Skip to content

องครักษ์เสื้อแพร 683

ตอนที่ 683 ผู้อำนาจแท้จริงย่อมเป็นใหญ่

ห้องทำงานผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพรกว้างขวาง จัดแต่งได้สมฐานะ ในห้องอย่าว่าแต่นั่งสี่คนเลย สิบสี่คนก็ยังไม่เบียด

ที่กว้างเช่นนี้ หวังทงกลับนั่งห่างกับเหรินต้าถงและผู้ช่วยอีกสองคนมาก อาจเรียกได้ว่า เป็นหวังทงกับเขาอีกสามคน

ผู้ช่วยผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพรเหยียนจวิ้นเฉวียน ผู้ช่วยผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพรหยางจั้นและรองผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพรเหรินต้าถง สามคนใกล้กัน แต่ห่างจากหวังทงมาก เกือบจะคนละมุมห้อง อีกสามคนอยู่อีกทางหนึ่งของห้อง

เหรินต้าถงเป็นชายร่างอ้วน เคราหนา หากตัดแต่งเป็นระเบียบ นั่งอยู่ด้วยท่าทางวางอำนาจอย่างมาก เหยียนจวิ้นเฉวียนเป็นชายผิวขาวร่างอ้วนท้วน หนังตาตกลงมาทำตาหยีเกือบปิด แม้ว่าอยู่เฉยๆ ก็เหมือนกับยิ้ม หยางจั้นกลับเป็นชายร่างผอมวัยกลางคน หนวดเคราหรอมแหรม เหมือนกับครูสอนหนังสือหรือไม่ก็ที่ปรึกษาในหน่วยงานทางการ

สามคนนี้คนหนึ่งวางท่า คนหนึ่งนุ่มนวล อีกคนกำลังคิด แต่ก็มีท่าทีสงบนิ่งเช่นเดียวกัน เป็นการวางท่าทางตามสถานะ องครักษ์เสื้อแพรเป็นหน่วยงานมีชื่อ สามคนยังเป็นสามในห้าที่อยู่ในตำแหน่งใหญ่ของหน่วยงาน ปกติย่อมสูงส่ง และมีอำนาจในมือมาก นานวันย่อมก่อจนมีท่าทางไว้ทีเช่นนี้

พวกเขาอายุน้อยสุดน่าจะเกือบ 40 หล่อหลอมจนมีท่าทีเช่นนี้ย่อมไม่แปลก แต่หวังทงด้านหน้าพวกเขากลับมีท่าทีสงบนิ่ง ไม่ยินดียินร้าย หวังทงอายุแค่ 20 เท่านั้น เหตุใดจึงวางท่าทีเช่นนี้ได้?

พวกเขานั่งอยู่ในห้องทำงาน ทหารรับใช้เข้ามารินน้ำชาแล้วก็ออกไป ตอนออกไปฝีเท้าเร็วกว่าปกติ พวกเขารู้สึกได้ว่าในห้องบรรยากาศไม่ปกติ

พวกเหรินต้าถงสามคนรู้สึกงง นั่งอยู่นั้น สามคนพยายามเปล่งรัศมีกดทับ สามคนอยู่ในอำนาจมานาน เป็นใหญ่ในสำนักองครักษ์เสื้อแพรมาหลายปี เห็นคดีเลือดมามาก พวกเขาหากต้องการจัดการกดคนข้างๆ เอาไว้ คนปกติย่อมไม่อาจทนรับไหว ต้องรีบคุกเข่าลงอย่างรวดเร็ว

พวกเขาเข้ามาในห้องไม่ทักไม่ทาย ถึงกับไม่พยักหน้าให้ หากเอาแต่หาที่นั่งไม่สนใจ ส่งสายตาเยียบเย็นบ้าง ดูแคลนบ้าง เด็กหนุ่มจะทนรับไหวได้อย่างไร ต้องนั่งไม่เป็นสุขแน่ ย่อมต้องแสดงอารมณ์ออกมาให้ขายหน้า

คิดไม่ถึงว่า พวกเขาส่งรัศมีกดทับไป หวังทงกลับเอาแต่ยิ้มอ่อนมองมา ราวกับไม่ได้รับรู้กลิ่นไอกดทับแต่อย่างไร การเงียบใส่เช่นนี้ กลับทำให้พวกเหรินต้าถงสามคนอึดอัดแทน

