ตอนที่ 690 เปลี่ยนแปลง
ตั้งแต่นายกองโหวเจินแห่งกองเอกสารสำนักองครักษ์เสื้อแพรนำโหววั่นไฉมาคารวะหวังทง โหววั่นไฉมีงานไม่มีงานก็มาที่นี่บ่อย กองเอกสารสำนักองครักษ์เสื้อแพรมีงานต้องทำมากไม่อาจปลีกตัวมาได้ มีข่าวอันใดต้องแจ้ง ก็จะให้โหววั่นไฉมาแจ้ง นับว่าให้คนของตนได้เสนอหน้าให้หวังทงได้เห็นบ่อยๆ
พอได้ยินข่าวเช่นนี้ หยางซือเฉินก็เงยหน้ามองอึ้งไป จากนั้นก้มหน้าเหมือนคิดอันใด แต่ก้มหน้าจัดการเอกสารต่อ
“เป็นผู้ใดยื่นฎีกา?”
“เป็นนายกองแซ่เจ้าจากหน่วยเสนาธิการทหาร ฎีกาส่งไปกรมฎีกาเมื่อหนึ่งชั่วยามก่อน คนของเรามาส่งข่าว ท่านอาข้ารีบให้ข้ามาแจ้งข่าวนี้ใต้เท้า”
องครักษ์เสื้อแพรหูตาทั่วเมืองหลวง ระดับกรมฎีกาสถานที่สำคัญเช่นนี้ย่อมมีหูตาแฝงตัวอยู่มาก หวังทงพยักหน้า ข่าวนี้อย่างไรใต้หล้าก็ต้องรู้ทั่ว ไม่มีอันใดน่าแปลกใจ
“ดีมาก ข้ารู้แล้ว”
หวังทงรับคำ โหววั่นไฉก้มคำนับก่อนจะถอยออกไป ในใจก็งงอยู่เล็กน้อย ข่าวใหญ่เช่นนี้ เหตุใดใต้เท้าหวังจึงนิ่งเฉยเช่นนี้ โหววั่นไฉย่อมไม่กล้าถามให้มากความ กำลังออกไป ก็ได้ยินหวังทงด้านหลังถามขึ้น
“ได้ยินอาเจ้าว่า เจ้าเก่งเรื่องสืบข่าว นอกและในเมืองหลวงนี้แล้วเชี่ยวชาญทุกพื้นที่หรือ?”
โหววั่นไฉรีบคำนับ ตอบอย่างนอบน้อมว่า
“ข้าน้อยชอบหาข่าว เพื่อนทุกวงการมีมาก มีบางเรื่องคนอื่นไม่รู้ แต่ข้ารู้”
โหววั่นไฉตอนนี้ตื่นเต้นมาก ตอนอยู่กองเอกสารสำนักองครักษ์เสื้อแพร ท่านอาเตือนเขาว่า หวังทงแม้อายุน้อย แต่อนาคตย่อมไกลไร้ประมาณ เพิ่งเข้าเมืองหลวงมา ยังมีคนใช้งานได้น้อย หากสามารถเชื่อมสัมพันธ์ได้ วันหน้าย่อมมีเรื่องดีๆ รออยู่อีกมาก โหววั่นไฉถามตนเองว่าเก่งด้านใด ก็คงมีแค่เรื่องหาข่าวนี่เอง แต่คนใต้เท้าหวังในหน่วยงานต่างๆ คนนับพันนับหมื่นทำงานให้เขา ข่าวอันใดไม่มาถึงมือบ้าง คงไม่มีโอกาสใช้งานตน คิดไม่ถึงว่าวันนี้เหมือนโอกาสมาถึงแล้ว
ได้ยินโหววั่นไฉตอบ หวังทงยิ้มพยักหน้ากล่าวว่า
“เมืองหลวงน่ามีพวกนั่งรับเงิน พวกร่ำรวยหากไร้ตำแหน่งขุนนาง เจ้าไปสอบถามรายชื่อมาให้หมด”
