Skip to content

องครักษ์เสื้อแพร 70

ตอนที่ 70 ความสัมพันธ์เย็นชา ย่อมรู้สึกได้ด้วยตนเอง

คดีกวาดล้างเหอจินอิ๋น นายกองหลี่ว์วั่นไฉก็ได้นำส่วนแบ่งไป 60 ตำลึง และยังคาดหวังกับการตรวจสอบที่ตามมาอีก รู้สึกว่าอย่างไรก็น่าจะตรวจพบเงินทองออกมาแบ่งให้กับทุกคนได้

คิดไม่ถึงว่าสถานการณ์แปรเปลี่ยน ผู้นั้นจะได้รับการปล่อยตัวออกมาแล้ว เงินทองคืนหรือไม่เป็นเรื่องเล็ก หากเห็นเจ้ากรมหวงท่าทีลำบากใจเช่นนั้น เหอจินอิ๋นตัวเล็กๆ นี้กลับมีผู้สูงศักดิ์และขุนนางมากมายเช่นนี้มาช่วยพูดให้ ผีถึงจะรู้ได้ว่าหากออกมาจากคุกแล้วจะมาหาเรื่องเดือดร้อนให้ตนหรือไม่

หวงเซินตบหน้าไปหนึ่งฉาดนั้นทำให้หลี่ว์วั่นไฉเข้าใจดี หากเกิดเรื่องขึ้นมา เกรงว่าคนที่จะถูกส่งออกไปรับโทษแทนก็คงเป็นตนเอง ในเรื่องผลการสอบสามปีที่รับปากไว้นั้น ก็อาจถูกลอยแพเอาได้

เรื่องถึงขั้นนี้ ผลประโยชน์ก็ได้รับแล้ว เรื่องเดือดร้อนก็หามาใส่ตัวแล้ว หากจะรักษาตัวรอด ความหวังเดียวก็คือเกาะขานายกองธงใหญ่ตัวเล็กๆ ผู้นั้นเอาไว้ให้ได้ แม้ว่าขันทีของอีกฝ่ายจะดูแล้วก็ไม่เท่าไรนักก็ตาม

เจ้าหน้าที่สืบคดีระดับหกนายกองหลี่ว์วั่นไฉ หัวหน้าคุมการลงทัณฑ์ยังลนลานเช่นนี้ ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงหวังซื่อกับ หลี่กุ้ยที่ไปลงมือด้วยตนเอง หวังซื่อพอได้ยินข่าวนี้ ก็รีบหยิบยืมม้าห้อไปที่ถนนทักษิณทันที

พอถึงถนนทักษิณ มีร้านค้าบางร้านเริ่มเปิดทำการแล้ว หลี่หู่โถวกำลังจูงมือเจ้าจินเลี่ยงเดินเล่นอยู่บนถนน หลี่หู่โถวพูดจ้อไม่หยุด เจ้าจินเลี่ยงกลับเอาแต่เงียบไม่พูดไม่จา

พอหยุดม้าถามไถ่ก็รู้ว่า หวังทงและคนอื่นๆ ตอนนี้ไปที่หอรวมคุณธรรม ว่ากันว่านายกองธงเล็กจางซื่อเฉียงที่กลับมาจากนอกเมืองได้ไปตรวจค้นรอบหนึ่งและพบช่องทางลับแห่งหนึ่ง

ตอนนี้ทุกคนล้วนเป็นคนคุ้นเคย ไม่มีใครขวางทาง หวังซื่อวิ่งเหยาะๆ เข้าไปยังห้องด้านหลังบ้าน

“ข้าน้อยรู้สึกว่าตรงนี้มีช่องทางลับ แต่ไม่กล้าแตะต้อง รอให้ใต้เท้ามาเปิด”

“ต้าไห่ ซานเปียว พังออก”

