Skip to content

องครักษ์เสื้อแพร 69

ตอนที่ 69 สายสัมพันธ์

เช้าวันที่ 3 เดือนหนึ่งเริ่มขึ้น แต่ละบ้านก็ฉลองปีใหม่กันใกล้จะเสร็จแล้ว ควรถึงเวลาไปเยี่ยมเยือนคารวะแสดงน้ำใจกันและกันเสียที

ไม่ต้องเอ่ยถึงครอบครัวสามัญเล็กๆ เพราะมีแต่พวกครอบครัวชั้นสูงและพวกขุนนางที่ไม่ง่ายนัก ยามปกติไม่กล้าส่งมอบของขวัญให้กัน ไม่กล้าเอ่ยถึงน้ำใจกัน หากวันเทศกาลใหญ่เช่นนี้จึงจะสามารถทำไม่รู้ไม่ชี้มอบให้กันได้

ที่จวนอำมาตย์ใต้เท้าจางจวีเจิ้งย่อมมิต้องเอ่ยถึง จวนอื่นๆ ก็ล้วนคึกคักราวกับท้องตลาด เสนาหวังกั๋วกวงจากกรมปกครองก็เช่นกัน

กรมพิธีการแม้ได้ชื่อว่าเป็นหัวหน้าของกรมงานทั้งหกกรม แต่กรมปกครองถือว่าเป็นกรมที่เป็นใหญ่อันดับหนึ่งอย่างแท้จริง มีหน้าที่เลื่อนยศและโยกย้ายตำแหน่งขุนนาง นับเป็นงานที่ส่งผลต่ออนาคตของทุกคน บุคคลอันดับหนึ่งในใต้หล้าคือขุนนาง กรมปกครองก็คือหน่วยงานดูแลเรื่องขุนนาง แม้กล่าวว่าก็แค่ตัดสินตำแหน่งระดับห้าลงมา สูงกว่านั้นต้องให้ราชสำนักส่วนในเสนอชื่อ แต่ระดับห้าก็สามารถเป็นถึงผู้ว่ามณฑลและพวกขุนนางตำแหน่งสำคัญอีกมากมาย ในความเป็นจริงนั้นสามารถตัดสินตำแหน่งเกียรติยศเงินทองของคนๆ หนึ่งทั้งชีวิต แน่นอนการสอบตำแหน่งระดับห้าและระดับห้าลงมานั้น ยังต้องให้ฮ่องเต้ทรงอนุมัติ แต่แท้จริงแล้วก็แค่เป็นขั้นตอน ขุนนางใต้หล้ามีมากมาย ฮ่องเต้จะไปสนใจทั้งหมดได้อย่างไร อย่างไรก็ต้องเข้าหาผู้มีอำนาจแท้จริง เสนาบดีกรมปกครองก็ย่อมยิ่งใหญ่

ดังนั้นหากตัดใต้เท้าจางจวีเจิ้งออกไป ที่ๆ คึกคักที่สุดอันดับสองในเมืองหลวงของบรรดาขุนนางก็คือที่จวนของเสนาหวังกั๋วกวงประจำกรมปกครองนั่นเอง ถึงจะเป็นที่ๆ ผู้คนไปมากันขวักไขว่

ทั้งมามอบของขวัญ ทั้งเป็นตัวแทนมอบของ ฟ้ายังไม่สางก็พากันมาเข้าแถวกันนอกประตูแล้ว เสนาหวังเป็นขุนนางในรัชกาลฮ่องเต้เจียจิ้ง ขุนนางอาวุโสสามรัชสมัย ยังเป็นผู้นำสำนักราชบัณฑิต ทุกครั้งที่เลือกข้างหากไม่เป็นกลางก็จะยืนถูกข้าง ผลก็คือการเมืองราชวงศ์หมิงเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร เขาก็ยังคงยืนหยัดอย่างมั่นคง

แม้ว่ายื่นฟ้องว่าเขาแต่งตั้งคนของตนเองเข้าดำรงตำแหน่งถึงครั้งหรือสองครั้งทุกปี กล่าวหาว่ารับสินบน แต่ทุกคนก็รู้ว่าเป็นแค่เรื่องที่ใต้เท้าจางสะกิดเสนาหวังเบาๆ เท่านั้น

