ตอนที่ 71 อิทธิพลขันทีออกโรงอีกครั้ง
“ตามที่พี่หลี่กล่าวมา คนเหล่านั้นของลานฝึกก็ไปหาเอาจากกองกำลังพิทักษ์ชาติ[1] ในเมืองและมณฑลรอบนอก ตระกูลทหารทางนั้น ลูกชายคนโตเป็นทหาร คนรองกับคนที่สามมักจะยังไม่แน่ชัด คนเหล่านี้อย่างน้อยก็พอรู้เรื่องการทหารอยู่บ้าง พอรู้ธรรมเนียมอยู่ ฝึกก็ง่าย พรุ่งนี้เอาเงินไปรับสมัครคนมา อย่าบอกว่ามาฝึกยุทธ์ที่ลานฝึก บอกว่าเมืองหลวงต้องการคนไปทำงานอารักขาบ้านเรือน อย่าลืมว่าต้องสวมชุดขุนนางพกป้ายประจำตำแหน่งไปด้วย”
หวังทงหยิบเงิน 200 ตำลึงออกมาจากหีบเงินส่งให้ไป เขาพยายามไม่แสดงความกลัดกลุ้มกังวลของตนออกทางสีหน้า ตอนกลางวันยังคิดให้หลี่ว์วั่นไฉไปสอบถามเรื่องสมุดนี้จากเหอจินอิ๋น ไม่คิดว่าหลี่ว์วั่นไฉกลับกล่าวว่า ตอนนี้เหอจินอิ๋นผู้นั้นมีเจ้าหน้าที่ที่เจ้ากรมหวงที่ไว้ใจเฝ้าอยู่ เขาเองก็ไม่อาจข้องเกี่ยวเรื่องนี้แล้ว
และยังสอบถามหวังทงว่า จะขอให้เฝิงกงกงถ่ายทอดวาจามาได้หรือไม่ หากไม่ได้ ก็ให้เฝิงกงกงผู้นั้นแสดงตัวสักหน่อยก็ยังดี
หวังทงไปดูแลงานก่อสร้างทุกวัน แต่ยามนี้แม้แต่เสี่ยวไช่ผู้นั้นก็ไม่ปรากฏตัวแล้ว พอถามถึงโจวกงกง ทุกคนก็อ้ำๆ อึ้งๆ บอกแค่ว่าไม่รู้เช่นกัน
หวังทงเริ่มร้อนใจแล้ว อาศัยเพียงแค่ตำแหน่งนายกองธงใหญ่องครักษ์เสื้อแพรของตน คดีนี้คงไม่อาจสะสางให้จบได้ จำต้องหยิบยืมความช่วยเหลือจากในวัง หากยามนี้คงจะหยิบยืมความช่วยเหลือใดมาไม่ได้แล้ว
เพิ่งจะรับมอบเงินเสร็จ ด้านนอกก็มีคนมาเคาะเรียก จางซื่อเฉียงรีบลุกไปเปิดประตู พอเห็นขันทีสวมชุดแดงลายงูใหญ่[2] ยังมีชายวัยกลางคนสวมชุดนายกองร้อยองครักษ์เสื้อแพร ภายนอกคลุมทับด้วยชุดสีน้ำเงิน และทหารสวมชุดเกราะอีกสองนาย
องครักษ์เสื้อแพรมีชุดแดงและสีเหลืองสองสี หมายถึงองครักษ์แห่งองค์ฮ่องเต้ ผู้สวมชุดน้ำเงินคลุมทับด้านนอกนั้นก็เป็นองครักษ์เสื้อแพรเช่นกัน แต่เป็นตำแหน่งพิเศษ เพราะเป็นองครักษ์เสื้อแพรสังกัดสำนักบูรพา