หวังซื่อเบียดตัวเข้าไป เป็นห้องที่มีเตียงนอนวางอยู่ กำแพงห้องนี้ล้วนมีไม้ปิดไว้ด้านบน กำแพงข้างในถูกจางซื่อเฉียงใช้อิฐขีดเป็นวง

เมื่อใช้ขวานจามไม้ด้านนอกออก พบว่าข้างในยังมีหีบเหล็กสี่เหลี่ยมขนาดหนึ่งเชียะใบหนึ่ง เมื่อนำออกมาทุบกุญแจหีบเหล็กออก…

“พุทธรูปองค์เล็กนี้…น้ำหนักไม่เบาเลย”

พุทธรูปขนาดราวหนึ่งฝ่ามือองค์หนึ่ง เมื่อวางลงในฝ่ามือหวังทงก็คะเนได้ว่าหลอมขึ้นจากทอง แต่ที่ทำให้เขารู้สึกตกใจก็คือแบบของพุทธรูปองค์นี้มีพระอาทิตย์เล็กๆ สามดวง

พอดูเสร็จก็วางลงไว้ด้านหนึ่ง ซุนต้าไห่กับลูกน้องก็เข้าไปรุมดู แต่ก็ต้องรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย มีคนบ่นขึ้นว่า

“นี่ก็ไม่ถึงสิบตำลึง มีค่าอะไรกัน?”

หากใต้ฐานพุทธรูปกลับทับสมุดหนาๆ ไว้เล่มหนึ่ง มองดูแล้วเหมือนสมุดบัญชี ตอนหวังทงหยิบขึ้นมา หวังซื่อจากศาลซุ่นเทียนก็วิ่งเข้ามาอย่างรีบร้อนรายงานเรื่องที่เกิดขึ้นที่ศาล

อะไรนะ ถึงกับจะปล่อยตัว? สีหน้าหวังทงนิ่งไปครู่หนึ่ง จางซื่อเฉียงและซุนต้าไห่กับคนอื่นๆ ที่ยืนอยู่ด้านข้างก็รู้สึกลนขึ้นมา ทำคดีในเมืองหลวงมานาน ทุกคนรู้ดีกว่ามันหมายถึงอะไร

คิดไม่ถึงว่าเถ้าแก่บ่อนพนันที่จับกุมไป ถึงกับต้องยุ่งยากเพียงนี้ หรือจะประลองความสัมพันธ์ที่หนุนหลังกัน หวังทงถามเสียงนิ่งว่า

“เช่นนั้นเหอจินอิ๋นยังมีเวลาอีกเท่าไรจึงจะได้รับการปล่อยตัว?”

“ใต้เท้าหลี่ว์กล่าวว่า อย่างน้อยก็ขังได้อีกเจ็ดวัน…ใต้เท้าหวัง ใต้เท้าหลี่ว์ยังกล่าวว่า พี่น้องเราครั้งนี้เสี่ยงตายร่วมทำคดีกับใต้เท้า หากเกิดเรื่องใดขึ้น ขอใต้เท้าอย่าได้ทอดทิ้งเราพี่น้อง!”

หวังซื่อตอนเริ่มพูดยังเสียงนิ่งอยู่ แต่ต่อมาก็เริ่มสั่นหวาดกลัว หวังทงเอาห่อผ้าห่อสมุดเล่มนั้นไว้ โบกมือกล่าวว่า

“ข้าหวังทงไม่ใช่ผู้ที่ไม่สนใจพี่น้อง จำคำนี้เอาไว้”

ก็แค่ประลองกำลังสายสัมพันธ์และที่พึ่งพิงเบื้องหลัง คิดถึงบรรดาคนที่มาร้านตนนั้น หวังทงก็แค่นยิ้มในใจ มั่นใจอย่างมาก