ทุกคนล้วนเข้าใจ ดังนั้นคนที่มอบของขวัญก็มากขึ้นเรื่อยๆ ทุกปี ของขวัญก็มีค่ามากขึ้นทุกปี เสนาหวังแม้ให้ความสำคัญกับเรื่องหลักการปรัชญาจารีต แต่ก็ไม่ได้รังเกียจอะไรกับเงินทอง

ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งสวมชุดสีดำลายแดงขี่ม้าเข้าใกล้กับเขตจวนช้าๆ เวลายังคงเช้าอยู่ พ่อบ้านจวนเสนาเพิ่งจะเปิดประตูใหญ่

คนที่มาข้างหลังไม่มีใครยอมให้ชายผู้นี้แซงคิว แต่ชายผู้นี้มิได้นำของขวัญอะไรมาด้วย ขี่ม้ามาแค่คนเดียว เดินไปไม่ไกลก็เลี้ยวเข้าไปตรอกชุมชนด้านข้าง

ทางนี้คงจะเป็นประตูข้างของจวนเสนาหวัง ไม่ผิดแน่ คนที่มามอบของขวัญได้เข้าแถวกันเลยถนนไปแล้ว

ชายวัยกลางคนผู้นั้นทิ้งม้าไว้ที่ประตูข้าง คนเฝ้าประตูข้างของจวนเสนาจำเขาได้ และยิ้มทักทายไป จากนั้นก็ให้ชายผู้นั้นเข้าไป

จวนเสนาหวังกั๋วกวงค่อนข้างกว้างใหญ่ ชายผู้นั้นเข้าทางประตูข้าง เลี้ยวไปเลี้ยวมาหลายรอบก็ยังไม่ใช่ทางตรงกลาง แท้จริงเขาเข้าไปที่เรือนด้านหลังแล้ว

ด้านนอกของเรือนเล็กนี้สามารถได้ยินเสียงหัวเราะคิกคักของดรุณีแรกแย้มแว่วมา ในจวนของหวังกั๋วกวงที่ผู้คนคิดว่าเป็นผู้เคร่งครัดแนวคิดลัทธิเต๋ากลับมีเสียงเช่นนี้ นับว่าเป็นเรื่องแปลกอยู่มาก

ชายวัยกลางคนกลับไม่เห็นเป็นเรื่องแปลก พร้อมยกมือตบประตู สาวใช้หน้าตางดงามผู้หนึ่งเปิดประตูออกมา พอเห็นชายผู้นี้รีบยอบตัวคารวะด้วยสีหน้านอบน้อม เดินนำเขาเข้าไปด้านใน

ห้องในเรือนนี้ไม่ใช่ห้องที่จวนขุนนางทั่วไปมีกัน สวยงามตระการตา อลังการงดงาม ไอร้อนลอยขึ้นจากพื้น เห็นชัดว่ายังรมสมุนไพรตี้หลงให้ความอบอุ่น

อากาศอบอวลไปด้วยกลิ่นแป้งหอม เสียงกระซิบกระซาบหัวร่อต่อกระซิกดังแว่วมาเป็นระยะ สาวใช้ผู้นั้นสีหน้าเรียบเฉยเดินเข้าไปรายงานในห้องนอน เห็นได้ชัดว่าเป็นเรื่องเคยชิน

เวลาไม่นาน ชายหนุ่มผู้หนึ่งสวมเพียงเสื้อผ้าไหมบางเบาโอบกอดสาวใช้ผู้นั้นเดินออกมา ชายหนุ่มผู้นี้มองคราแรกมีท่าทางแบบบัณฑิตอยู่บ้าง แต่ถ้ามองให้ดีๆ ก็จะเห็นใบหน้าขาวซีด ดูไม่สงวนท่าที ไม่ยี่หระกับสิ่งใด เป็นภาพทั่วไปของบรรดาคุณชายเจ้าสำราญ

พอเห็นชายหนุ่มผู้นี้ ชายวัยกลางคนก็รีบลุกขึ้นคำนับกล่าวทักทายว่า

“คุณชายหวัง ฉลองปีใหม่ปีนี้ดีจริงๆ เตายาสองใบที่ส่งมานั้นเหมาะจริง”

ชายหนุ่มเจ้าสำราญผู้นั้นรับผ้าเช็ดหน้าที่สาวใช้ส่งให้เช็ดที่ใบหน้าและหน้าอกสองสามทีก่อนจะยกมือโบกกล่าวว่า