สำนักบูรพาจะมีขันทีลำดับสองจากสำนักส่วนพระองค์เป็นผู้บังคับบัญชา หากในตอนนี้ตำแหน่งนี้กลับถูกเฝิงเป่า ควบตำแหน่งไว้ ตามระบบงานแล้ว ตำแหน่งลำดับสองและสามสำนักบูรพาก็ควรจะเป็นนายกองพันและนายกองร้อยตามลำดับที่เลือกออกมากององครักษ์เสื้อแพร แต่ตั้งแต่ฮ่องเต้จูลี่ตั้งสำนักบูรพาขึ้นมา การผลัดเปลี่ยนตำแหน่งแบบเดิมก็ได้กลายเป็นสืบทอดตำแหน่งกันมานานแล้ว เพราะว่าสถานะของสำนักบูรพานั้นสูงส่งมาก ดังนั้นสถานะของนายกองร้อยนาย กองพันในกององครักษ์เสื้อแพรสำนักบูรพานี้สามารถทานอำนาจผู้บัญชาการองครักษ์เสื้อแพรนอกวังได้
เพื่อแสดงให้เห็นความแตกต่างทางสถานะของทั้งสองฝ่าย องครักษ์เสื้อแพรที่สังกัดสำนักบูรพานอกจากจะสวมชุดเหมือนกันแบบเดิมแล้ว ยังสวมชุดสีน้ำเงินคลุมทับไว้ด้านนอกอีกชั้นเพื่อให้ชัดเจน
ทหารสวมเสื้อเกราะสองนายนั้น ชุดเกราะปราณีต ท่าทางแคล่วคล่ององอาจ ในเมืองหลวงนี้เกรงว่ากองทหารที่จะมีลักษณะเช่นนี้คงมีแต่…
ขันทีชุดแดงปักลายงูใหญ่ ขันทีที่สวมชุดเช่นนี้ในวังมีไม่เกิน 20 คน ล้วนเป็นมหาขันที จางซื่อเฉียงเปิดประตูออกมาก็ตะลึงงัน แต่เล็กจนโตไม่เคยได้พบบุคคลยิ่งใหญ่ระดับนี้ตรงหน้ามาก่อน
เขายืนบังประตูอยู่ จางเฉิงขมวดคิ้วผลักเขาออก เดินนำคนที่อยู่ด้านหลังเข้ามา จางซื่อเฉียงรู้สึกเย็นวาบไปทั้งตัว ตอนนี้จึงได้เห็นว่าบนถนนมืดดูเหมือนจะเต็มไปด้วยผู้คนเต็มพื้นที่
“ที่แท้เป็นจางกงกง ไม่ได้ออกไปต้อนรับ เสียมารยาทยิ่งนัก”
หวังทงที่ไม่ได้พบผู้มีอิทธิพลในวังมาหลายวัน อยู่ๆ เห็นจางเฉิงขันทีรับใช้ใกล้ชิดฮ่องเต้ว่านลี่ปรากฏตัวขึ้น ในใจก็รู้สึกตื่นเต้นดีใจ แต่ยังต้องวางท่าทีสงบนิ่ง รีบประสานมือลุกขึ้นกล่าวคำทักทาย
จางเฉิงโบกมือ กล่าววาจานุ่มนวลอย่างมากว่า
“ไทเฮาทรงมีสายพระเนตรแหลมคม เรื่องที่เจ้าได้ดำเนินการไปในสิบกว่าวันมานี้ จัดหากำลังคนที่สามารถใช้การได้ เป็นเรื่องไม่เลวเลยจริงๆ”
พอได้ยินคำชมของจางเฉิง หวังทงก็รู้สึกงงจับต้นชนปลายไม่ถูก แต่ก็รู้ว่าเรื่องที่ตนได้ทำลงไปเหล่านี้นั้น รวมถึงเรื่องที่รับคนมาเพิ่มย่อมไม่อาจพ้นสายตาของคนในวังไปได้ อันดับต่อไปขันทีผู้นี้จะกล่าวเรื่องคดีของเหอจินอิ๋นหรือไม่ อีกฝ่ายรู้เรื่องนี้หรือไม่?
