Skip to content

องครักษ์เสื้อแพร 684

ตอนที่ 684 ข้ามาเพื่อช่วยเหลือพวกเจ้า

ผู้ช่วยผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพรหยางจั้น ต้นตระกูลเป็นนายกองพันองครักษ์เสื้อแพร ตามธรรมเนียมแล้ว รุ่นต่อไปอย่างมากก็นายกองร้อย แต่หากหาที่เกาะได้ ก็อาจได้นั่งตำแหน่งนายกองพันนอกเมืองหลวงสักแห่ง

แต่หยางจั้นตอนเป็นนายกองธงใหญ่ในเมืองหลวงกลับมีวาสนา ตอนหลี่เหวินเฉวียนบุตรชายบิดาไทเฮาอู่ชิงโหวเกิดเรื่อง พอดีหยางจั้นพบเจ้าจึงได้ยื่นมือเข้าช่วย

ว่าแล้วก็เป็นเรื่องเก่าในสมัยฮ่องเต้เจียจิ้งแล้ว ตอนนั้นอ๋องอวี้กับฮ่องเต้เจียจิ้งไม่ค่อยสนิทกัน คนจวนอ๋องอวี้นอกวังก็ไม่เท่าไร การเอาใจเจ้านายนั้นง่าย แต่การช่วยเหลือยามยากนั้นยาก หยางจั้นวันนั้นไม่รู้ว่าเป็นหลี่เหวินเฉวียน ช่วยด้วยความจริงใจ แต่การกระทำด้วยความบังเอิญทำให้เขาได้รับการเลื่อนขั้นในเวลาต่อมา

ฮ่องเต้หลงชิ่งขึ้นครองราชย์ หยางจั้นก็ค่อยๆ ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่ง ปีหลงชิ่งที่ 5 ก็เป็นถึงผู้ช่วยผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพรแล้ว องครักษ์เสื้อแพรเป็นหน่วยงานสำคัญในเมืองหลวง ผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพรไม่ต้องพูดถึง แค่รองผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพรก็แย่งกันแทบเป็นแทบตาย คลื่นลมแรงมาก ตำแหน่งผู้ช่วยผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพรไม่เตะตา ยังมีอำนาจเต็ม สบายยิ่ง

หยางจั้นรู้จักพอ ตำแหน่งมั่นคงมาถึงวันนี้ หวังทงได้ข่าวจากสำนักรักษาความสงบมา ตรงหน้าสามคนนี้ สถานะและอำนาจหยางจั้นไม่มาก แต่งานที่ทำในสำนักองครักษ์เสื้อแพรนั้นมีมาก อย่างไรก็เป็นนายกองร้อยมาก่อน ย่อมเชี่ยวชาญการทำงาน ภายในองครักษ์เสื้อแพรทำอันใด เขาไม่อาจข้องเกี่ยว แต่จะปฏิบัติงานอย่างไรนั้น เขามีอำนาจสั่งการอยู่มาก

คนเช่นนี้ การรุ่งเรืองหรือเสื่อมลงขององครักษ์เสื้อแพรเกี่ยวพันกับเขาอย่างมาก ดังนั้นจึงสังเกตการกระทำของหวังทงต่างจากอีกสองคน

สองคนนั้นทำเพื่อคนของตน เพื่อการแย่งอำนาจมากุมไว้ส่วนตน หยางจั้นถามก็เพื่ออยากรู้ว่าหวังทงทำไปเพื่ออันใด เป็นเรื่องการทำงานอยู่หลายส่วน

ได้ยินหยางจั้นถาม หวังทงก็หยุดไปครู่หนึ่ง ก่อนจะยืนขึ้น จ้องมองสามคนกล่าวว่า

“ท่านทั้งสาม รู้ไหมว่าภัยมาถึงตัวแล้ว?”

กล่าวจบ สามคนเบื้องหน้าก็อึ้งไป เหรินต้าถงสีหน้าเปลี่ยนไป รีบลุกขึ้นกล่าวว่า

“ข้าภักดีปฏิบัติหน้าที่ จงรักภักดีต่อฝ่าบาท ไม่เคยทำผิดอันใด วันนี้แม้ว่าล่วงเกินไปบ้าง แต่เราคนกันเอง หรือว่าใต้เท้าหวังจะอ้างฝ่าบาทให้ได้? เช่นนี้ใช่ว่าทำให้ทุกคนล้วนหนาวเหน็บใจหรืออย่างไร?”

เหยียนจวิ้นเฉวียนลุกขึ้น ก้มกายคำนับกล่าวว่า

“ใต้เท้าหวัง ลูกทำผิดก็แค่สั่งสอน ไยต้องทำให้เป็นเรื่องใหญ่ เฮ้อ เจ้าเด็กนั่นก็ช่างไม่เอาไหน ควรให้ใต้เท้าจัดการ ข้าขออภัยท่านด้วย ไม่ต้องทำให้เป็นเรื่องใหญ่กระมัง!”

