล่าวจบก็มองไปทางข้างเห็นฮ่องเต้ว่านลี่ รับถวายคำนับ ฮ่องเต้ว่านลี่โบกพระหัตถ์ จางเฉิงเคยเห็นสถานการณ์เช่นนี้มาก่อน กลิ่นคาวเลือดทำให้เขาขมวดคิ้ว หากก็เพียงแค่นั้น ถามขึ้นว่า
“หวังทง ลานกว้างเพียงนี้ พวกเจ้าสิบกว่าคนเอาอยู่หรือ?”
“เดาว่ายังมีคนคิดมาที่นี่อีก ถึงตอนนั้นก็คงต้องสังหารที่ลานด้านหน้า”
จางเฉิงคิดอยู่ครู่หนึ่งก็กล่าวว่า
“คนของเรามีไม่ต่ำกว่าร้อย หากตอนนั้นโจรบุกเข้ามา พวกเจ้าคุ้มกันฝ่าบาท พวกมันย่อมเข้าใกล้ไม่ได้ ฝ่าบาท กระหม่อมและเสี่ยวเลี่ยงจะให้บ่าวที่นี่ทุกคนไปอยู่ที่ห้องใหญ่สามห้องด้านในสุด ให้พวกเขาอุดประตูหน้าต่างไว้ เช่นนี้พอวางใจได้”
ฮ่องเต้ว่านลี่พยักพระพักตร์ จางเฉิงกำลังจะเดินออกไป ฮ่องเต้ก็ถามว่า
“จางปั้นปั้น ไทเฮาเหรินเซิ่งและไทเฮาฉือเซิ่งทางนั้นเกี่ยวข้องหรือไม่ ต้าปั้นล่ะ ฮองเอากับสนมเต๋อทางนั้นล่ะ!?”
“ไทเฮาทั้งสองทางนั้นเป็นองครักษ์เก่าที่คุ้นเคยดี น่าจะไว้ใจได้ เฝิงกงกงมีพวกสำนักบูรพาอยู่ วางพระทัยได้ ฮองเฮาและพระสนมเต๋อนั้น……”
จางเฉิงกล่าวถึงตรงนี้ก็ลังเล หวังทงรับคำต่อว่า
“ฝ่าบาท ในวังเกิดเหตุสังหารเช่นนี้ เห็นว่าพวกเขาไม่อาจคุมอำนาจได้ทั้งหมด พวกเขาวางเพลิง เห็นว่าเพื่อเบนความสนใจ พวกโจรกำลังไม่พอ เป้าหมายคือฝ่าบาท พวกฮองเฮากับสนมเต๋อนั้นไม่น่ากังวลพะยะค่ะ”
สถานการณ์ตอนนี้ได้แต่กล่าวเช่นนี้แล้ว ฮ่องเต้ว่านลี่พยักพระพักตร์ จางเฉิงรีบนำคนออกไปปฏิบัติงาน
**************
“เมืองหลวงมีกฎเข้มงวด พวกเจ้าถึงกับถืออาวุธวางเพลิงก่อการร้าย รีบวางอาวุธคุกเข่ามอบตัวซะ ไม่เช่นนั้นสังหารให้สิ้น!!”
หลี่เหวินหย่วนถือทวนยาวอยู่บนหลังม้าตะโกนดัง ทหารองครักษ์เสื้อแพรและคนจากศาลซุ่นเทียนสิบกว่าคนบนหลังม้าสองแถว ด้านหลังยังมีกองกำลังองครักษ์เสื้อแพรและศาลซุ่นเทียน
ห่างจากหลี่เหวินหย่วนออกไปหลายสิบก้าว ก็เริ่มวุ่นวาย พวกนิรนามเริ่มลนลาน ในมือมีอาวุธและคบไฟ หากไม่กล้าบุกขึ้นหน้า
**************
“…ล้วนบอกว่าเข้าวังมาเสวยวาสนาสุข ข้าไม่ต้องการ ขอเพียงน้องๆ มีชีวิตที่ดี จึงได้ตัดใจตัดของตนเอง ตอนนั้นในวังไม่รับคน พี่น้องข้าได้แต่ทนหิวโหย วันเวลายามนั้นช่างยากจริง……”
หลินซูลู่ยังคงเล่าเรื่องในอดีต กระดาษบุหน้าต่างเริ่มอาบแสงสีแดง