ขณะกำลังคาดเดาอยู่นั่นเอง จางเฉิงก็นั่งลงเอ่ยเป็นการเป็นงานว่า
“ลานฝึกใกล้จะได้เริ่มใช้งานแล้ว มีบางเรื่องคืนนี้ต้องพูดกันให้ชัดเจน หวังทงเจ้านั่งลงฟังให้ดี”
หวังทงกล่าวถ่อมตนอีกสองประโยค จากนั้นค่อยนั่งลงตรงข้ามกับจางเฉิงด้วยท่าทางสบายๆ จางเฉิงรู้สึกเป็นเรื่องปกติ แต่นายกองร้อยกองอาญาจากสำนักบูรพาผู้นั้นกับนายทหารสองนายกลับเบิกตากว้าง นายกองธงใหญ่ธรรมดาๆ คนหนึ่ง อายุยังน้อย กลับกล้านั่งลงตรงข้ามกับจางกงกงได้ด้วยท่าทางสบายๆ เช่นนี้ และจางกงกงก็ไม่โกรธเคือง ที่แท้เป็นผู้ใดกัน
จางซื่อเฉียงผู้นั้นเข่าอ่อนยวบไปเล็กน้อย แต่ในใจทั้งกลัวทั้งดีใจ คิดว่าตนเองติดตามนายถูกคนแล้ว นายผู้นี้แท้จริงเก่งกาจเพียงใดก็มองไม่ออก เหมือนกับคนที่อยู่ในน้ำที่ลึกมาก ยามนี้ในใจรู้สึกหวาดกลัวทำให้ลืมคิดเรื่องอื่นๆ ไปสิ้น
จางเฉิงโบกมือ นายกองร้อยจากสำนักบูรพาผู้นั้นก็เข้าไปไล่จางซื่อเฉียงให้ออกจากห้องไป พอประตูปิดลง จางเฉิงก็เริ่มเอ่ยขึ้นว่า
“เดิมเฝิงกงกงและอำมาตย์จางก็แค่จะเลือกเฟ้นบรรดาลูกหลานขุนนางและลูกหลานตระกูลชั้นสูงมาร่วมฝึก แต่ไทเฮาทรงรู้สึกว่ายังไม่พอ กำชับให้สำนักส่วนพระองค์เป็นผู้คัดเลือกเด็กร้อยคนที่สุขภาพแข็งแรงตระกูลดีในอำเภอรอบเมืองหลวง รับเข้าเมืองหลวงด้วยข้ออ้างว่ามาฝึกยุทธ์ มารับใช้ฮ่องเต้ฝึกยุทธ์”
หวังทงเงียบไปครู่หนึ่งก็เอ่ยถามขึ้นว่า
“จางกงกง สถานะของฮ่องเต้ปิดเป็นความลับได้หรือไม่ ข้าน้อยทางนี้มีเด็กอีกสองคน ก็อยากจะส่งไปร่วมฝึกด้วย ไม่ทราบว่าได้หรือไม่”
“คนหนึ่งคือหลีหู่โถว บุตรชายคนเดียวของหลี่เหวินหย่วน เป็นลูกหลานทหาร เด็กคนนี้ได้ อีกคนเป็นใคร?”
มีคนจับตาตนไว้จริงดังคาด รู้จักหลีหู่โถว แต่ไม่รู้จักเจ้าจินเลี่ยง เช่นนั้นก็ไม่รู้เรื่องเถ้าแก่เจ้างั้นหรือ?
หากยามนี้ก็เหมือนว่าไม่เหมาะจะคุยเรื่องนี้ หวังทงสะกดความสงสัยเอาไว้ก่อน ตอบเสียงนิ่งเรียบว่า
“เป็นเพื่อนบ้านข้าน้อย บิดามารดาเสียชีวิต อายุแค่ห้าขวบ น่าสงสารมาก ทุกวันไม่มีแม้แต่รอยยิ้ม ไม่สู้เพิ่มชื่อเข้าไป จะได้หาเพื่อนเล่นให้เขาด้วย”
จางเฉิงครุ่นคิดไปครู่ ก่อนจะหันไปสั่งนายกองร้อยจากกององครักษ์เสื้อแพรว่า
“นายกองร้อยเซวีย เดี๋ยวส่งคนไปตรวจสอบเด็กผู้นี้ หากไม่มีปัญหาอะไรก็มาแจ้งข้า จะได้เพิ่มชื่อเข้าไปด้วย”
นายกองร้อยเซวียผู้นั้นคำนับรับคำสั่งอย่างนอบน้อม จางเฉิงหันกลับไปกล่าวต่อว่า
