Skip to content

องครักษ์เสื้อแพร 670

ตอนที่ 670 อำนาจเกรียงไกร ชื่อเสียงโด่งดัง

ทหารที่เข้ามาดูการแต่งกายแล้วก็คือพลทหารองครักษ์เสื้อแพร กล่าวให้ถูกก็คือทหารธรรมดาไร้ระดับ แต่กลับมาพูดต่อหน้าขุนนางด้วยท่าทางโอหังเช่นนี้ได้

หลี่ซานไฉกับกู้เซี่ยนเฉิงระดับไม่นับว่าสูง แต่ในเมืองหลวงก็ไม่เรียกว่าต่ำ สามารถเข้าออกจวนขุนนางใหญ่หกกรมกองและเสนาบดีได้ ขุนนางหลายแห่งเห็นพวกเขาสองคนยังต้องเกรงใจ แม้ปกติจะทำท่าสนิทสนมกับทุกคน แต่ในใจนั้นไว้ตัวอย่างมาก

เมื่อครู่วิพากษ์วิจารณ์กันออกรส เหมือนราชสำนักอยู่ในกำมือตนหมดแล้ว อยู่ ๆ ถูกองครักษ์เสื้อแพรเข้ามาสั่งสอน ก็อึ้งไป

‘ปิดปากให้สนิท’ ‘ขอทานข้างถนน’ วาจานี้กล่าวออกมา ไม่ต่างอันใดกับการตบหน้าฉาดใหญ่ ยิ่งมาด้วยสถานะพลทหารเช่นนี้อีก

กู้เซี่ยนเฉิงได้สติก่อน สีหน้าแดงก่ำ ลุกขึ้นจากที่นั่งก็ชี้มือที่สั่นเทำไปยังทหารผู้นั้นกล่าวว่า

“เจ้าเป็นใคร!!? ผู้ใดส่งเจ้ามา!!? พูดเช่นนี้!!!?”

ทหารองครักษ์เสื้อแพรแค่นยิ้มเย็นเยียบกล่าวว่า

“พูดกระจ่างเช่นนี้ หรือท่านฟังไม่เข้าใจ เป็นใต้เท้าหวังเรา รองผู้บัญชาการองครักษ์เสื้อแพรหวังทงใต้เท้าหวังฝากมา”

ตอบตรงไม่อ้อมค้อมทำให้กู้เซี่ยนเฉิงอึ้งไปทันที บัณฑิตร่ำเรียนตำรากล่าววาจำต้องอ้อมค้อม เห็นอีกฝ่ายไร้ความเกรงกลัวเช่นนี้ทำให้ต้องคิดว่าจะเอาอย่างไรต่อดี

องครักษ์เสื้อแพรไม่สนใจเขาอีก หันไปถามหลี่ซานไฉที่อึ้งอยู่ว่า

“ใต้เท้าหลี่ พ่อบ้านรองนี่เป็นคนของตระกูลท่านกระมัง!”

แม้ว่าไม่รู้ว่าเหตุใดจึงถามเช่นนี้ หลี่ซานไฉก็ยังพยักหน้าหงึก ทหารองครักษ์เสื้อแพรหันไปทางพ่อบ้านรองกล่าวถามขึ้นว่า

“เจ้าไปดูที่เทียนจินมาแล้ว ร้านค้าแปดร้านตระกูลเจ้าปิดไปแล้วจริงใช่ไหม! เจ้าไปมาทุกร้านแล้ว ใช่หรือไม่?”

พ่อบ้านหลี่ซานไฉจากทงโจวพยักหน้า สีหน้าอดตื่นตระหนกไม่ได้ ในใจก็คิดว่า การเคลื่อนไหวของตนอีกฝ่ายรู้ได้อย่างไร ทหารผู้นั้นหันไปกล่าวกับหลี่ซานไฉว่า

“พูดปากเปล่า เกรงว่าเจ้าไม่เชื่อ ร้านค้าตระกูลเจ้าที่เทียนจินปิดหมดแล้ว ตอนนี้เจ้าเชื่อแล้วกระมัง!”