“พี่หลิน นั่งตามสบาย มาหาข้าที่นี้ยังต้องเกรงใจเช่นนี้ทำไมกัน”

กล่าวจบก็เดินไปนั่งเอียงกะเท่เร่อยู่บนเก้าอี้ เบ้ปากยิ้มกล่าวว่า

“เตายาสองใบนี้แม้ว่ามาจากเมืองต้าถงที่มีชื่อ คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าเวลาเช่นนี้ยังคงเป็นสาวน้อยบริสุทธิ์ พี่หลิน พี่หาเตานี้มาคงลงแรงไปไม่น้อยกระมัง!”

ชายวัยกลางคนแซ่หลินผู้นั้นยิ้มกล่าวเสียงนุ่มนวลว่า

“คุณชายหวังใช้แล้วพอใจก็ดี ผ่านอีกสองสามเดือน ยังมีของใหม่มาอีก ถึงตอนนั้นยังต้องขอให้คุณชายหวังลองดูสักหน่อย”

ได้ยินวาจาเช่นนี้ คุณชายหวังก็หัวเราะคิกคักออกมา ชายวัยกลางคนเงียบไปครู่หนึ่งก็กล่าวเสียงนิ่งเรียบว่า

“ที่มาวันนี้มีเรื่องรบกวนคุณชายหวัง ปีใหม่เช่นนี้รู้สึกเกรงใจมากจริงๆ”

คุณชายหวังกำลังอารมณ์ดี ตีก้นสาวใช้ผู้นั้นให้ไปยกน้ำแกงมา โบกไม้โบกมือท่าทางไร้สำรวมกล่าวว่า

“ข้ากับเจ้าเป็นสหายกัน มีเรื่องอะไรก็ว่ามา แต่วันหน้าหากจะจัดสรรคนละก็ ดีที่สุดอย่าขอไปลงที่ศาลซุ่นเทียน อำเภอต้าซิงกับหวั่นผิงสองอำเภอในเมืองหลวงนี้แม้ขุนนางระดับแปดยังยากเลย แต่หากไปอำเภออื่นๆ ตำแหน่งนายอำเภอข้าก็จัดหาให้เจ้าได้!”

“บุญคุณของคุณชาย ข้าน้อยจดจำไว้ แต่ครั้งนี้เป็นเพราะสหายผู้หนึ่งถูกองครักษ์เสื้อแพรจับกุมในวันที่ 2 ของปีใหม่นี้…”

พอกล่าวถึงตรงนี้ สีหน้าคุณชายผู้นั้นก็พลันเปลี่ยนไปเล็กน้อย เอ่ยปากกล่าวเสียงเย็นว่า

“พี่หลิน เรื่องคุกตารางนั้นแม้แต่บิดาข้าก็ไม่อาจยื่นมือเข้ายุ่งเกี่ยว มาขอให้คุณชายอย่างข้าช่วยก็ยิ่งเปล่าประโยชน์ ไม่เอ่ยยังดีเสียกว่า!”

ใบหน้าพี่หลินผู้นั้นยังคงมีรอยยิ้มบางๆ ไม่มีทีท่าไม่พอใจแม้แต่น้อย คำนับพร้อมกับยิ้มกล่าวอย่างสุภาพว่า

“เรื่องคุกตารางเป็นคดีนั้น ไหนเลยข้าน้อยจะกล้ามารบกวนคุณชาย ตอนนี้คนถูกขังอยู่ที่คุกใหญ่ศาลซุ่นเทียน สหายข้าผู้นั้นเปิดบ่อนพนัน วันที่สองก็ถูกพวกองครักษ์เสื้อแพรและมือปราบศาลซุ่นเทียนกุมตัวไปขัง!!”

คุณชายหวังเคาะโต๊ะเบา ยิ้มกล่าวว่า

“คงไม่มีอะไรมากไปกว่าการเคาะเงิน พี่หลินพี่ก็ให้พวกเขาไปก็ได้แล้วนี่ บ่อนพนันเป็นบ่อเงินบ่อทองนี่นะ!”

“คุณชายล้อเล่นแล้ว หากต้องการเงิน สหายข้าผู้นั้นก็ไม่ใช่ว่าไม่รู้งาน แต่ลงมือปีใหม่กันหนักเช่นนี้ เกรงว่าจะแย่งชิงทรัพย์น่ะสิขอรับ!”