“ในบรรดาเด็กเหล่านี้มี 20 คนเติบโตในวัง เฝิงกงกงกับเราได้คัดเลือกเอาแต่คนที่ไว้ใจได้ หนึ่ง ปิดบังฐานะฝ่าบาท สอง ทำงานจะได้สะดวกขึ้น”
สถานะของฮ่องเต้ว่านลี่สำคัญอย่างมาก ย่อมไม่อาจขาดตกบกพร่อง ในวังจัดการขั้นตอนรักษาความปลอดภัยก็เป็นเรื่องสำคัญ จางเฉิงค่อยๆ หันไปชี้นายกองร้อยผู้นั้นกับทหารอีกสองนายกล่าวว่า
“จากนี้ไปถนนทักษิณกับถนนสองสายบริเวณรอบมอบให้นายกองร้อยเซวียจันเยี่ยจากสำนักบูรพารับผิดชอบ สองท่านนี้คือ เติ้งผู่องครักษ์ฝ่ายซ้ายกองกำลังมังกรรักษาพระองค์[3]กับรองนายกองหูฉี หวังทงเจ้ามารู้จักพวกเขาไว้หน่อย”
นายกองร้อยกองอาญาสำนักบูรพา นับว่าเป็นบุคคลที่มีอำนาจยิ่งใหญ่ไม่น้อยแล้ว สองนายกองจากกองกำลังมังกรรักษาพระองค์ก็ไม่ใช่ทหารธรรมดา เป็นหนึ่งในสี่กองกำลังรักษาพระองค์และกองรบในสังกัดสำนักอาชาหลวงซึ่งเป็นกองกำลังที่แข็งแกร่งที่สุดของราชวงศ์หมิง ทำหน้าที่ปกป้องเขตพื้นที่สำคัญที่สุดในราชวงศ์หมิง นอกเหนือจากสิบสองกองกำลังประจำเมืองหลวง
มีอาวุธต่อสู้ครบครันที่สุด ฝึกฝนมากที่สุด สร้างผลงานในการรักษาความสงบและจัดการความไม่สงบในเมืองหลวงมาโดยตลอด เป็นกองกำลังที่เข้มแข็งที่สุด หากสามารถเป็นทหารกองกำลังรักษาพระองค์และกองรบในสังกัดสำนักอาชาหลวงได้ เมื่อออกไปอยู่ข้างนอก อย่างน้อยที่สุดก็ระดับแม่ทัพคุมกองกำลัง ที่เป็นถึงระดับแม่ทัพใหญ่ก็มีมากอยู่
แน่นอนแล้วว่าฮ่องเต้เสด็จออกนอกวัง ดูเหมือนเรียบง่าย แต่การเคลื่อนย้ายกองกำลัง การรักษาความปลอดภัย ทุกอย่างล้วนต้องตระเตรียมพร้อมสรรพ
หวังทงได้ยินสิ่งที่มหาขันทีจางเฉิงกล่าวแล้ว ก็รีบลุกขึ้นประสานมือไปทางทั้งสามท่านนั้นกล่าวว่า
“ข้าน้อยหวังทง จากนี้ขอใต้เท้าทั้งสามท่านโปรดชี้แนะ”
สองฝ่ายสถานะต่างกันอย่างมาก หากบอกว่าฟ้ากับเหวก็คงไม่เกินไปนัก แต่หวังทงเมื่อครู่นั่งอยู่ตรงข้ามกับขันทีจางเฉิง พวกเขากลับยืนเฝ้าอยู่ด้านหลัง
มีสายสัมพันธ์เช่นนี้ ใครจะกล้ามองข้ามนายกองธงใหญ่เล็กๆ ผู้นี้ นายกองร้อยผู้นั้นกับนายทหารสองนายก็รีบคำนับตอบ กล่าวพร้อมเพรียงกันว่า
“ใต้เท้าหวังเกรงใจเกินไป วันหน้ายังต้องขอให้ใต้เท้าช่วยเหลือถึงจะถูก”
“นี่ก็รู้จักกันแล้ว เรื่องที่เจ้าเหนือหัวจะมาที่นี่ ในเมืองหลวงมีคนรู้ไม่ถึงร้อยคน เรื่องสำคัญใหญ่หลวงนัก หากมีข้อผิดพลาดเล็กน้อยเกิดขึ้นก็จะมีความผิดประหารทั้งตระกูล พวกเจ้ารู้กันดีใช่ไหม?”