แต่เหอจินอิ๋นผู้นี้มีปัญหาอยู่จริง พุทธรูปไตรสุริยันทองคำที่อยู่ในช่องลับนั้น สมุดเล่มนี้ และยังมีเถ้าแก่บ่อนพนันเล็กๆ ที่แม้แต่ศาลซุ่นเทียนบวกกับกำลังในวังก็จับเขาขังไว้ไม่ได้ สำนักไตรสุริยันฟ้าดินนี้นับว่าเป็นลัทธิลับจริง สู้ก็สู้สิ ลองคิดดูใต้หล้านี้ใครใหญ่ที่สุดกันแน่

หวังซื่อก้มคำนับขอบคุณแสดงความภักดี ทุกคนไม่มีกระจิตกระใจจะค้นหาต่อ จึงทิ้งสองคนไว้เฝ้าตามเดิม พากันเดินออกไปด้านนอก เมื่อเดินมาถึงประตู หวังทงก็กล่าวกับทุกคนว่า

“เรื่องนี้อย่าให้เสี่ยวเลี่ยงรู้ อะไรก็ไม่ต้องพูดถึง เด็กน้อยผู้นี้คิดมาก”

ทุกคนพยักหน้ารับ องครักษ์เสื้อแพรสองนายที่ถูกทิ้งไว้เฝ้าก็แอบวิจารณ์กันว่า

“จะว่าไปใต้เท้าเราอายุแค่สิบสาม ในใจกลับคิดมากกว่าพวกเรามากนัก”

วาจานั้นถูกซุนต้าไห่ที่เดินผ่านมาด้านหน้าได้ยินเข้า ก็หันหน้ากลับไปจ้องเอาเรื่อง ทำเอาพวกเขาทั้งสองรีบก้มหน้าลงไม่กล้าเอ่ยต่อ

หวังทงไม่ได้นำคนกลับไปที่ร้าน แต่ไปที่สถานที่ก่อสร้างลานฝึกหู่เวย อย่าได้เห็นว่าห่างกันแค่ถนนหนึ่งสาย หลายคนไม่รู้ว่าที่นี่กำลังก่อสร้างใหญ่

ในวังลงมือสร้างเองและยังทุ่มเงินก้อนใหญ่อีกด้วย ผลย่อมต่างกัน งานรื้อถอนปรับพื้นที่ใกล้จะเสร็จแล้ว บนพื้นปูลาดด้วยหินดาดสีเขียวแล้วชั้นหนึ่ง จากนั้นด้านบนยังใช้ทรายละเอียดทับไว้อีกชั้นหนึ่ง แล้วค่อยใช้ก้อนอิฐอัดทับให้แน่นทำให้พื้นผิวมีความแข็งและความยืดหยุ่น

สำหรับหลังคาลานฝึกนั้นก็คลุมทั้งพื้นที่ มีคนเข้าๆ ออกๆ น่าจะกำลังเร่งตกแต่งภายใน

“พี่หลี่ วันหน้าลานฝึกนี้ยังต้องขอให้พี่เป็นหัวหน้าฝึก สอนวิธีการต่อสู้โจมตีให้กับเด็กๆ”

เรื่องนี้หวังทงได้เคยบอกกล่าวกับหลี่เหวินหย่วนไว้แล้ว หลี่เหวินหย่วนพอเห็นสถานที่นี้ ก็พยักหน้าเงียบๆ หวังทงยิ้มกล่าวอีกว่า

“สอนแค่เพลงมวยก็พอแล้ว ข้าจะสอนพวกเขาออกกำลังกาย วิชาสังหารนั้นก็ไม่ต้องหรอก”

พอกล่าวถึงตรงนี้ ก็ตะโกนเรียกซุนต้าไห่และจางซื่อเฉียง เอ่ยว่า

“พวกเราทุกคน เรื่องรักษาความสงบบนถนนทักษิณก็ต้องปฏิบัติ ลานฝึกนี้พวกเราก็ต้องเฝ้าระวังให้แน่นหนา พี่สองคนต้องช่วยกันคิดว่าจะทำอย่างไรถึงจะเฝ้าระวังให้ดีได้”

