ตอนที่ 707 หวังทงหารือการรบ
ในห้องเงียบกริบ ฮ่องเต้ว่านลี่พาดพระวรกายราบอยู่บนแผนที่ ยังไม่ทันได้เงยพระพักตร์ขึ้นก็ตรัสว่า
“หวังทง ในสารลับเจ้าไม่ได้พูดเรื่องนี้นี่ ชีจี้กวงก็พูดแค่ว่า เผ่าอันต๋าสร้างเมืองที่นี่ หนึ่ง ที่นี่น้ำและพืชบริบูรณ์ และตั้งเมืองที่ชายแดนทางนี้ การค้าก็ทำได้สะดวก เผ่าอันต๋าครองพื้นที่สำคัญ คุมเผ่าต่างๆ แต่ไม่ได้พูดถึงการเพาะปลูกของชาวฮั่น เจ้ารู้ได้อย่างไร?”
“ทูลฝ่าบาท เทียนจินเป็นพื้นที่การค้านับหมื่น พ่อค้าใหญ่หลายคนมาจากมณฑลซานซี พวกเขาทำการค้ากับพวกนอกด่านมาก ย่อมรู้เรื่องกระจ่าง เมื่อก่อนไม่เหมือนตอนนี้ เขาย่อมบอกกล่าวกระจ่าง กระหม่อมกับใต้เท้าชีได้สนทนากันครั้งนั้น ก็เริ่มสังเกตเรื่องพวกนี้ ดังนั้นจึงได้เข้าใจ”
กล่าวจบ จางจิงยังไม่ทันได้ถามต่อ หวังทงก็กล่าวต่อว่า
“เมืองกุยฮว่าเฉิงแถบนั้นไม่เห็นมีทุ่งหญ้า มีแต่ภูเขาและสายน้ำหลายสายสบกัน เหมาะแก่การเพาะปลูก นานวันเข้า เผ่าอันต๋าจึงได้เป็นใหญ่ครอบครองทุ่งหญ้านอกด่าน”
“มิน่าพวกนอกด่านทุกครั้งมาก็จะกวาดต้อนเชลยไป ที่แท้ก็เรื่องนี้เอง!”
ฮ่องเต้ว่านลี่ตรัสอย่างเจ็บแค้น หวังทงเพียงแค่พยักหน้า ชาวฮั่นที่เป็นชาวนารอบเมืองกุยฮว่าเฉิง ถูกจับไปส่วนหนึ่ง อีกส่วนหนีไปมณฑลซานซีกับเมืองต้าถง หรืออาจไปเมืองเซวียนฝู่ บางคนทำผิดกฎทหารชายแดนก็หนีไปบ้างก็มี เรียกได้ว่ามาจากหลากหลายทิศทาง ไม่ใช่สาเหตุใดสาเหตุหนึ่ง”
จางจิงค่อยๆ ส่ายหน้าสีหน้าหนักใจ กล่าวว่า
“สองเผ่านี้เป็นพื้นที่สำคัญจริง แต่ใต้เท้าหวัง เมื่อครู่ที่ข้าถามท่านยังไม่ตอบ หากยึดตัวหลุนได้ พวกนอกด่านจะไปรวมตัวกับเผ่าอันต๋า จะทำอย่างไร ตีเผ่าอันต๋าก่อน กองกำลังเข็มแข็ง ทหารชายแดนเราจะไม่พอ ยังต้องเคลื่อนกำลังจากชายแดนทางอื่นไป เช่นนั้นก็ไม่แตกต่างอะไรกับที่กล่าวมาก่อนหน้า และทหารเผ่าอันต๋ากับทหารแผ่นดินหมิงก็ปะทันกันหลายร้อยครามาแล้ว อย่าได้อ่านเอกสารรายงานการการรบว่ารบได้ยอดเยี่ยมอย่างไร เพราะชัยชนะๆ จริงๆ มีกี่ครั้งกัน”
หวังทงยิ้มพยักหน้า จางจิงรู้การทหาร ถามคำถามไม่ใช่ถามไปอย่างไรทิศทาง กำลังจะพูดต่อ จางเฉิงก็แทรกขึ้นก่อนว่า
“หวังทงในเมื่อเจ้ากระจ่างเช่นนี้ และยังมั่นใจ ฝ่าบาทก็ทรงใส่พระทัย ไม่สู้เจ้าลองบอกแผนการคร่าวๆ ออกมา ให้ทุกคนได้หารือกัน วันนี้ที่จางกงกงถาม วันหน้าบรรดาขุนนางก็ต้องถาม เจ้าก็คิดเสียว่าซ้อมตอบคำถามละกัน!”