พวกเขาไม่รู้ว่าหวังทงคาดเดาสงครามเย็นเช่นนี้ไว้แล้ว ในสนามการทำงานชาติก่อน หากคนใหม่มาในที่ไม่ใช่ที่ตนเองแล้วต้องการแบ่งสรรบางส่วนไป คนเก่าก็ย่อมได้รับความเสียหาย ย่อมต้องเย็นชาเข้าใส่ นับประสาอันใดกับวงการขุนนางที่เน้นเรื่องระดับชั้นเช่นนี้ พลทหารระดับล่างของสำนักองครักษ์เสื้อแพรอย่างมากสุดก็เป็นได้แค่นายกองธงใหญ่ การจะเป็นนายกองร้อย นายกองพันได้ย่อมเป็นคนอีกจำพวกหนึ่ง เป็นรองผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพรหรือผู้ช่วยก็อีกจำพวกหนึ่ง ไม่อยู่ในพวกเดียวกัน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงประสบการณ์การทำงานที่ผ่านมา

หวังทงไร้ประสบการณ์การทำงานที่นี่ อายุไม่ต้องพูดถึง ตอนเป็นนายกองพันที่เทียนจิน ทุกคนก็ไม่ข้องเกี่ยวกัน ตอนนี้อยู่ๆ ยื่นขาเข้ามาข้องเกี่ยว ผู้ใดจะรับได้ การแสดงความไม่เป็นมิตรย่อมเป็นสิ่งที่ต้องเกิดขึ้น

เจตนาไม่เป็นมิตรเช่นนี้แต่ไม่อาจเข้าจัดการได้ ตอนนี้ไม่ใช่ยุคสมัยจางจวีเจิ้งแล้ว หวังทงย่อมไม่สนใจคนสามคนเบื้องหน้านี้คิดเช่นไร พวกเขาคิดไปเองว่าองครักษ์เสื้อแพรคืออำนาจสูงสุด กลับไม่รู้ว่าใต้หล้านี้ยังมีอีกกว้างใหญ่ไพศาล หวังทงจะไปสนใจได้อย่างไร หากบอกว่ามีความคิดอะไรอยู่ ก็คงเป็นแค่รู้สึกขันในความคิดแคบๆ ของเขาสามคน

เห็นหวังทงแสดงท่าทางไม่ยี่หระ พวกเหรินต้าถงก็เริ่มอึดอัด คิดตอนแรกว่าจะมาจัดการเด็กน้อย เด็กนี่กลับกล้าวางท่าใส่พวกเขาเช่นนี้ได้

รอให้คนที่ทนไม่ไหวระเบิดก่อน ในใจคิดว่าเด็กน้อยเช่นเจ้า ถึงกับกล้าวางท่าเช่นนี้ใส่พวกข้าได้

มาถึงตอนนี้เขากลับลืมไป หากวางท่าข่มกัน ผู้ใดทนไม่ไหวเอ่ยขึ้นก่อนก็แพ้ เหรินต้าถงกระแอมไอกล่าวว่า

“ใต้เท้าหวัง เมื่อวานท่านวางอำนาจทั่วเมืองหลวง ทุกคนล้วนรู้เรื่องนี้ องครักษ์เสื้อแพรเราหลายสิบปีมานี้นี่เป็นครั้งแรก 150-160 คนถูกลากไปโบยกลางถนน ขายหน้าพวกเขา หรือว่าไม่ขายหน้าชาวองครักษ์เสื้อแพรเรา ใต้เท้าหวัง ท่านตอนนี้เป็นรองผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพร ไม่ใช่นายกองพันเหมือนเมื่อก่อน ที่นี่คือเมืองหลวง ไม่ใช่เทียนจินของท่าน!”

เหรินต้าถงกล่าวเสียงเข้มติดๆ กันยาว ดูเหมือนตักเตือน แต่แท้จริงแล้วคือการกำราบ หวังทงยกชาขึ้นเป่าก่อนจะจิบคำหนึ่ง ลังเลครู่หนึ่งก็ส่ายหน้ายิ้ม

สามคนนี้ยังคิดว่าหวังทงจะพูด คิดไม่ถึงว่าเอาแต่ยิ้มส่ายหน้า ไม่กล่าวอันใด ท่าทีเช่นนี้ทำให้พวกเหรินต้าถงโมโหเดือดจัด ผู้ช่วยผู้บัญชาการเหยียนกระแอมไอกล่าวว่า

“ใต้เท้าหวัง เมื่อวานท่านลงทัณฑ์ก็ด้วยเรื่องการฝ่าฝืนคำสั่ง หลานข้าไยเข้าไปโดนด้วย เมื่อวานหมอมาดูอาการบอกว่าอย่างน้อยต้องพักหนึ่งเดือน ล้วนพี่น้องเรากันเอง เงยหน้าก้มหน้าคงได้พบปะกันสักวัน ไยต้องลงมือโหดเหี้ยมเช่นนั้นด้วย?”