กล่าวว่าภัยมาถึงตัว เป็นเพียงคำที่หวังทงเลือกสรรขึ้นมากล่าว คิดไม่ถึงว่าอีกสองฝ่ายจะกินปูนร้อนท้องเพียงนี้ รีบอ่อนให้ทันที หวังทงกลั้นเสียงกลืนลงลำคอแทบไม่ทัน ได้แต่แสร้งกระแอมไอ

ยามนี้ได้แต่ทำหน้าไม่ถูก หากเป็นหยางจั้นที่สะกดอารมณ์ตนเองไว้ได้ หวังทงปรับลมหายใจให้ปกติแล้วก็ชี้ไปยังเขาสองคนกล่าวว่า

“จัดการเจ้าสองคนต้องถึงฝ่าบาทด้วยหรือ ข้ากับผู้บัญชาการลั่วคุยกันแล้ว วันหน้าหากยื่นฎีกา มีหรือจะจัดการเจ้าสองคนไม่ได้ นั่งลงแล้วฟังให้ดี!”

นี่มันน้ำเสียงผู้ใหญ่ตำหนิผู้น้อยชัดๆ สองคนหน้ำตาและใบหูแดงก่ำไม่กล้ากล่าวอันใด ได้แต่กลับไปนั่งที่ หยางจั้นลูบเคราไปเงียบๆ

หวังทงถามขึ้น

“ใต้หล้านี้เป็นของผู้ใด ของฝ่าบาท องครักษ์เสื้อแพรเป็นของผู้ใด ทุกท่านลองว่ามา?”

สามคนสบตากัน ครั้งนี้เป็นหยางจั้นตอบว่า

“ใต้เท้า รู้แล้วไยต้องถาม องครักษ์เสื้อแพรย่อมเป็นทหารในพระองค์ ย่อมเป็นทหารของฝ่าบาท”

องครักษ์เสื้อแพรเป็นขุนนางบู๊ฝ่ายใน เรียกขานฮ่องเต้ก็ชินกับการเรียกขานแบบคนในวัง เช่นเรียกว่า ฝ่าบาท มากกว่า ฮ่องเต้

“แม้กล่าวเช่นนี้ แต่รองผู้บัญชาการเหรินเป็นคนของผู้ใด ผู้ช่วยผู้บัญชาการเหยียนเป็นคนของผู้ใด ผู้ช่วยผู้บัญชาการหยางเป็นคนของผู้ใด?”

“นั่นก็แค่น้ำใจให้กัน……ก็เป็นเพราะใต้เท้าทั้งหลายล้วนเป็นข้าในพระองค์ ฝ่าบาทออกคำสั่งผ่านทางพวกเขาเหล่านั้น พวกเราก็ทำตาม ภักดีเช่นกัน……”

“วาจานี้พวกเจ้าก็เชื่อหรือ? ตอนหลิวโสวโหย่วเป็นผู้บัญชาการ ทุกเรื่องในองครักษ์เสื้อแพรต้องรายงานจางจวีเจิ้ง จากนั้นจึงส่งเข้าวัง ตอนจางซื่อเหวยกุมอำนาจ รายงานองครักษ์เสื้อแพรไม่ใช่แบบเดียวกันหรือ ตอนนี้เซินสือหังไม่เรียกพวกเจ้าเข้าพบ พวกเจ้าส่งข่าวได้อย่างไร?”

หวังทงกล่าวเสียงเยียบเย็น เหรินต้าถงกับเหยียนจวิ้นเฉวียนสบตากัน ไม่กล่าวอันใด หวังทงกล่าวต่อว่า

“ขุนนางใหญ่ในคณะเสนาบดีใหญ่และหกกรมกอง หรือแม้แต่ขันทีใหญ่ในวัง ล้วนได้ข่าวเร็วกว่าฝ่าบาท ข้ารู้ดี พวกเจ้าคิดว่าฝ่าบาทไม่ทรงรู้หรือ ทหารฝ่าบาทกลับทำงานให้คนอื่น ยังเรียกว่าทหารในพระองค์อีกหรือ ฝ่าบาททรงว่าราชการเองแล้ว พวกเจ้ายังคิดว่าทำอย่างนี้ฉลาด คิดว่าฝ่าบาทจะยังอยากเลี้ยงฝุ่นผงระคายเคืองพระเนตรเช่นพวกเจ้าไว้อีกหรือ? หรือว่าพวกเจ้าคิดว่าผู้หนุนหลังพวกเจ้าจะเทียบกับมหาอำมาตย์จางจวีเจิ้งในอดีตได้ สามารถปกป้องพวกเจ้าได้?”