พี่หลินกล่าวจบ สีหน้าคุณชายหวังผู้นั้นมั่นใจมากขึ้น ยิ้มแล้วกล่าวว่า

“เรื่องเล็ก รอให้ข้าส่งคนไปหาหวงเซินที่ศาลซุ่นเทียน เมื่อวานเขาเพิ่งมาคารวะที่จวนข้า แล้วยังอยากจะไปเป็นผู้ช่วยผู้ตรวจการมณฑลอีก พอดีได้ใช้งานเลย”

ชายวัยกลางคนแซ่หลินรีบลุกขึ้นยืน ประสานมือกล่าวขอบคุณ จากนั้นล้วงเอากล่องแพรออกจากอกเสื้อมอบให้กล่าวว่า

“คุณชายหวัง ยาเม็ดสุดยอดไตรสุริยันที่ปรุงสูตรใหม่ วิธีใช้คุณชายก็ทราบแล้ว ใช้พร้อมกับวิธีไตรสุริยัน จะทำให้ร่างกายแข็งแรง อายุยืนยาว สุขสันต์ไร้ขีดจำกัด…”

“ดีมาก ยานี้ดี เสียแต่ปรุงยาก พี่หลินฝากไปบอกสหายท่านว่า เตรียมห้าร้อยตำลึงไว้เบิกทาง ปิดปากให้สนิท ก็สามารถล้วงออกมาได้แล้ว”

พูดจบก็เปิดกล่องแพรออก ข้างในมียาเม็ดสีแดงวาวอยู่สามเม็ด คุณชายหวังเห็นดังนั้นก็ยิ้มร่าทันที…

วันที่ 7 เดือนหนึ่ง วันนี้หิมะตกแต่เช้า หากหวงเซินเจ้ากรมใหญ่ศาลซุ่นเทียนกลับมาที่ว่าการศาลประจำเขตบูรพา ตามธรรมเนียม หากไม่มีกิจอันใด วันที่ 18 เดือนหนึ่งค่อยมาก็ได้ นับประสาอะไรกับวันที่หิมะตกหนักเช่นนี้

เจ้าหน้าที่ศาลสองสามคนที่สัปหงกอยู่ข้างเตาไฟในห้องโถงกลางเมื่อเห็นเจ้ากรมใหญ่หวงเซินมา ก็ตกใจตกจากเก้าอี้ รีบคุกเข่าเอ่ยคำนับ เจ้ากรมใหญ่หวงเซินไม่สนใจเรื่องนี้ รีบร้อนเอ่ยว่า

“ไปตามรองเจ้ากรมเฉินและหลี่ว์วั่นไฉมาให้ข้า ด่วนที่สุด!”

ในเมืองหลวงหวงเซินเจ้ากรมใหญ่ศาลซุ่นเทียนถูกกดขี่จนได้ฉายาว่า ‘ลูกสะใภ้’ แต่ขุนนางระดับสามอย่างเขาอย่างไรก็เป็นใหญ่อย่างแท้จริงในพื้นที่ศาลซุ่นเทียนของตน

พอออกคำสั่งไป มือปราบสองสามนายก็รีบวิ่งออกไป คนรับใช้ผู้หนึ่งกำลังใช้ผ้าปัดรอยหิมะบนตัวของหวงเซิน กลับถูกท่านเจ้ากรมปัดออก ส่งเสียงตะโกนออกไปด้านนอกว่า

“ต้องหาให้พบ ส่งม้าเร็วไปตามมา!!”

ม้าเร็วก็คือมือปราบขี่ม้า นับว่าเป็นกองกำลังที่ใช้การได้ที่สุดของศาล หวงเซินโมโหเป็นฟืนเป็นไฟเช่นนี้ เจ้าหน้าที่ศาลที่มาประจำการเหล่านั้นพลอยร้อนรนกันไปด้วย

ไม่นานนัก รองเจ้ากรมเฉินจื้อจงกับนายกองสืบคดีหลี่ว์วั่นไฉก็นั่งเกี้ยวขี่ม้ามาถึงอย่างเร่งรีบ เจ้าหน้าที่ด้านนอกรีบแย่งกันกล่าวว่า

“ใต้เท้าทั้งสองรีบเข้าไปข้างในเถอะ ใต้เท้ารอไม่ไหวแล้ว”

หวงเซินเจ้ากรมใหญ่ศาลซุ่นเทียนสวมชุดขุนนาง ใบหน้าดำทมึนนั่งอยู่กลางห้อง พอเห็นทั้งสองยกชายเสื้อรีบร้อนวิ่งเข้ามา ก็ชี้ไปที่หลี่ว์วั่นไฉตวาดเสียงดังว่า

“หลี่ว์วั่นไฉ มาตรงหน้าข้า!”