“ยุยงให้คนกันเองต่อต้านคำสั่ง แพร่ข่าวลือเท็จให้องครักษ์เสื้อแพรเราเข้าใจผิด ความชั่วร้ายเช่นนี้จะต้องลงโทษให้หนัก”

“เจ้า!!”

หวังทงตอบไม่อ้อมค้อม ผู้ช่วยผู้บัญชาการเหยียนร่างอ้วนผิวขาว คิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะตอบไม่ไว้หน้าเช่นนี้ ในวงการขุนนางย่อมรู้จักรุกถอยให้เป็น เน้นเรื่องการพูดตรงเพียงสามส่วน คิดไม่ถึงว่าหวังทงจะตรงเช่นนี้ ผู้ช่วยผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพรเหยียนจวิ้นเฉวียนหน้าแดงก่ำด้วยความโมโหขึ้นทันที

หากเป็นหยางจั้นที่เอาแต่ยกมือลูบเคราไปมา สองตาส่องประกาย ไม่รู้ว่าคิดอันใดอยู่ หวังทงกวาดตามองสีหน้าทั้งสาม ในที่สุดก็อดไม่ได้ หัวเราะดังลั่นขึ้น

หวังทงหัวเราะดังมาก แม้แต่คนรับใช้ด้านนอกก็ยังได้ยินชัด พวกที่แปลกใจก็อดไม่ได้ยื่นหน้ายื่นตาเข้ามาดู หากถูกพวกเดียวกันดึงไว้ เทพทะเลาะกัน เจ้าไปยุ่งอันใดด้วย หาเรื่องตายหรือไง?

ฝ่ายหนึ่งหัวเราะ อีกสามคนกลับงง เมื่อครู่คุยกัน หวังทงไม่ไว้หน้าแม้แต่น้อย กลับหัวเราะดังลั่นเช่นนี้ หัวเราะไม่หยุดอีกด้วย เหรินต้าถงยืนขึ้น ผู้ช่วยผู้บัญชาการเหยียนก็ยืนตาม ถลึงตาจ้องมอง สองคงระเบิดอารมณ์ออกมา สบตากัน ไม่รู้ว่าจะด่าเช่นไรดี

สถานการณ์ตอนนี้อึดอัดบอกไม่ถูก หยางจั้นถามขึ้น

“ใต้เท้าหวัง หัวเราะด้วยเรื่องใดกันหรือ?”

หวังทงหยุดหัวเราะ ได้แต่ส่ายหน้า สีหน้าแสดงให้เห็นว่าไม่พอใจ ได้ยินหยางจั้นถาม หวังทงตอบอย่างไม่ยี่หระว่า

“หรือว่าพวกเจ้าทำได้แค่นี้? ข้ามาเป็นองครักษ์เสื้อแพร พวกเจ้าเห็นข้าขัดหูขัดตา ข้ารู้ และก็รู้ว่าพวกเจ้าแอบยุยงข้างหลัง ทว่าเป็นถึงรองและผู้ช่วยผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพร มีความสามารถแค่นี้หรือ ใช้ธรรมเนียมองครักษ์เสื้อแพรมากดข้างั้นหรือ? บอกว่าข้าไม่ไว้หน้า? เรื่องนี้ ข้าไว้หน้าพวกเจ้าก็แค่ขอโทษ ไม่ไว้หน้าพวกเจ้า พวกเจ้าจะทำอันใดได้ ด้วยน้ำใจหรือด้วยหลักการแล้ว หากว่ากันตามกฎแผ่นดินหมิง ข้าทำผิดตรงไหน?”

วาจานี้กล่าวเหมือนไม่ไว้หน้าพวกเขาแม้แต่น้อย เหรินต้าถงกับเหยียนจวิ้นเฉวียนเมื่อครู่หน้าแดงหน้าดำไม่หยุด ความโกรธยิ่งทวีคูณหลายส่วน หวังทงคร้านจะใส่ใจ หุบยิ้ม กล่าวเสียงดังกังวานว่า

“หรือว่าข้าผิดไปแล้ว พวกเจ้าจะทำอันใดข้าได้ ข้าทำอันใดองครักษ์เสื้อแพร พวกเจ้าจะจัดการข้าอย่างไร เหรินต้าถง เจ้ามาสู่ตำแหน่งนี้ได้ก็เพราะเหลียงเมิ่งหลง เหลียงเมิ่งหลงถูกยื่นฎีกาล้มไปแล้ว เจ้าก็ตะกายหาจางซื่อเหวย เหยียนจวิ้นเฉวียน ส่วนเจ้าก็ไม่ได้มีสายสัมพันธ์กับเหยียนชิงกับเสนาบดีกรมปกครองเลย ก็แค่ฝากคนนำเงินไปมอบห้าหมื่นตำลึง พร้อมอ้างความเป็นญาติ คนหนุนหลังแค่นี้จะเท่าไรกัน!?”