หลี่ซานไฉพยักหน้าหงึกๆ ทหารผู้นั้นกล่าวอีกว่า

“รู้ไหมว่าทำไมปิดร้านเจ้า?”

หลี่ซานไฉสีหน้าตำคล้ำไม่กล่าวอันใด ทหารผู้นั้นกล่าวน้ำเสียงเย็นชาว่า

“ใต้เท้าข้ากล่าวว่า โลกนี้ไม่มีแค้นที่ไร้ที่มาที่ไป เจ้ายื่นฎีกาหลายครั้ง และยังแอบก่อกวนสร้างแรงกระเพื่อมก่อกวนเบื้องหลัง จงใจหาเรื่องใต้เท้า ตอนนี้ใต้เท้าเรายุ่งกับการงาน ไม่มีเวลามาเอาเรื่องกับเข้า ก็เลยปิดร้านเจ้าไปก่อนเป็นการสั่งสอน หากยังไม่รู้จักผิดและแก้ไข ใต้เท้าเราก็จะทำให้ตระกูลหลี่เจ้าหาไม่ได้แม้แต่เกลือเม็ดเดียว ไม่อาจทำการค้าได้สักอย่างเดียว!!”

หลี่ซานไฉสีหน้าดำคล้ำลงอีก ไม่อาจกล่าวโต้แย้งอันใดได้ ตระกูลหลี่ร่ำรวย ก็เพราะมีสายสัมพันธ์กับขุนนางเกลือและพ่อค้าลักลอบค้าเกลือ ครั้งก่อนอยู่เมืองหลวง เพราะเรื่องกองกำลังหู่เวย จึงโจมตีหวังทง และก็เพราะหวังทงไปจัดการการลักลอบค้าเกลือที่ฉางหลู

การค้าเกลือที่เทียนจิน ล้วนเป็นแหล่งรายได้หลักของตระกูลหลี่ และก็เป็นหลักประกันแห่งการทำอันใดก็ได้ดังใจต้องการในเมืองหลวงนี้ ตอนนี้ร้านค้าปิดไปแล้ว หากยังบีบคอเรื่องลักลอบค้าเกลืออีกเรื่อง เช่นนั้นเขาย่อมล้มละลายในไม่ช้าแล้ว หากไม่มีเงินทอง ก็เท่ากับเป็นขุนนางยากจน ไม่ต้องพูดถึงคนรอบตัว แม้แต่กู้เซี่ยนเฉิงจะยังคบเป็นสหายอีกหรือไม่ ก็พูดยาก

จะว่าไป เป็นขุนนางเพื่ออะไร หากไม่ใช่เพื่อเงินทอง อาศัยเงินทองเพื่อตำแหน่งขุนนางสูงต่อไป ได้อำนาจยิ่งมากขึ้น จากนั้นก็อาศัยอำนาจกอบโกยให้ตระกูลตนยิ่งมากขึ้นไปอีก นี่ก็คือเป้าหมายชีวิตของหลี่ซานไฉ แต่ตอนนี้หวังทงส่งคนมาเตือน ทำให้หลี่ซานไฉถึงกับไปไม่เป็น

การต่อสู้ทางการเมืองและการแย่งชิงทางการเมืองล้วนเปลือกนอกยิ้มแย้ม แอบซ่อนดาบแทง นับประสาอันใดกับการที่ขุนนางบุ๋นด่าขุนนางบู๊นั้น ตั้งแต่ตั้งราชวงศ์หมิงมา ขุนนางบุ๋นก็ล้วนดูแคลนกดขี่ขุนนางบู๊ นี่เป็นเรื่องที่ควรเป็นเช่นนั้น ขุนนางบู๊ไม่ได้รับความยุติธรรมเช่นไร ก็ต้องกัดฟันทน ด่าถูก พวกขุนนางบุ๋นก็มีความชอบ ด่าผิด ก็มีระเบียบว่าขุนนางบัณฑิตกล่าวตักเตือนไร้ความผิด