จางซื่อเฉียงกับซุนต้าไห่มองซ้ายมองขวา สีหน้าลำบากใจ ซุนต้าไห่เป็นคนพูดขึ้นก่อนว่า

“ใต้เท้า สถานที่กว้างใหญ่เกินไป พี่น้องเราเฝ้าแต่ที่นี่ก็ยากแล้ว หากยังต้องไปดูแลถนนทักษิณอีก เกรงว่าจะยากไป”

หวังทงพูดไปก็มองซ้ายมองขวาไป ท่าทางใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว กล่าวตอบไปตรงๆ ว่า

“เรื่องนี้ไม่ยาก นอกจากลานฝึกสอนเด็กแห่งนี้แล้ว พวกเรายังต้องเปิดลานฝึกรับบรรดาชายหนุ่มที่ดีมีร่างกายแข็งแรง ที่นั่นจะฝึกตามแบบกองกำลังของเรา เคยมีตัวอย่างการรับผู้ช่วยงานได้ด้วยตนเองไม่ใช่หรือ? ก็ทำตามนั้นแหละ!”

องครักษ์เสื้อแพรที่มีอำนาจมีกำลังเงินนั้น นอกจากลูกน้องเดิมของตนแล้ว ยังจ่ายเงินจ้างคนไว้ใช้งานเหมือนกับพ่อบ้านคนงาน ทำงานอะไรให้เล็กน้อย คนเหล่านี้เรียกว่า ‘ผู้ช่วยงาน’ แม้ว่าไม่ใช่มือไม้ที่เป็นคนใน แต่คนเหล่านี้ก็มักจะทำงานด้วยความตั้งใจทุ่มเท ต่อสู้กันขึ้นมาก็ยิ่งไม่กลัวตาย ผู้ช่วยงานส่วนมากกลับใช้การได้ดีกว่าองครักษ์เสื้อแพรตัวจริงเสียอีก พอได้ยินหวังทงกล่าวเช่นนี้ ทุกคนก็ไม่รู้สึกกังวลอีก

หวังทงเอาแต่มองไปรอบๆ พอเห็นขันทีน้อยผู้หนึ่งเดินออกมาจากเพิงพักใหญ่ด้านหน้า คนผู้นี้ตัวผอมๆ ผิวดำๆ ซึ่งก็คือเสี่ยวไช่ที่หลายวันก่อนพบที่หอสุรานั่นเอง เขารีบรุดเข้าไป

“ไช่กงกง โปรดหยุดก่อน!”

พอเห็นหวังทงส่งเสียงทักทาย ขันทีน้อยนามเสี่ยวไช่ก็หยุดเดิน ทิ้งมือลงข้ากายก้มตัวกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า

“ใต้เท้าหวังต้องการชีวิตข้าน้อยหรือ เรียกว่า กงกง นั้นไม่กล้ารับอย่างเด็ดขาด เรียกข้าว่าเสี่ยวไช่ก็พอ”

หวังทงยิ้มประสานมือกล่าวอย่างสุภาพเช่นเดิมว่า

“ไช่กงกง หลายวันนี้ไม่เห็นโจวกงกง ไม่ทราบว่าวันนี้มาหรือไม่?”

เสี่ยวไช่ส่ายหน้า กระซิบตอบว่า

“โจวกงกงได้มอบเรื่องที่นี่ให้หน่วยก่อสร้างนอกวังจากสำนักดูแลพระราชฐานไปดูแลแล้ว โจวกงกงมีงานยุ่งในวังต้องจัดการ หลายวันนี้ปลีกตัวมาไม่ได้”

“อีกสองสามวันจะมาได้ไหม?”

“น่าจะไม่ได้ โจวกงกงทางนั้นยุ่งมาก!”