พอกล่าวเช่นนี้ เหรินต้าถงกับเหยียนจวิ้นเฉวียนก็หน้าซีดเผือด ไม่ต้องพูดถึงก่อนหน้าที่หวังทงไม่ไว้หน้า ตอนนี้พูดมาอย่างละเอียดแต่ละอย่างก็ล้วนเป็นเบื้องหลังของพวกเขาสองคน ทำเอาพวกเขาต้องกินปูนร้องท้องกัน

“พวกเจ้ามันสักเท่าไรกัน ผู้หนุนหลังพวกเจ้าจะสักเท่าไรกัน เบื้องหลังข้าเป็นผู้ใด พวกเจ้ารู้กันไหม?”

หวังทงเสียงตวาดดังขึ้นอีก เต็มไปด้วยความไม่พอใจ ดูแคลนอย่างที่สุด ท่าทางเช่นน้ทำเอาเหรินต้าถงกับเหยียนจวิ้นเฉวียนอยู่ๆ ก็รู้สึกว่าไม่เป็นไร

หวังทงเป็นคนมาใหม่จริง ไม่มีประสบการณ์ แต่ตอนนี้เขาเป็นรองผู้บัญชาการองครักษ์เสื้อแพรผู้มีอำนาจ ระดับก็ไม่ด้อย เบื้องหลังคือผู้ใด ก็คือโอรสสวรรค์องค์ปัจจุบันนั่นไง และยังมีหัวหน้าสำนักสำนักส่วนพระองค์อีก ของตนเองจึงไม่เท่าไร วาดหวังอันใดไม่ได้แล้ว

เหรินต้าถงกับเหยียนจวิ้นเฉวียนอยู่ๆ รู้สึกว่า วิธีการที่คิดจะจัดการหวังทงนั้น ไม่ว่านำออกมาจัดการหรือไม่ ก็ล้วนเป็นเรื่องน่าขันสิ้นดี ตอนแรกพวกเขาคิดว่าอายุมากกว่า เป็นหัวหน้าในสำนักองครักษ์เสื้อแพรมานาน หวังทงเป็นเด็กน้อยที่ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ ทำการเหิมเกริมย่อมต้องมีจุดอ่อน ถึงตอนนั้นค่อยเอามาจัดการให้เขารู้เสียบ้าง ให้รู้จักเคารพผู้ใหญ่เสียบ้าง ให้รู้จักทำตามธรรมเนียมเสียบ้าง

มาบัดนี้ ทั้งสองเข้าใจแล้ว เบื้องหน้าผู้มีความสามารถแท้จริง ทุกอย่างย่อมเป็นศูนย์ หวังทงไม่สนใจพวกเขาแม้แต่น้อย ไม่สนใจผู้หนุนเบื้องหลังเขาแม้แต่น้อย หวังทงเพียงแต่ก้าวเดินไปตามจังหวะตนเอง ทำงานไปตามหน้าที่ขององครักษ์เสื้อแพร ไม่สนใจพวกเขาแม้แต่น้อย เพราะรู้ว่าพวกเขาทำอันใดไม่ได้

มาสู่ตำแหน่งนี้ได้ก็ล้วนมีความคิดฉับไว้ คิดได้แล้ว สองคนก็รู้สึกอึดอัดไปไม่ถูก ได้แต่พากันกลับไปนั่งทีเดิม ตนเองวางท่าใส่ คิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายไม่สนใจแม้แต่น้อย ความรู้สึกตกต่ำเยี่ยงนี้เรียกได้ว่าแทบจะอยู่ต่อไปไม่ไหว

หวังทงพูดจบก็นั่งไม่สนใจต่อ มองสามคนตรงหน้า เหรินต้าถงกับเหยียนจวิ้นเฉวียนล้วนต้องก้มหน้าลง วันนี้เดิมคิดจะจัดการคนอื่นให้เห็นดีกัน คิดไม่ถึงว่าต้องมาถูกหลู่เกียรติเสียเอง

หยางจั้นที่เอาแต่นิ่งเงียบยามนี้จึงได้พูดขึ้น เขากล่าวเนิบนาบว่า

“หากใต้เท้าจะเป็นผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพรก็ไม่ยาก เหตุใดจึงเลือกงานที่เปลืองแรงอย่างฝึกทหารใหม่และคุมวินัยทหารด้วย? ตอนนี้ก็เหมือนว่ากำลังมีเรื่องกับทหารเข้ารับการฝึก การจะกุมกำลังองครักษ์เสื้อแพรเมืองหลวง น่าจะมีวิธีการที่ง่ายกว่านี้ เหตุใดจึงทำเช่นนี้?”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version