พวกนั่งรับเงิน พวกร่ำรวยหากไร้ตำแหน่งขุนนางก็คือพวกโจรที่ตั้งเป็นพรรคเป็นพวก วางอำนาจบาตรใหญ่ไปทั่ว แต่คนพวกนี้นับว่าเป็นคนมีสถานะในเมืองอยู่ ที่เมืองหลวงหากไร้สถานะขุนนาง หรือสถานะขุนนางระดับไม่สูงพอ ก็เท่ากับกุ้งแห้งตัวหนึ่ง ไม่อาจอยู่ในสายตาหวังทง
ได้ยินหวังทงให้เขาไปสืบหารายชื่อคนพวกนี้มา โหววั่นไฉก็งงครู่หนึ่ง แต่ในเมื่อสามารถปฏิบัติหน้าที่ให้ใต้เท้าหวังได้ ย่อมเป็นเรื่องน่ายินดีที่ราวกับร่วงหล่นจากฟ้ามา จึงรีบคุกเข่ารับคำสั่งว่า
“ข้าน้อยรับคำสั่ง ต้องไปสืบมาให้ใต้เท้าครบทั้งหมด”
กล่าวจบก็จากไปด้วยท่าทางยินดีปรีดา พอโหววั่นไฉออกไป หยางซือเฉินก็เงยหน้าขึ้นกล่าวว่า
“ฝ่าบาทไม่วางพระทัยให้คนที่ท่านจางส่งเสริมมาอยู่ในตำแหน่งต่อ นับประสาอันใดกับแม่ทัพใหญ่เมืองจี้โจวที่สำคัญเพียงนั้น การยื่นฎีกานี้เกรงว่าฝ่าบาทคงจัดการไปดังลอยเรือตามน้ำแล้วกระมัง!”
หวังทงนั่งส่ายหน้ากล่าวว่า
“หากการโกงเบี้ยหวัดทหารเป็นเรื่องไม่จริงก็ดี หากเป็นเรื่องจริง ครั้งนี้ชีจี้กวงเกรงว่าคงต้องไปจากเมืองจี้โจวแล้ว!”
คดีสำนักรักษาความสงบกับองครักษ์เสื้อแพร หวังทงกับหยางซือเฉินล้วนอ่านหมด จางจวีเจิ้งตอนอยู่ในตำแหน่ง เบี้ยหวัดที่ชีจี้กวงหักไว้นั้นส่งเข้ามายังจวนขุนนางใหญ่ในเมืองหลวง ถึงกับมีข่าวว่า ชีจี้กวงเคยมอบสาวงามให้จางจวีเจิ้งอีกด้วย หากไม่มีเรื่องพวกนี้ ฎีกานี้อาจปัดให้พ้นตัวได้ แต่เป็นเรื่องจริงนี่สิ ย่อมไม่อาจกล่าวอันใดได้อีก ได้แต่เสียดายชื่อเสียงแม่ทัพใหญ่ที่สร้างมา
แม้หยางซือเฉินไม่รู้ว่าตอนหวังทงเข้าเฝ้าฮ่องเต้ว่านลี่ในวังกล่าวอันใดกัน แต่เขาก็เดาได้ว่าฮ่องเต้ว่านลี่ไม่ทรงอยากให้ชีจี้กวงอยู่ในตำแหน่งต่อไป เห็นได้ชัดว่า ไม่ว่าชีจี้กวงผิดหรือไม่ การจับกุมเขานั้นเป็นเรื่องที่หนีไม่พ้น แม้ว่าไม่ใช้เหตุผลนี้ก็คงมีเหตุผลอื่น
ทว่าอารมณ์หวังทงอย่างมากก็แค่รู้สึกบอกไม่ถูก ชีจี้กวงในความทรงจำเขาเมื่อชาติก่อนเหมือนว่ายิ่งใหญ่เกรียงไกร แต่พอมาสัมผัสเข้า จึงได้รู้ว่าที่จริงแล้วก็ไม่เป็นเช่นนั้น
ชัยชนะกู่เป่ยโข่วครานั้น ใช้กองกำลังหู่เวยเป็นเหยื่อล่อพวกนอกด่าน อาศัยความเสียหายกับการรบเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายของกองกำลังหู่เวยนำมาซึ่งชัยชนะ ชัยชนะเช่นนี้สำหรับแผ่นดินหมิงเรียกได้ว่าเป็นประโยชน์ใหญ่ หวังทงยอมรบเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายเพื่อแผ่นดินหมิง แต่ไม่หมายความว่าพอใจกับการใช้กองกำลังตนเป็นเหยื่อล่อของชีจี้กวง