ผู้ใดก็คิดไม่ถึงว่า หวังทงถึงกับทำไม่ไว้หน้ามาตรงๆ เช่นนี้ ไม่คุยเรื่องมารยาททางการเมืองกับพวกเจ้า หากมาเตือนฉีกหน้ากันตรงๆ เป็นอะไรที่หลี่ซานไฉไม่ทันตั้งตัว

เขาไม่ได้ยืนขึ้นระเบิดอารมณ์อย่างกู้เซี่ยนเฉิง หลี่ซานไฉกำลังครุ่นคิดว่าตนเองมีอันใดจะตีโต้กลับได้หรือไม่ ถึงกับคิดว่าจะถือโอกาสนี้ตีโต้คืนหวังทงได้หรือไม่ แต่ไม่ว่าคิดอย่างไร หลี่ซานไฉก็หาหนทางไม่เจอ หวังทงสามารถให้เขาสิ้นเนื้อประดาตัว เงินที่หามาล้วนต้องคายออกมา ถึงกับอาจต้องเป็นหนี้ก้อนโต ขอเพียงหวังทงทำ เขาก็ไม่อาจมีกำลังจะตีเอาคืน และคงไม่อาจฟื้นคืนชีพได้อีก

“ขอฝากไปเรียนใต้เท้าหวัง ข้ามิได้คิดหาเรื่องโจมตีใต้เท้าหวัง เรื่องที่ผ่านมาล้วนเข้าใจผิด วันหน้าจะไม่มีเรื่องเช่นนี้อีก”

เงียบไปนาน หลี่ซานไฉจึงค่อยๆ กล่าวขึ้น น้ำเสียงแหบพร่า กู้เซี่ยนเฉิงอึ้งหันไปมอง ก็เห็นสีหน้าหลี่ซานไฉไร้สีเลือดหมดหวัง เมื่อครู่ยังมั่นใจอยู่ หากตอนนี้มลายหายไปสิ้น

“หืม? เช่นนี้ต้องการให้ข้าน้อยนำวาจานี้ไปเรียนได้เท้างั้นหรือ?”

พลทหารบี้เข้าถามย้ำ สีหน้าหลี่ซานไฉเริ่มมีแววกรุ่นโกรธ แต่ก็พยักหน้าช้าๆ พลทหารองครักษ์เสื้อแพรจึงได้ก้มคำนับกล่าวว่า

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ใต้เท้าเราก็มีวาจาบอกกล่าวแก่ใต้เท้าหลี่เช่นกัน ใต้เท้าหลี่วันหน้าทำอันใด ใต้เท้าเราก็จะตรวจสอบอยู่ทุกการกระทำ ใต้เท้าหลี่หากคิดจะหาเรื่องใต้เท้าเรา คิดดูว่าตนเองมีความสามารถอันใด คิดว่าอาศัยแค่ปากกับพู่กันนั้นมีประโยชน์หรือไม่ ขอตัวก่อน!”

กล่าวถึงตรงนี้ ก็ประสานมือจากนั้นก็เดินออกไปอย่างไม่กลัวเกรงผู้ใด นอกประตูมีคนในจวนพยายามชะเง้อมองเข้ามา เห็นองครักษ์เสื้อแพรออกมา กลับไม่มีผู้ใดกล้าขวางทาง พากันแหวกทางให้

แสงตะเกียงในห้องส่องแสงริบหรี่ หลี่ซานไฉและกู้เซี่ยนเฉิงก็นั่งนิ่งค้างอยู่ พ่อบ้านรองที่พื้นก็ยังคงนึกไม่ออกว่าควรยืนขึ้น หากยังนั่งแปะอยู่ที่เดิม

“ยังยืนเซ่อทำไมกัน ความร้อนในห้องออกไปหมดแล้ว รีบปิดประตูสิ!!”