“ขอบคุณจางกงกงที่สอนสั่ง ข้าน้อยรู้ความสำคัญดี”
หวังทงเดิมคิดจะลงนั่งต่อ แต่ก็ได้แต่ยืนก้มหน้ารับการสอนสั่งไปด้วยกัน พอกล่าวจบ จางเฉิงก็โบกมือ นายกองร้อยผู้นั้นกับทหารสองนายก็กล่าวอำลา จากนั้นก็เดินออกจากห้องไป
นายกองร้อยกองอาญาสำนักบูรพา นายจากสี่กองกำลังใหญ่ประจำพระองค์ ล้วนเป็นบุคคลยิ่งใหญ่ที่แค่กระทืบเท้าในเมืองหลวงก็ทำให้รอบด้านพากันวิ่งกันให้วุ่นวายได้ แต่ต่อหน้าบุคคลสำคัญที่สุดแห่งราชวงศ์หมิงอย่างจางเฉิงผู้นี้ ยังถูกเรียกใช้อย่างกับทาสในบ้าน
รอจนคนออกไปหมด จางเฉิงก็ถอนหายใจยาว เผยสีหน้าเหน็ดเหนื่อยออกมา ยิ้มเหนื่อยอ่อนกล่าวว่า
“พิธีการใหญ่น้อยในวังหลายวันนี้ การมอบของขวัญตอบแทนกันไปมาทั้งฝ่ายในและฝ่ายนอก ช่างยุ่งวุ่นวายเสียจริง อยู่ที่นี่รู้สึกเป็นอิสระหน่อย”
น้ำเสียงพลันสนิทสนมขึ้นมาไม่น้อย สองสามวันนี้ถูกเหล่าขันทีละเลย แต่เหตุใดวันนี้จึงได้สนิทสนมเช่นนี้ ในใจหวังทงก็เต้นตึกตักขึ้นมา หากก็ยืนขึ้นโค้งคำนับกล่าวว่า
“ภาระใหญ่หลวง ย่อมมีงานมากมาย เป็นเพราะจางกงกงเป็นที่ไว้วางพระราชหฤทัย…”
วาจาประจบเอาใจ เรื่องพวกนี้ในวงการการทำงานและขุนนางล้วนเหมือนกัน สมัยเมื่อชาติก่อนตอนไปกินข้าวพูดคุยสัพเพเหระกับหัวหน้า ส่วนใหญ่หัวหน้าจะบอกว่างานยุ่ง หวังทงก็มักจะตอบเช่นนี้ ก็ได้ผลตอบรับดีทุกคน ครั้งนี้ก็เช่นกัน จางเฉิงสงบนิ่งเช่นนี้ แต่ใบหน้าก็ยังเผยให้เห็นความพึงพอใจ กล่าวตอบทันทีว่า
“น้องหวังเจ้าฝีปากดีเช่นนี้ราวกับเป็นขุนนางมาเป็นสิบปีได้ หากไม่ต้องใช้กับเฝิงกงกงของเรานะ อำมาตย์จางนั้นเจ้าก็ลองดูได้”
นี่ล้วนแสดงให้เห็นว่าเป็นวาจาอย่างเป็นกันเอง หวังทงยิ้มตามไปด้วย จางเฉิงนั่งยืดตัวตรงขึ้น เริ่มกล่าวอย่างละเอียดว่า
“รอบนอบล้วนเป็นทหารกองกำลังสำนักบูรพา รอบนอกไปอีกก็เป็นทหารของสี่กองกำลังใหญ่รักษาพระองค์ หากเกิดเรื่องใดขึ้น ขอเพียงรับมือไว้ให้ได้ในช่วงเวลาหนึ่ง ทหารห้าพันนายก็จะมาถึง แต่หวังทงเจ้าทางนี้ก็ต้องเป็นองครักษ์ข้างกาย หัวหน้าลานฝึกมีเจ้าคนหนึ่ง ครูฝึกมีหลี่เหวินหย่วนอีกคนหนึ่ง ในวังยังเตรียมส่งคนมาเพิ่มอีกห้าคน ต้องจำไว้ หากเกิดเรื่องกับเจ้าเหนือหัว เจ้าพลีชีพเข้าปกป้อง ครอบครัวย่อมเจริญรุ่งเรือง หากกลับกัน เราก็คงไม่ต้องพูดกันแล้วกระมัง”