ฮ่องเต้ต้องการจัดการแม่ทัพ แม้ส่วนตัวก็ไม่มีอันใดต้องพูดกันมาก หยางซือเฉินจัดเอกสารไปก็บันทึกประเด็นสำคัญไป พลางกล่าวว่า
“ไม่ต้องพูดถึงว่าตอนนี้ข่าวสำนักองครักษ์เสื้อแพร ใต้เท้าก็รู้หมด ข่าวจากสำนักบูรพากับสำนักรักษาความสงบ หากใต้เท้าต้องการรู้ ก็ย่อมไม่มีสิ่งใดขวางได้ เหตุใดจึงใช้คนผู้นั้น”
“นายกองโหวเจินกองเอกสาร สำนักองครักษ์เสื้อแพรปฏิบัติหน้าที่ทุกวัน ไม่มีเวลามา ก็ต้องอาศัยโหววั่นไฉมาเชื่อมสัมพันธ์ ให้โหววั่นไฉทำงาน ก็นับว่าทำให้เขารู้สึกวางใจ จะว่าไป สำนักรักษาความสงบอยู่เมืองหลวงมาห้าปีนี้ คนปฏิบัติหน้าที่นานวันเข้า ก็เริ่มมีน้ำใจกับหลายฝ่าย ใช้พวกเขา อย่างไรก็มีเรื่องที่อาจปิดบังเรา”
สำนักรักษาความสงบตั้งมาไม่กี่ปีก็เป็นเช่นนี้ ไม่ต้องพูดถึงสำนักบูรพากับองครักษ์เสื้อแพรเลย หยางซือเฉินยิ้ม ไม่กล่าวอันใดต่อ
************
พอนายกองจากหน่วยเสนาธิการทหารยื่นฎีกา ทั่วเมืองหลวงก็รู้ข่าวนี้ และยังรู้ว่าโอรสสวรรค์ทรงกริ้วมาก ตรัสว่าให้ดำเนินการเรื่องนี้อย่างเด็ดขาด
เรื่องนี้ความจริงเป็นเช่นไร ทุกคนไม่สนใจนัก ทุกคนสนใจแค่ท่าทีของฮ่องเต้ เห็นท่าทีเช่นนี้ ทุกแห่งก็รู้กระจ่างแล้ว เรื่องถึงขั้นนี้ ทุกคนรู้แล้วว่าควรทำเช่นไร คนที่พอมีสถานะที่จะยื่นฎีกาได้ก็ยื่นกันหมด กล่าวว่าชีจี้กวงคุมกำลังทหารคิดการเพื่อตนเอง กล่าวว่า ชีจี้กวงโกงกินอย่างมาก ยังหลงใหลนารีอย่างที่สุด……
น้ำสกปรกจริงบ้างเท็จบ้างมากมายกระหน่ำสาดเข้าใส่ อย่างไรทุกคนก็รู้ว่า ตอนนี้ต้องการเรื่องที่ไม่เป็นผลดีต่อชีจี้กวง จริงเท็จผู้ใดจะสนใจกัน
ฮ่องเต้ส่งผู้แทนพระองค์ไปยังเมืองจี้โจว เพื่อสอบความผิดตามฎีกากล่าวฟ้อง เรื่องมาถึงขั้นนี้ ผลลัพธ์นั้นทุกคนย่อมรู้อยู่แล้ว
แต่ชายแดนหมิงนั้นที่เคลื่อนไหวก่อนหน้าไม่ใช่เมืองจี้โจว ปลายเดือนสาม ขุนพลซุนต้าอิงประจำเมืองต้าถงเคยออกสู้กับพวกนอกด่านเมื่อปีก่อน ตัดหัวศัตรูไป 400 กว่า ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นป๋อ หน่วยบัญชาการเมืองหลวงจึงออกคำสั่งให้รางวัลเขาเข้ามาอยู่สบายในเมืองหลวง ไม่ต้องทำอันใด