นายกองหลี่ว์วั่นไฉหยุดกระหืดกระหอบแล้วรีบคำนับก้าวมาหยุดเบื้องหน้าหวงเซิน ยิ้มแย้มและกำลังจะเอ่ยวาจามงคลอวยพร เจ้ากรมใหญ่หวงเซินแห่งศาลซุ่นเทียนก็ลุกขึ้นพร้อมตบหน้าไปหนึ่งฉาดใหญ่

“เพียะ!” เสียงดังลั่น หลี่ว์วั่นไฉกุมหน้าผงะถอยไป รองเจ้ากรมเฉินจื้อจงเงยหน้ามองอึ้งไป สองคนจ้องมองหวงเซิน ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น

แม่ทัพฝ่ายบู๊ดุด่าลงไม้ลงมือกับผู้ใต้บังคับบัญชาเป็นเรื่องปกติ แต่ขุนนางฝ่ายบุ๋นต้องรักษาหน้าตา ด่าสองสามประโยคก็นับว่าเป็นการตำหนิที่มากพอแล้ว หากมีเรื่องใหญ่โต ก็แค่ปลดตำแหน่งเท่านั้น แต่การลงมือครั้งนี้ ไม่สนใจเรื่องการสงวนท่าทีสุภาพอย่างเช่นบัณฑิตอะไรอีกแล้ว

“เจ้าบัดซบ ปีใหม่ไปตรวจค้นบ่อนอะไรกัน ทุกปีหลายพันตำลึงที่ได้มาเจ้ายังไม่พออีกหรือ ไปร่วมมือกับพวกองครักษ์เสื้อแพรพวกนั้น เจ้ารู้ไหมว่าหาเรื่องให้ข้าใหญ่โตขนาดไหน?”

หลี่ว์วั่นไฉกำลังจะก้าวขึ้นมาตอบ หวงเซินเจ้ากรมใหญ่ศาลซุ่นเทียนกลับชี้หน้าด่าต่อว่า

“เจ้าก็แค่บัณฑิตจวี่เหริน หากมิใช่บ้านเจ้ามีอิทธิพลในอำเภออู่ชิง ไหนเลยเจ้าจะมีวันนี้ ดำรงตำแหน่งนี้ได้อย่างที่ไม่มีใครทำได้มาก่อน เจ้ายังไม่รู้จักเจียมเนื้อเจียมตัว กลับก่อเรื่องใหญ่เช่นนี้ได้”

วาจาเช่นนี้มิใช่วาจาระหว่างขุนนางผู้มีความรู้กล่าวกันแล้ว แต่เหมือนกับวาจาด่าทอของชาวบ้านร้านตลาดด่ากัน แม้ว่าอีกฝ่ายจะเป็นขุนนางผู้ใหญ่เจ้านายตน แต่หลี่ว์วั่นไฉก็โกรธจนตัวสั่นอยู่นานกว่าจะสงบลงได้ เขากล่าวอธิบายอย่างอึดอัดใจว่า

“ใต้เท้า ทางนั้นเป็น…”

“ยังจะทางนั้นทางนี้อะไร รีบไปที่คุกปล่อยเจ้าอะไรนะ…เหอจินอิ๋นผู้นั้นออกมา ขอขมา ของอะไรของเขาก็คืนกลับไปให้หมด!!”

นายกองหลี่ว์วั่นไฉยามนี้สงบนิ่งลงได้แล้ว รอจนเจ้ากรมหวงกล่าวจบ ก็ประสานมือคารวะกล่าวเสียงเบาว่า

“ใต้เท้า นายกองธงใหญ่ที่สืบคดีกับข้าน้อยผู้นั้นเปิดร้านอาหาร…”

“วาจาบัดซบอะไรของเจ้า นายกองธงใหญ่ผู้หนึ่งเป็นเพียงมดปลวกในเมืองหลวงเท่านั้น เจ้าเป็นขุนนางระดับเจ็ดกลับไปมั่วสุมกับมัน ขายหน้าจริง!”