สามคนสีหน้าแปรเปลี่ยน ที่หวังทงพูดมาย่อมเป็นเรื่องจริง หวังทงพูดมานี้เป็นการพูดแทนผู้ใดหรือไม่ แล้วเบื้องหลังหวังทงคือผู้ใด ไม่ใช่ฮ่องเต้ว่านลี่หรือ? โอรสสวรรค์ส่งคนมากล่าวเช่นนี้ เหตุใดจึงต้องทำเช่นนี้ ทุกคนย่อมรู้สึกได้และต้องพากันขนลุกชันไปทั้งตัว

“พวกข้าจงรักภักดี อาจมีเลอะเลือนไปบ้าง แต่ก็ภักดีต่อฝ่าบาทไม่เคยเปลี่ยน ขอใต้เท้าหวังทูลต่อฝ่าบาทด้วย ช่วยกราบทูลด้วย!”

สองคนพากันขอร้อง หยางจั้นเองก็ลุกขึ้น ท่าทางไม่รีบไม่ร้อน ถามขึ้นนิ่งๆ ว่า

“ที่แท้เป็นเช่นนี้ ใต้เท้ามาจัดการสำนักองครักษ์เสื้อแพรนี้ร่วมกับผู้บัญชาการลั่ว ใต้เท้าเหริน ใต้เท้าเหยียนกับข้าสู้ใต้เท้าไม่ได้ องครักษ์เสื้อแพรให้ใต้เท้าดูแล ฝ่าบาทย่อมวางพระทัย แต่ทว่า ใต้เท้าหวัง ท่านมีอำนาจมากเพียงนี้ จับแล้วก็จับไป ไยต้องฝึกทหาร ไยต้องคุมวินัยทหารเล่า องครักษ์เสื้อแพรทำงานดีมีหลายคน ใต้เท้าเลือกเอาได้ตามใจ แล้วไยต้องไปทำงานลาดตระเวนสืบคดีอีกด้วยเล่า?”

หวังทงขมวดคิ้ว หยางจั้นถามเนิบๆ ท่าทางหาเหตุผลทำให้เขารู้สึกแปลก ๆ พูดได้ไม่เต็มปาก หยางจั้นเหมือนไม่แก่งแย่งอำนาจ แต่กลับต้องการรู้ว่าเขาทำสิ่งใดกันแน่

หยางจั้นคอยคุมสถานการณ์เอาไว้ และเพราะเช่นนี้ เหรินต้าถงกับเหยียนจวิ้นเฉวียนจึงได้ไม่ได้ถูกหวังทงอัดบี้แบนจนต้องร้องขอให้ไว้ชีวิต สองคนเมื่อครู่แตกตื่นไปแล้ว เสียหน้าก็เสียแล้ว ยามนี้กลับรู้สึกแปลกใจ หยางจั้นยังคงจดจ่ออยู่กับคำถามนี้ พวกเขาเองก็อยากรู้คำตอบ

หวังทงเงียบไปก่อนจะกล่าวเสียงดังว่า

“ข้างนอกมีใครอยู่ไหม?”

ข้างนอกมีเสียงตอบกลับมาว่า ‘ข้าน้อยอยู่ขอรับ’ น่าจะเป็นคนรับใช้ที่รออยู่ละแวกนั้น หวังทงตะโกนขึ้นว่า

“ไปกองเอกสาร สำนักองครักษ์เสื้อแพรตามโหวเจินมา มีเรื่องจะถาม!!”

ด้านนอกเงียบไป ก่อนจะมีเสียงตอบว่า

“ข้าน้อยจะไปตามเดี๋ยวนี้ ขอใต้เท้ารอสักครู่”

กองเอกสาร สำนักองครักษ์เสื้อแพรเป็นหน่วยงานศูนย์กลางใต้อำนาจผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพร และผู้ทำงานที่นี่ล้วนเป็นฝ่ายบุ๋นที่ปกติไม่สนใจผู้ใด ทำแต่งานเอกสารไป เรื่องงานเอกสารพวกนี้พวกองครักษ์เสื้อแพรมือไม้หยาบจะทำอันใดได้ ล้วนต้องอาศัยคนของกองเอกสาร สำนักองครักษ์เสื้อแพรจัดการให้ ดังนั้นจึงวางท่าสูงส่งกว่าเสมอ คนรอบข้างล้วนให้เกียรติและเกรงใจเสมอ พอหวังทงมาถึง ถึงกับเรียกใช้ราวกับคนรับใช้ส่วนตัว มิน่าเล่าคนหน้าห้องจึงเงียบไปครู่หนึ่ง