กล่าวจบก็ยิ้มยอบกายลง จากนั้นก็รีบเดินจากไป หวังทงก็ยิ้มประสานมือคำนับ แต่เขากลับรู้สึกได้ว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้องนัก ท่าทางของเสี่ยวไช่ดูระแวดระวัง เห็นชัดว่ามีระยะห่าง สำหรับท่าทีของโจวอี้นั้น ก็ดูเหมือนจะหลบหน้า สาเหตุมีประการเดียวก็คืออาจเป็นเพราะวันนั้นไปตรวจสอบเรื่องลัทธิไตรสุริยัน โจวอี้เตือนให้เขาอย่ายุ่งเกี่ยว

อาจจะเพราะตนเองได้พบกับเรื่องยุ่งยากเข้าแล้ว ไปยุ่งกับเรื่องที่ไม่ควรยุ่ง มิเช่นนั้นคนระดับโจวอี้จะหลบหน้าเช่นนี้ได้อย่างไร…

“ท่านพ่อ ท่านอาทุกท่าน พวกท่านมาที่นี่ทำไมกัน ข้ากับเสี่ยวเลี่ยงหาอยู่”

หลี่หู่โถวจูงเจ้าจินเลี่ยงเดินเข้ามาด้วยสีหน้าไม่เต็มใจ ยังไม่หยุดบ่นงึมงัมว่า

“จูงเสี่ยวเลี่ยวไปเดินวนข้างนอก ซื้อขนมให้กิน เล่านิทานให้ฟัง แต่เขาก็ไม่ยิ้ม เอาแต่เงียบ น่าเบื่อ ข้าจะไปฝึกยุทธ์แล้ว”

เห็นเจ้าจินเลี่ยงไม่สนใจอะไรเลย ท่าทางทื่อๆ อย่างนั้น หวังทงก็รู้สึกรับไม่ได้ กับพวกชั่วร้ายที่ทำเรื่องเลวร้ายที่สุดเช่นนี้ จะต้องเอาตัวมาจัดการตามกฎหมายให้ได้ แก้แค้นให้เจ้าจินเลี่ยง คิดอยู่เช่นนี้ หากกลับเอ่ยออกมาพร้อมรอยยิ้มว่า

“เช่นนั้นเจ้าก็ไปฝึกยุทธ์ ให้เสี่ยวเลี่ยงตามไปดูด้วย พวกเราทุกคนตามไปดูด้วยกัน”

ในเมื่อไม่อาจได้พบกับโจวอี้ก็กลับละกัน เป็นเพื่อนคุยกับเจ้าจินเลี่ยงก็ดีเหมือนกัน หวังทงคิดตกแล้ว หากก่อเรื่องใหญ่ขึ้นมา ก็แค่รอถึงหลังวันที่ 16 เดือนนี้ เปิดลานฝึกแล้ว ตอนนั้นก็ได้พบกับฮ่องเต้ว่านลี่ ตอนนั้นทุกเรื่องก็คุยกันได้

เมื่อไม่มีอะไรให้ทำ เช่นนั้นก็ไปบ้านหลี่เหวินหย่วนกัน เป็นช่วงปีใหม่จึงไม่มีเรื่องสำคัญอันใดให้ทำ ทุกคนก็หัวเราะเริงร่าพากันไปที่บ้านหลี่เหวินหย่วน

อาวุธเครื่องมืออย่างพวกแท่งหินยกน้ำหนัก ราวฝึกที่บ้านหลี่เหวินหย่วนก็มีไม่น้อย เป็นที่ฝึกยุทธ์เล็กๆ สำหรับให้บรรดาคนได้ฝึกฝนกัน คนทั้งกลุ่มพากันมาที่นี่ ทุกคนก็หาของๆ ตนเอง ฝึกไปคุยไป

หวังทงกับหม่าซานเปียวยืนอยู่หน้าหลี่เหวินหย่วน ฟังทหารแก่ที่มีประสบการณ์ออกรบเล่าประสบการณ์ในสนามรบ หลี่เหวินหย่วนเล่าอย่างพรั่งพรูว่า