สุดท้ายเป็นหลี่ซานไฉที่หันไปตะโกนดัง พวกคนที่ยังงงกันอยู่ก็รีบเข้ามาทำตามคำสั่ง หลี่ซานไฉกล่าวน้ำเสียงเยียบเย็น

“เรื่องวันนี้ล้วนปิดปากให้เงียบ หากใครพูดออกไป ก็จะตีให้ตาย คนในจวนก็จะถูกส่งไปเฝ้าโรงบ้านที่มี่อวิ๋นแทน!!”

คนในจวนพากันเงียบกริบ รีบรับคำ พอประตูปิดลง หลี่ซานไฉก็ถอนหายใจออกมา หันไปกล่าวกับพ่อบ้านรองว่า

“เจ้ากลับไปเรียนนายท่าน ร้านทางนั้นอีกสองสามวันก็เปิดได้ ไม่ต้องเป็นกังวล!”

พ่อบ้านรองตอบรับ ‘อืม’ อย่างไร้ความรู้สึก สติคืนมา มองไปทางหลี่ซานไฉอย่างแปลกใจ หลี่ซานไฉจึงได้อธิบาย อย่างอ่อนล้าว่า

“ทางนั้นแม้จะบีบคอเราตายไป ข้าก็จะดิ้นรนยื่นฎีกาได้ เขาเองก็ต้องยุ่งยากบ้าง ในเมื่อไม่ใช่สถานการณ์ที่ถึงที่สุด เช่นนี้ก็แค่การเตือน ร้านค้ายังเปิดได้ หากบิดาข้าถาม เจ้าก็อธิบายไปตามนี้ หากบิดาข้าไม่ถาม เจ้าก็อย่าได้ปากมากไป ไม่มีอันใดแล้ว พักคืนหนึ่งพรุ่งนี้ก็กลับไปได้แล้ว!”

พ่อบ้านรองรีบคำนับวิ่งออกไปแล้วปิดประตูลง พอประตูปิดลง ในห้องเหลือแต่หลี่ซานไฉและกู้เซี่ยนเฉิงสองคน กู้เซี่ยนเฉิงสีหน้าโมโหยืนขึ้น คำรามขึ้นเบาๆ ว่า

“หวังทงวางอำนาจเหิมเกริมถึงขั้นนี้ได้ พี่เต้าผู่ ข้าไปขอความช่วยเหลือหน่วยงานต่างๆ ในเมืองหลวง บอกว่าอะไรนะที่ว่าปากและพู่กันไร้ประโยชน์ เช่นนั้นให้เจ้าคนลืมตัวผู้นี้ลองดูฝีพู่กันเราบ้างเป็นไร ให้เขาได้รู้ว่าบัณฑิตวิจารณ์ก็สังหารคนได้ พี่เต้าผู่ ปล่อยให้หวังทงเหยียบย่ำตามใจเช่นนี้ หากเรื่องนี้แพร่ออกไป ท่านและข้าจะมีที่ยืนในเมืองหลวงได้อย่างไร”

หลี่ซานไฉสีหน้าไร้ความรู้สึก แต่เงยหน้ากวาดตามองกู้เซี่ยนเฉิง กล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า

“อยู่ในจวนเช่นนี้จะแพร่ออกไปได้อย่างไรกัน เจ้าและข้าสู้ตายกับหวังทง หากฝ่าบาททรงปกป้อง เรื่องก็คงไม่อาจจบง่ายๆ ตอนนั้นเราพี่น้องคงเสียหน้าหมด ตอนนั้นจะยังทำอันใดได้อีก เจ้าคิดว่าไม่มีชื่อเสียงพวกนี้จะคบสหายใต้หล้า ยังจะมีผู้ใดสนใจพวกเรา?”