“…ภาพลายอักษรที่แขวนที่ร้านอาหารนั่น ลงชื่อว่า มหาขันทีเฝิงเป่า ซวงหลิน…”

“…”

หวงเซินเจ้ากรมใหญ่ศาลซุ่นเทียนกำลังจะตวาดด่าทอต่อหยุดกระทันหัน ในห้องโถงเงียบลง รองเจ้ากรมเฉินจื้อจงที่เอาแต่ก้มหน้าไม่ยุ่งเกี่ยวด้วยมาตั้งแต่ต้นนั้นก็มองหลี่ว์วั่นไฉด้วยสีหน้าตื่นตะลึงกว่าเมื่อสักครู่

นายกองธงใหญ่องครักษ์เสื้อแพรไม่นับว่าใหญ่อะไรนัก แต่นายกองธงใหญ่องครักษ์เสื้อแพรที่รู้จักเฝิงกงกง นั่นถึงจะนับว่าใหญ่ได้อย่างแท้จริง รู้จักคนระดับนี้ นั่นถึงจะเป็นบารมีที่พึ่งพิงของตนจากนี้ไป นายกองหลี่ว์วั่นไฉรู้เรื่องนี้แต่กลับไม่พูด กะจะเอาดีคนเดียว

รองเจ้ากรมเฉินจื้อจงถึงตอนนี้ถึงได้รู้ว่านายกองธงใหญ่ผู้นั้นมีเบื้องหลังถึงเพียงนี้ เดิมทีรองขันทีแห่งวังหลวงโจวอี้ส่งคนมาสอบถาม เขาก็ปิดเป็นความลับ

แต่ตอนนี้ไม่อาจไม่กล่าวถึงได้ เขาเดินออกมาด้านหน้าอีกหนึ่งก้าวกล่าวว่า

“ใต้เท้าหวง ข้าน้อยเมื่อวันที่ 1 ก็ได้รับสารจากรองขันทีวังหลวงโจวอี้ที่ออกหน้าแทนนายกองธงใหญ่ผู้นี้”

เจ้ากรมหวงเงยหน้ามองเฉินจื้อจงที มองหลี่ว์วั่นไฉที คนหนึ่งท่าทางอึดอัด คนหนึ่งท่าทางอึ้ง แต่ก็ไม่ใช่ท่าทางของผู้ที่จะกล่าววาจาโกหก

เงียบไปนาน อยู่ๆ หวงเซินก็ประสานมือคำนับไปทางหลี่ว์วั่นไฉกล่าวเสียงอ่อยว่า

“หลี่ว์วั่นไฉ ปีนี้คะแนนสอบเจ้าที่ศาลซุ่นเทียนได้ระดับหนึ่งต้น ปีหน้าระดับหนึ่งกลาง ปีถัดไปก็ระดับหนึ่งต้น”

สามปีสอบได้ระดับดีเยี่ยม หากรายงานไปที่กรมปกครอง ความหวังที่จะได้เลื่อนตำแหน่งก็มีมากขึ้น การกระทำของหวงเซินทุกคนล้วนเข้าใจดี เป็นเพราะต้องการชดเชยให้กับหลี่ว์วั่นไฉ อย่างน้อยยามทำงานอยู่ที่ศาลจะได้ไม่ต้องกังวลอะไร

หลี่ว์วั่นไฉกุมใบหน้า ท่าทีเงียบขรึมประสานมือไม่กล่าวขอบคุณ เรื่องนี้ก็จบไป

ช่วงเวลาที่ทั้งสามคนอยู่ในห้องไม่รู้จะกล่าวสิ่งใดดี สุดท้ายก็เป็นเจ้ากรมหวงเอ่ยขึ้นก่อน เขาเอ่ยขึ้นเสียงอ่อยๆ ว่า

“เจ้าเหอจินอิ๋นผู้นี้ไม่รู้มีภูมิหลังอย่างไร คุณชายจากจวนใต้เท้าหวังกรมปกครอง กงกงหลายท่านในวัง 24 หน่วยงาน ยังมีบรรดาชนชั้นสูงฝากความมาว่า ให้พวกเราปล่อยคน…”