“ช่วงแรกแม่ทัพเรามักจะส่งจดหมายคุยกับแม่ทัพอวี๋ต้าโหยว ถกกันเรื่องสิ่งที่ได้จากการบุกโจมตี พวกเราติดตามข้างกายแม่ทัพ มักจะได้เรียนรู้วิธีการไปด้วย แล้วค่อยเอาไปสอนทหารคนอื่นต่อ…”

ชีจี้กวงและอวี๋ต้าโหยวเป็นผู้มีชื่อในการโจมตีในสมัยนั้น บวกกับต่อสู้กับโจรสลัดอยู่แนวหน้า ยุทธวิธีการต่อสู้ที่ฝึกจากสนามรบจริงก็ยิ่งเป็นเทคนิคแนวจู่โจมสังหาร

(นี่ไม่ใช่เรื่องที่นิยายคิดเอาเอง ในตอนนั้นอวี๋ต้าโหยวคิดค้นเครื่องมือโจมตี และยังถ่ายทอดสิ่งเหล่านั้นให้กับกองทัพเอาไว้ สามารถเสริมศักยภาพการรบให้กับกองทัพอย่างมาก มีการกล่าวกันว่า กองกำลังพระวัดเส้าหลินมาช่วยกองทัพทำลายโจรสลัด แต่เสียหายหนัก หลังจากอวี๋ต้าโหยวได้ปรับเปลี่ยนวิธีการโจมตีของเส้าหลินแล้วก็นำมาใช้จริง กองกำลังพระกลับไปวัดเส้าหลินแล้วก็นำเอาวิทยายุทธของอวี๋ต้าโหยวไปถ่ายทอดต่อ ถึงได้เป็นบรรพบุรุษที่แท้จริงของวัดเส้าหลินในปัจจุบัน)

กล่าวถึงแต่ละรูปแบบ หวังทงก็เคยได้ยินมาบ้าง ความสามารถของหลี่เหวินหย่วนในการต่อสู้นั้นก็เห็นกันแล้ว เป็นยุทธวิธีที่ร้ายกาจใช้ได้จริง จะต้องเรียนรู้ให้ดีๆ

กำลังจะถามต่อ ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังขึ้นด้านหลัง จากนั้นก็มีเสียงดังของอาวุธแหลมคมแทงทะลุไม้ พอหันไปดู ก็เห็นหลี่หู่โถวถือหอกสั้นยาวกว่าความสูงของเขาหนึ่งเชียะ กำลังแทงลงไปในเป้าไม้แผ่นหนึ่ง

เป้านั้นเป็นแผ่นไม้ขนาดราวหนึ่งฝ่ามือเด็ก มีจุดแดงแต้มไว้ด้านบน หอกสั้นของหลี่หู่โถวเพิ่งแทงจุดแดงนั้นทะลุไป

“ฝีมือในสนามรบไม่อาจละเลย หู่โถวทุกวันต้องแทงแผ่นไม้นั้นห้าร้อยที หากแทงไม่เข้าเป้า ยังต้องฝึกเพิ่ม ตอนนี้ก็นับว่าพอใช้การได้บ้างแล้ว”

หวังทงกับหม่าซานเปียวพยักหน้าหงึกๆ นี่เป็นฝีมือแท้จริง หลี่หู่โถวที่แทงเข้าแทงออกอยู่ตรงนั้น หนึ่งเพราะฝึกเอง สองต้องการแสดงให้ทุกคนดู นอกจากนั้นยังหยอกล้อเจ้าจินเลี่ยงให้รู้สึกสนุกสนานไปด้วย แต่เจ้าจินเลี่ยงก็ยังคงเท้าคางต่อไป ไม่รู้ว่าคิดอะไร

พอกลับถึงบ้าน หวังทงจึงกางสมุดเล่มหนาเล่มนั้นออก สมุดเล่มนั้นจดบันทึกชื่อแต่ละคนและตัวเลขเอาไว้