ในห้องเงียบกริบ นอกจากหยางจั้น อีกสองคนล้วนก้มหน้านิ่ง ในใจก็รู้สึกละอายอยู่หลายส่วน สบตากัน ก่อนจะหรี่ตามองไปที่ประตู กลับเป็นสีหน้ายิ้มไปทางหวังทงแทน หากนายกองร้อยโหวกองเอกสาร สำนักองครักษ์เสื้อแพรไม่มา ย่อมต้องเจอดีแน่ ให้เจ้ารู้เสียบ้างว่าองครักษ์เสื้อแพรเราไม่ได้จัดการกันง่ายๆ

พวกเขายังคิดถึงหาทางลงจากเรื่องนี้ ในช่วงเวลานี้เอง ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าเร่งรีบจากด้านนอกดังมา คนด้านนอกรายงานว่า

“ใต้เท้าหวัง โหวเจินมารอด้านนอกแล้ว”

“ให้เข้ามาได้!”

หวังทงตะโกนออกไป ประตูเปิดออก โหวเจินก้มคำนับเดินเข้ามา พอเข้ามาก็คำนับหวังทงนอบน้อม กล่าวอย่างนอบน้อมยิ่งว่า

“ใต้เท้าหวังเรียกข้าน้อยมา ไม่ทราบว่ามีอันใดสั่งการ?”

พวกหยางจั้นสามคนเบิกตากว้างมอง นายกองร้อยโหวเป็นผู้มีหน้ามีตาในกองเอกสาร สำนักองครักษ์เสื้อแพร กับผู้ใดก็ล้วนสงวนท่าที ได้ยินว่าหลานชายเมื่อวานก็โดนโบยไปหนักหนาอยู่ เหตุใดจึงนอบน้อมต่อหน้าหวังทงเช่นนี้ หวังทงเป็นใครในสำนักองครักษ์เสื้อแพรกัน จึงได้มีอำนาจจัดการมากเพียงนี้

“นายกองร้อยโหว ขุนนางเมืองหลวงยื่นฎีกาฟ้ององครักษ์เสื้อแพรเราท่านมีจดบันทึกไว้ไหม?”

“เรียนใต้เท้าหวัง องครักษ์เสื้อแพรสืบคดี ฎีกาพวกนี้ล้วนเก็บบันทึกไว้ ล้วนบันทึกไว้ละเอียด”

“ตั้งแต่ปีที่ 1 แห่งรัชสมัยว่านลี่ถึงตอนนี้ ทุกปีมีฎีกาฟ้องเท่าไร?”

โหวเจินลังเลก่อนจะตอบว่า

“ปีที่ 1 แห่งรัชสมัยว่านลี่ 35 ปีที่ 2 มี 50 ปีที่ 3 มี 61……ปีก่อนมี 124”

ได้ยินโหวเจินกล่าวจบ ทุกคนก็อึ้งไป ตัวเลขพวกนี้เขาไม่เขาสนใจกันมาก่อน แต่ก็ฟังออกว่า มากขึ้นทุกปี หวังทงกล่าวว่า

“ทุกท่านล้วนอยู่ในตำแหน่งหน้าที่ ก็ขอกล่าวกันตรงๆ ภักดีฝ่าบาท ไม่ฟังคำสั่งผู้อื่น เกรงว่าวันหน้าขุนนางบุ๋นเมืองหลวงคงไม่เกรงใจทุกท่าน ย่อมต้องหาทางหาเรื่องให้ได้ เราสืบคดีพวกขุนนาง รักษาความสงบเมืองหลวง หากตนเองไม่โปร่งใส เกรงว่าคงไม่ต้องรอให้ก่อเรื่อง ก็คงมีคนล้มพวกเราไปแล้ว”

กล่าวถึงตรงนี้ ทุกคนก็เริ่มเข้าใจกระจ่าง หวังทงยิ้มเย็นกล่าวว่า

“พวกทหารอายุไม่ถึง 30 วิ่งแค่ไม่กี่ร้อยก้าวก็หอบแล้ว ถึงกับล้มฟาดพื้น ยังชักดาบฟันใส่ตัวเอง พวกไร้ประโยชน์เช่นนี้เอาไว้ทำไมกัน พวกนอกเมืองแล้วไป แต่พวกในเมืองนี้ กินเปล่าดื่มเปล่า ขูดรีดเงินทอง เอาทั้งนารีและการพนัน พวกมือไม่สะอาดพวกนี้ ยังมีหน้าไปจัดการคนอื่นอีกหรือ ไร้สามารถ ไร้คุณธรรม ฝ่าบาทกำลังทรงวางแผน จะปล่อยปละพวกเจ้าอีกนานเท่าไรกัน ช้าเร็วก็ต้องเก็บกวาด ข้ามาจากองครักษ์เสื้อแพร มาฝึกพวกเราให้เป็นระเบียบ เจ้าคิดว่าเป็นการทำร้ายพวกเจ้าหรือ ข้ามาเพื่อช่วยพวกเจ้าต่างหาก!!!”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version