“ที่กงกงกล่าวมาล้วนเป็นคำพูดที่มาจากใจอย่างเช่นคนในครอบครัว ข้าน้อยจะจดจำไว้”
“ไทเฮาและฮ่องเต้เห็นความสำคัญของเจ้า เงินทองวาสนาจากฟ้าก็กองอยู่ตรงหน้า วันนี้เวลาเหล่านี้เจ้าต้องอดทนไว้ รู้ว่าอะไรควรพูด อะไรไม่ควรพูด โจวอี้ลูกบุญธรรมข้านั้นก็กล่าวกับเจ้าหมดแล้ว ข้าและเจ้าไม่ใช่คนนอก ฮ่องเต้มาที่นี่เริ่มแรกก็แค่รู้สึกแปลกใหม่ หากเจ้าอย่าทำให้ฮ่องเต้ทรงรู้สึกเช่นนี้ ต้องดึงพระทัยพระองค์ไว้ให้ได้ถึงจะถูก…ล้วนแต่เป็นเด็กที่ไม่รู้จักฮ่องเต้ ทำให้ฮ่องเต้รู้สึกว่าทรงเป็นประชาชนธรรมดา ในวังเป็นฮ่องเต้ มาลานฝึกเป็นประชาชนธรรมดา นี่เหมือนกับการเล่นละคร ชั่วขณะหนึ่งก็คงไม่ทรงเบื่อเร็วนัก…”
หวังทงตั้งใจฟัง ในใจกลับทอดถอนใจ คนโบราณไม่อาจดูถูกได้ สิ่งที่ตนเองคิดนั้น จางเฉิงผู้นี้คิดได้หมดทุกเรื่อง และยังกล่าวได้ทะลุปปรุโปร่ง
“ส่งลูกหลานที่ไว้ใจได้เข้าไปก็เป็นสิ่งที่ถูกต้อง วันหน้าอย่างไรก็มีอำนาจวาสนา ข้าก็เข้าใจ หลี่เหวินหย่วนผู้นี้ติดตามแม่ทัพชีสร้างผลงานแก่ประเทศชาติ เพิ่มลูกชายเข้าไปก็ควรอยู่ แต่เด็กที่เจ้าพูดถึงคนนั้น ยังมีสาเหตุอื่นหรือไม่?”
คืนนี้จางเฉิงมาเพื่อจัดการรายละเอียดและเรื่องในวันหน้าของลานฝึก เป็นงานหลวง หวังทงรู้ว่าหากเล่าเรื่องความยากลำบากในการสืบคดีออกมา ไม่ได้รับการช่วยเหลือไม่ว่า ยังอาจสร้างความรู้สึกไม่ดีให้กับอีกฝ่ายได้
ตอนนี้จางเฉิงผู้นี้ถามขึ้นเองย่อมเป็นเรื่องดีที่สุด ฮ่องเต้มาอยู่นอกวัง เรื่องราวทุกเรื่องในวังล้วนต้องการความสมบูรณ์แบบ ไม่อาจให้เกิดความผิดพลาดใดได้แม้แต่น้อย
พูดไปก็แปลก จางเฉิงที่รู้ทุกเรื่องทำไมไม่รู้เรื่องคดีนี้ ทำไม่รู้จักเจ้าจินเลี่ยง หวังทงระงับความสงสัยลง เล่าเรื่องตั้งแต่ต้นจนจบอย่างละเอียด
พอฟังจบ จางเฉิงกลับหัวเราะ ชี้ไปที่หวังทงกล่าวว่า
“หวังทง นิสัยเอาจริงเอาจังของเจ้าเกรงว่าจะนำภัยมาสู่ แต่นิสัยเช่นนี้ก็จะทำให้เจ้าประสบความสำเร็จ เด็กผู้นั้นน่าสงสารจริง เพิ่มชื่อเข้าไปก็ได้ เรื่องนี้พรุ่งนี้ข้าจะส่งคนไปตรวจสอบดู ก็แค่นักเลงเปิดบ่อน กลับทำให้ผู้คนมากมายออกมาปกป้อง ต้องดูเสียหน่อยว่าเป็นผู้เก่งกาจสักเพียงใด!”