“แต่เฝิงกงกงทางนั้น…”

เอ่ยถึงเฝิงเป่า ทุกคนต่างพากันเงียบลง เฝิงเป่าระดับไหนกัน มหาอำมาตย์จางจวีเจิ้งขุนนางครองอำนาจอันดับหนึ่งที่ไม่เคยมีมาในประวัติศาสตร์ซึ่งเป็นมหาอำมาตย์ในตอนนี้ หากไม่ได้รับการสนับสนุนจากมหาขันทีเฝิงเป่าหัวหน้าขันทีสำนักส่วนพระองค์แล้ว ก็ไม่อาจจะยิ่งใหญ่เกรียงไกรได้เช่นวันนี้

สำหรับหวงเซินเจ้ากรมใหญ่ศาลซุ่นเทียน การหาเรื่องและยอมถอยในวันนี้มากเกินไป พอเจอเรื่องนี้อีกก็ไม่รู้จะทำอย่างไรดี ได้แต่เงียบอยู่นานก่อนจะเงยหน้าขึ้น เอ่ยเสียงขรึมว่า

“ไม่ปล่อย มีเฝิงกงกงเสมือนเทพเจ้าค้ำไว้ เพียงพอที่จะสยบผู้อื่นเอาไว้ได้”

พอกล่าวจบ ทุกคนก็เผยรอยยิ้มบางๆ พร้อมกัน หวงเซินลุกขึ้นยืนกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า

“บ้านข้ายังมีแขก จื้อจงกับวั่นไฉก็ยังไปคารวะไม่ครบกระมัง พวกเรากลับไปฉลองปีใหม่เถอะ”

เรื่องจบลง ไม่มีอะไรต้องกล่าวอีก ทุกคนออกไปพร้อมกัน

ทว่าวันที่ 11 เดือนหนึ่งวันนั้น รองเจ้ากรมเฉินจื้อจงกับนายกองหลี่ว์วั่นไฉก็ถูกตามตัวไปที่ศาล ยังคงเป็นเจ้ากรมหวงเซินตามตัวไปอีกนั่นเอง

“หลังจากจับเหอจินอิ๋นผู้นั้นกลับมาที่ศาลแล้ว รองหัวหน้าขันทีวังหลวงผู้นั้นเคยมาสอบถามหรือไม่?”

“เรียนใต้เท้า ไม่เคยสอบถามขอรับ!”

“เฝิงกงกงเคยส่งคนมาถามเรื่องนี้ไหม?”

“เรียนใต้เท้า ไม่มีการเคลื่อนไหวอะไรขอรับ”

“อ่า คนในวังไม่สนใจ แต่กลับมีท่านอ๋องผู้หนึ่งส่งคนมาพูดแทนเหอจินอิ๋น…”

หลังจากถามสองสามคำถามเหล่านั้น หลี่ว์วั่นไฉก็ก้มหน้าไม่กล่าวอะไรอีก เฉินจื้อจงกลอกตาไปมาก็เข้าใจความหมายของใต้เท้าหวัง ครุ่นคิดครู่หนึ่งก็ก้าวออกมากล่าวว่า

“ใต้เท้า ข้าน้อยอ่านคดีดูแล้ว การบีบบังคับให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายความผิดนี้หลักฐานไม่เพียงพอ หากเงินทองเจ้าทุกข์ที่พบก็ไม่อาจปฏิเสธได้จริงๆ ข้าน้อยเห็นว่า ใต้เท้าอาจจะรับปากว่าขอช้าสักหน่อย หากเฝิงกงกงหรือโจวอี้ผู้นั้นไม่สนใจอะไร พวกเราก็ปล่อยคนไปก็แล้วกัน”

เจ้ากรมหวงเงียบไปครู่หนึ่ง ก็พยักหน้ากล่าวว่า

“จื้อจง วิธีของเจ้านี่ดี ก็ทำตามที่เจ้าว่าละกัน”

รอจนหวงเซินและเฉินจื้อจงออกจากศาลไป หลี่ว์วั่นไฉก็แอบตามหวังซื่อ กล่าวกับหวังซื่อเสียงเย็นเยียบว่า

“รีบไปรายงานใต้เท้าหวัง เหอจินอิ๋นใกล้จะถูกปล่อยตัวออกไปแล้ว!”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version