ตั้งแต่หวังทงสร้างชัยชนะใหญ่ที่เมืองเซวียนฝู่ จากนั้นก็เป็นการร่วมมือกันของเมืองจี้โจวและเมืองเซวียนฝู่กับกองกำลังหู่เวยสร้างชัยชนะใหญ่ที่กู่เป่ยโข่ว ทหารชายแดนอยู่ ๆ ก็พบว่า พวกมองโกลบนทุ่งหญ้านอกด่านก็ไม่เท่าไร เหมือนว่าเอาชนะได้อยู่ และกำลังเราก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าพวกนั้นสักเท่าไร
เมื่อก่อนตอนฤดูใบไม้ร่วงจนถึงฤดูหนาว พวกนอกด่านเข้าปล้นชิง ทหารชายแดนก็จะตั้งรับเป็นส่วนใหญ่ ไม่ออกไปปะทะเด็ดขาด แต่ตอนปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 10 เมืองชายแดนต่างออกปะทะกับพวกนอกด่านหลายครั้ง
ชนะแพ้อย่างละครึ่ง ที่เคยชนะก็ยังคงชนะ ที่เคยแพ้ก็ยังคงแพ้ ส่วนใหญ่ทหารหมิงที่คิดว่าตนเองเข้มแข็งขึ้นขึ้นแล้วก็จะเสียเปรียบ แต่ฎีการายงานก็ยังคงกล่าวยกตนเองอย่างที่สุด
หากซุนต้าอิงเมืองต้าถงนั้นไม่เหมือนกัน เขานำกำลังทหารตนเองกับทหารในพื้นที่ออกรบ และ ‘ช่างบังเอิญ’ ปะทะเข้ากับทหารม้ามองโกลนอกด่านสองสามร้อย จึงใช้กำลังมากจัดการกำลังน้อย ได้เปรียบ หลังจากจัดการพวกนอกด่านพวกนี้ไป ยังกวาดล้างเผ่าต่างๆ รอบๆ อีกด้วย ได้ทั้งแรงงานและสัตว์เลี้ยงมา
ซุนต้าอิงนำกำลังเกือบห้าพันเอาชนะ ทหารไม่น้อยนี้ล้วนเป็นทหารกล้าที่เลี้ยงมาด้วยเบี้ยหวัด ชัยชนะนี้ยังคงเป็นที่จับตาของทุกคน อย่างไรก็ต้องมีรางวัล
ตอนต้นปี สายข่าวองครักษ์เสื้อแพรกับหน่วยงานอื่นในเมืองต้าถงรายงานมายังเมืองหลวงต่างกัน เช่น เผ่าของข่านเซิงเก๋อตูกู่เหลิงเมืองกุยฮว่าเฉิงส่งราชทูตไปพบกับซุนต้าอิงหลายครั้ง เช่นว่าเผ่าฝ่ายภรรยาถูกเซิงเก๋อตูกู่เหลิงบีบไปชายแดน การบีบครั้งนี้รุกล้ำเขตเมืองต้าถง
ชัยชนะนี้มีเรื่องน่าสงสัยมากมาย แต่ข่าวเมืองต้าถงก็ไม่อาจรับรองความเป็นจริงชายแดนได้ เมืองต้าถงเป็นประตูสู่นอกด่าน มีปัญหานี้อย่างไรก็ไม่อาจปล่อยให้ซุนต้าอิงนั่งอยู่ในตำแหน่งต่อไปได้ จึงให้เขาเข้าเมืองมาดำรงบรรดาศักดิ์แทน