ได้ฟังหลี่ซานไฉกล่าวเช่นนี้ กู้เซี่ยนเฉิงก็ไม่มีอันใดจะกล่าวต่อ เมื่อครู่รอคนออกไปค่อยพูดเบาๆ กู้เซี่ยนเฉิงก็แค่ทำท่าทำทางไปอย่างนั้น พอเห็นท่าทางเขา หลี่ซานไฉจึงได้กล่าวความจริงออกมาว่า

“พี่เต้าผู่ หากไม่ไปแตะต้องหวังทง เช่นนั้นพี่และข้าจะ……”

เงียบไปนาน กู้เซี่ยนเฉิงเอ่ยถามขึ้น หลี่ซานไฉถือถ้วยชาในมือเคาะโต๊ะเบาๆ ก่อนขว้างออกไปแตกเป็นเสี่ยงๆ สูดลมหายใจเข้าลึก่อนจะกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงไม่พอใจว่า

“คงต้องมีวันเวลาของเราสองคนบ้าง ในราชสำนักนี้เซินสือหังกับจางเสวียเหยียนอยู่ตำแหน่งสำคัญ แต่พวกเขากลับไม่ใช่พวกจางซื่อเหวย……”

**********

จวนหลี่ซานไฉเกิดเรื่องเช่นนี้แพร่ออกไป เมืองหลวงรู้กันทั่ว แต่สวีกว่างกั๋วกลับเห็นว่า ขุนนางบัณฑิตชิงหลิวเมืองหลวงที่ปกติเอาเรื่องกลับเงียบกริบในทันที แม้มีคนมาชุมนุมกันเขียนกลอนเสียดสีสองสามประโยค ก็ไม่อาจสร้างแรงเคลื่อนไหวใด

วันนั้นขุนนางบัณฑิตชิงหลิว 30 คนถูกลงโทษฐานลบหลู่เบื้องสูง แม้ว่าทำให้พวกเขารู้สึกหวาดกลัวหาทางป้องกันตนเอง แต่ก็มีความแค้นอัดแน่นในใจ ขอเพียงมีคนส่งเสียงขึ้นก่อนทุกคนก็พร้อมจะเฮโลตาม คิดไม่ถึงว่าแอบเคลื่อนไหวไม่กี่วัน ก็เงียบกริบลงไปอย่างไม่รู้สาเหตุเช่นนี้ได้

ทางเหนือเมืองหลวง ห่างจากกำแพงเมืองออกไปไม่ถึงสามลี้ เป็นโรงบ้านใหม่ของเซี่ยงเฉิงป๋อตระกูลเฉิน พื้นที่กว้างขวาง เมื่อก่อนใช้เพื่อเลี้ยงวัวและม้า แต่วันที่ 9-10 เดือนสอง ตระกูลเฉินกลับส่งคนมากวาดอัดทับที่ให้เรียบทั้งแถบ ที่ไหนที่จัดให้ราบเรียบได้ก็จัดการทั้งหมด การทำเช่นนี้หญ้าย่อมไม่อาจขึ้นอีก คนเก่าแก่โรงบ้านทำไปก็ด่าไป บอกว่าเป็นการทำลายพื้นที่เพาะปลูกโดยแท้

วันที่ 12 เดือนสอง เช้าวันนั้นประตูเมืองเพิ่งเปิด หวังทงก็นำกำลังออกนอกเมืองมาถึงโรงบ้านแห่งนี้ สนามหน้าลานทางตะวันตกของโรงบ้านมีเวทีไม้สูง ตอนนี้เฉินซือเป่ามารอยู่ก่อนแล้ว โรงบ้านเตรียมอาหารต้อนรับหวังทงกินอาหารเข้าก่อน

พระอาทิตย์ขึ้นสูงแล้ว เริ่มมีทหารองครักษ์เสื้อแพรออกมาแล้ว……

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version