พอพูดจบ ก็ลุกขึ้นยืนพร้อมกับกล่าวอย่างผ่อนคลายว่า
“จัดหาคนที่พอใช้ได้มาให้มากหน่อย ฝึกขึ้นมาเป็นผู้ช่วยงาน พวกเจ้าตอนนี้มีแค่สิบกว่าคน จะไปทำอะไรได้ ขาดเงินทองก็ไปเบิกเอาจากโจวอี้ก็ได้”
หวังทงรีบลุกขึ้นน้อมส่ง ตอนหันหลังกลับมาในใจก็รู้สึกผ่อนคลายลงไม่น้อย จางซื่อเฉียงสีหน้าซีดขาวเดินตามเข้ามา คิดจะเอ่ยกับหวังทง หากจางซื่อเฉียงก็ไม่รู้ว่าควรจะกล่าวอะไรดี
“พี่จาง เห็นอะไร รู้อะไรไม่สำคัญ ที่สำคัญคือไม่พูด พี่เข้าใจไหม?”
หวังทงกล่าวด้วยรอยยิ้ม ในใจเขารู้ดี เรื่องบางเรื่องของตนนั้น คนข้างกายมีแค่องครักษ์พวกนั้นและก็มือปราบสองคน ในจำนวนนี้ต้องมีสายสืบจากในวังปนอยู่ ไม่เช่นนั้นเรื่องที่ตนทำทุกอย่างนั้นในวังจะรู้อย่างละเอียดได้อย่างไร
จางซื่อเฉียงได้ยินดังนี้ก็รู้สึกผ่อนคลายลง รีบตอบว่า
“นายท่านวางใจ ข้าน้อยเข้าใจความสำคัญ รู้ควรไม่ควร น้ำชานี้เย็นแล้ว ข้าน้อยออกไปต้มน้ำมาใหม่”
เรื่องที่สนทนากับจางเฉิงเมื่อสักครู่นั้นมีสารสื่อความอยู่มากมาย หวังทงหรี่ตานั่งอยู่ที่โต๊ะค่อยๆ รำลึกย้อนกลับไป ไม่อยากจะตกหล่นไปแม้แต่น้อยนิด
ในตอนนี้เอง ซุนต้าไห่ก็วิ่งเข้ามาอย่างรีบร้อน ประตูยังไม่ทันปิด ลมพัดเข้ามาก็ไม่สนใจ ยืนอยู่ตรงนั้นพร้อมกล่าวเสียงดังว่า
“ใต้เท้า เหอจินอิ๋นผู้นั้นถูกปล่อยตัวออกมาแล้ว!!”
“อยู่ที่ใต้โคมไฟตรงทางแยกตรงนั้น เจ้าบัดซบนั่นแม้จะผมยาวออกมา ข้าก็จำมันได้!!”
หลี่หู่โถวตามเข้ามาตะโกนเสียงดัง เขาจูงเจ้าจินเลี่ยงที่ยังคงนิ่งเงียบเอาไว้ แต่ร่างกายน้อยๆ นั่น กลับเริ่มสั่นเทาไม่หยุด…
…………………………
[1] กองกำลังพิทักษ์ชาติ เป็นระบบทางการทหารในราชวงศ์หมิง ในสมัยจักรพรรดิหย่งเล่อมีทหารกว่าสองล้านนายทั่วประเทศ ระบบทางการทหารของราชวงศ์หมิงได้ดำเนินการเป็นสองระดับ ระดับไม่ถึงห้าพันหกร้อยนายเรียก กองพิทักษ์ ระดับแสนนายขึ้นไปเรียก กองป้องกัน
[2] ชุดองครักษ์เสื้อแพรสีแดงลายงูใหญ่เป็นงูมีสี่เล็บคล้ายมังกร เป็นชุดพระราชทาน เป็นตำแหน่งองครักษ์เสื้อแพรประจำองค์ฮ่องเต้ระดับสูงสุด
[3] กองกำลังมังกรรักษาพระองค์เป็นหนึ่งในสิบเจ็ดกองกำลังรักษาองค์ฮ่องเต้