ผู้แทนพระองค์ไปประกาศราชโองการที่เมืองต้าถง รุดไปถึงเร็วกว่าไปสืบข้อกล่าวหาตามฎีกาที่เมืองจี้โจวหลายวัน หวังทงยังรู้ว่า พอผู้แทนพระองค์ไปประกาศราชโองการที่เมืองต้าถง ในวังก็มีราชโองการลับไปเมืองเซวียนฝู่มอบให้กับหลี่หรูซงแห่งเมืองเซวียนฝู่
หากซุนต้าอิงไม่รับราชโองการ มีการเคลื่อนไหวใด ทัพเมืองเซวียนฝู่ก็ต้องเคลื่อนไหวก่อน แต่จากการคำนวณของทุกคน ซุนต้าอิงก็คงไม่ขัดราชโองการ
เขาอยู่เมืองต้าถงมาเกือบสิบปี เหน็ดเหนื่อยพอแล้ว ตอนนี้ได้บรรดาศักดิ์เข้าเมืองหลวงไปเสวยสุข ก็นับว่าเป็นทางไปที่ดีของซุนต้าอิง
จะว่าไป รองแม่ทัพหม่าต้งที่สร้างชื่อจากเมืองเซวียนฝู่ไปอยู่เมืองต้าถงก็ค่อยๆ สร้างฐานกำลังตนเองขึ้นแล้ว เป็นกำลังที่แข็งแกร่ง ซุนต้าอิงไม่ใช่คนกล้าหาญเพียงนั้น
แต่ทว่า ซุนต้าอิงเข้าเมืองหลวง ก็จะขาดแม่ทัพ ตามหลักแล้วควรให้รองแม่ทัพหม่าต้งขึ้นแทน แต่ในวังกลับเงียบ มีเพียงคำสั่งให้ดูแลแทนไปชั่วคราวก่อน
“ตอนนี้หลี่หรูซงอยู่เมืองเซวียนฝู่ หม่าหลินน้องชายหม่าต้งเป็นรองแม่ทัพที่เมืองเหลียวโจว หลี่เฉิงเหลียงและหลี่หรูซงสองพ่อลูกกุมอำนาจเมืองใหญ่ เป็นเรื่องก่อให้เกิดความระแวง หากหม่าต้งไปอยู่ฝ่ายเมืองต้าถง ย่อมไม่น่าไว้วางใจ เมืองหลวงย่อมตกที่นั่งไม่ปลอดภัย ขุนนางใหญ่ในราชสำนักล้วนรู้ดีในเรื่องนี้”
“ตอนแรก หลี่หรูซงแบ่งกำลังทหารของตระกูลหลี่ไปยังเมืองเซวียนฝู่ ก็เพื่อป้องกันไม่ให้ตระกูลหลี่กุมอำนาจเมืองเหลียวโจวมากเกินไป ตอนนั้นก็คิดเรื่องนี้แล้ว อย่างไรก็ไม่อาจปล่อยให้ตระกูลหลี่กับตระกูลหม่ารวมตัวกันได้”
เรื่องพวกนี้ หวังทงกับโจวอี้เคยหารือกัน เมืองหลวงเป็นพื้นที่ศูนย์กลางใต้หล้า เมื่ออยู่ที่นี่ก็ต้องรักษาสมดุลกำลังใต้หล้าให้ดี นี่ไม่ใช่เรื่องง่าย
ผู้แทนพระองค์ออกเดินทางไปไม่นาน ในวังก็มีข่าวมาว่า โอรสสวรรค์ทรงดูสถานการณ์แล้วชมว่ารองแม่ทัพลี่อวิ๋นไหลแห่งเมืองเซวียนฝู่สุขุม เป็นแม่ทัพน่ายกย่อง
แม้คนการข่าวไม่ฉับไวในเมืองหลวงยังล้วนรู้กัน รองแม่ทัพเมืองเซวียนฝู่ลี่อวิ๋นไหลเป็นบิดาของหัวหน่วยหน่วยที่ 1 แห่งกองกำลังหู่เวยลี่เทา ลี่เทาตอนนั้นเป็นสหายร่วมเรียนมาจากลานฝึกหู่เวยกับฮ่องเต้ ยังเป็นพวกที่สายสัมพันธ์สนิทไม่กี่คนพวกนั้น แน่นอนเรื่องลี่เทาเคยนำกำลังเด็กหนุ่มรุมล้อมฮ่องเต้ว่านลี่ เรื่องนี้ไม่มีผู้ใดรู้