หากจะบอกว่าเป็นรายชื่อก็ไม่เหมือนรายชื่อ บอกว่าสมุดบัญชีก็ไม่เหมือนสมุดบัญชี และก็ไม่เหมือนบันทึกลับติดสินบนขุนนางอะไรด้วย เพราะใต้ชื่อแต่ละชื่อนั้นนอกจากจะมีตัวเลขมากกว่าสิบ ในนั้นยังมีชื่อเหอจินอิ๋นที่มีตัวเลขสองอยู่ข้างใต้ ตัวเลขเหล่านี้รวมกันแล้วไม่เกินหนึ่งหมื่น หากเป็นค่าเงินที่ตั้งค่าไว้ แบ่งให้คนหนึ่งคนก็น้อยไป รวมกันก็มากไป

และชื่อคนในสมุดนี้ดูเหมือนจะไม่มีขุนนางตำแหน่งใหญ่ ขุนนางหกหน่วยงานเก้าระดับขั้น บรรดาเสนาบดี หน่วยงาน 24 หน่วยในวังหลวง หวังทงรู้จักชื่อตำแหน่งชื่อคนอยู่บ้าง ในนี้ไม่มีสักคน

คิดไม่ออกก็คือคิดไม่ออก แต่หวังทงรู้ว่าสมุดเล่มนี้ต้องสำคัญมาก ไม่เช่นนั้นก็คงไม่ใส่หีบเหล็กเก็บไว้ในช่องลับ หวังทงดูจบก็บรรจงเอาสมุดเก็บไว้ที่ๆ ตนเองวางใจ

อีกหลายวันจากนี้ ทุกวันจะไปเรียนรู้จากหลี่เหวินหย่วน จัดหน้าที่ให้บรรดาคนงานที่กลับมาและเตรียมวัตถุดิบเปิดกิจการ เก็บกวาดให้สะอาด

มีการก่อสร้างที่สำเร็จสมบูรณ์อยู่ทางนี้ สองข้างบ้านถูกขยายออกไป ตอนนี้หอเลิศรสได้ถูกขยายเป็นสองส่วน ร้านเก่าแต่เดิมพื้นที่เล็กไปหน่อย แต่ร้านใหม่ใหญ่กว่าเดิมถึงสามเท่า โต๊ะเก้าอี้ถ้วยชามในวังเลือกซื้อมา เห็นได้ว่า เปิดกิจการครั้งหน้านี้จะต้องได้เพิ่มอีกหลายเท่า

ที่ทำให้หวังทงไม่รู้พูดไม่ออกก็คือ สำนักห้องเครื่องถึงกับส่งพ่อครัวสองคนและขันทีห้องเครื่องมาอีกหนึ่งคนช่วยสนับสนุนการทำการค้าของหอเลิศรส

เรื่องนี้ขันทีใกล้ชิดฮ่องเต้ว่านลี่ จางเฉิงจากหัวหน้าขันทีสำนักส่วนพระองค์ได้ยินเข้า วันที่ 15 เดือนหนึ่งคืนนั้น จางเฉิงก็นำคนมาที่บ้านหวังทง

วันที่ 14-16 สามวันนี้ ในเมืองหลวงไม่ได้เคร่งครัดนัก ในวัง จวนขุนนางและบ้านคหบดีชั้นสูง ก็ออกเงินสร้างโคมไฟ หนึ่งเพื่อให้ความบันเทิงแก่ประชาชน สองเพื่อเป็นหน้าเป็นตาให้แต่ละครอบครัว เดือนหนึ่งมาถึงตอนนี้ก็ใกล้จะจบเทศกาลแล้ว เป็นความบันเทิงสุดท้ายของเดือนหนึ่งนี้

คนของหวังทง นอกจากจางซื่อเฉียงที่จำว่าตนเองเป็นบ่าวแล้ว คนอื่นๆ พอมีเงินในกระเป๋ามากก็สงบไม่เป็น พากันลากเขาออกไปเดินเล่นข้างนอกพร้อมกับเจ้าจินเลี่ยง

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version