จางเฉิงกล่าววาจานี้ที่จริงแล้วก็เพื่อไม่ให้ทุกฝ่ายอึดอัด ตอนนี้บรรยากาศแม้ผ่อนลง แต่เมื่อครู่น้ำเสียงซักถามจางจิงมิได้ผ่อนลงด้วย สีพระพักตร์ฮ่องเต้ว่านลี่ผ่อนคลายลงมาก ประทับพิงเก้าอี้ตรัสว่า
“หวังทง ลองเล่ามาฟัง”
หวังทงคำนับลุกขึ้นกล่าวว่า
“ฝ่าบาท แผนใต้เท้าชีกล่าวถึงทหารเก่งกล้าเมืองจี้โจว เมืองอื่นๆ ก็มีทหารที่ใช้การได้ ยามนี้เป็นโอกาสดีแห่งการเปิดศึก ก็หมายความว่า ทหารแผ่นดินหมิงตอนนี้ไม่กลัวทหารนอกด่าน ก็แค่รอทหารหมิงเลือกเวลาเปิดศึกกับกรีฑาทัพไปรบเป็นตายเท่านั้น”
ทุกคนล้วนแสดงอาการตั้งใจฟัง หวังทงกล่าวต่อว่า
“ตั้งแต่ตั้งเมืองชายแดนมาถึงตอนนี้ ทหารชายแดนตั้งรับมากกว่าโจมตี พวกนอกด่านรุกรานเข้ามามากกว่า แต่ไม่อาจโจมตีเมืองเราได้สักเท่าไร ฝ่าบาท กระหม่อมกล่าวได้ถูกต้องไหมพะยะค่ะ?”
ฮ่องเต้ว่านลี่พยักพระพักตร์ หวังทงกล่าวต่ออีกว่า
“หากว่ารักษาเมืองให้เข็มแข็ง แม้ไม่ใช่ทหารเก่งกล้าจากเมืองจี้โจว หรือทหารเมืองเหลียวโจว ขอเพียงเสบียงในเมืองเรามีพอ พวกนอกด่านโจมตีมา ทหารเราก็ตั้งรับต้านไว้ ฝ่าบาท กระหม่อมกล่าวได้ถูกต้องไหมพะยะค่ะ?”
ฮ่องเต้ว่านลี่พยักพระพักตร์ต่อ เรื่องเหล่านี้ที่ว่ามาเป็นความจริง ทุกคนรู้ดี จางจิงกล่าวว่า
“พวกนอกด่านได้เปรียบที่ไปมารวดเร็วราวสายลม กำลังรบแข็งแกร่ง แต่ขาดความอดทน หากจะล้อมเมืองรบกันนาน ก็ไม่อาจตีแตกได้ มักจะล่าถอยไปเอง ทุกครั้งพวกนอกด่านรุกรานเข้ามา ก็จะปล้นชิงเมืองเล็กๆ ที่ป้องกันไม่ดี หากเป็นเมืองที่ตั้งรับแข็งแกร่งยาวนาน พวกนอกด่านก็ยากจะตีแตก”
วาจานี้เหมือยอธิบายให้หวังทงฟัง หวังทงกล่าวต่ออีกว่า
“จางกงกงเมื่อครู่ที่ว่ามา ทัพใหญ่ออกนอกด่าน กลัวที่สุดก็คือเสบียงถูกพวกนอกด่านสกัด ตัดเส้นทางเสบียง ถึงตอนนี้หากหญ้าสำหรับเลี้ยงม้าหรือเสบียงหมด ก็ย่อมโดดเดี่ยวกลางทุ่งหญ้านอกด่าน ถึงตอนนั้นทหารย่อมตื่นตระหนก ขวัญทหารหดหาย ถึงกับอาจทำให้พ่ายแพ้ไปเองก็ได้ แต่เมืองกุยฮว่าเฉิงห่างจากชายแดนเมืองต้าถงไม่ถึง 300 ลี้ แม้ว่ามีภูเขากางกั้น แต่เส้นทางก็สะดวกมาก ทัพใหญ่เดินทางห้าวันก็ถึง ก็หมายความว่า เตรียมหญ้าสำหรับเลี้ยงม้าและเสบียงให้พอไปมาสิบวัน……”
“หวังทง เส้นทางสิบวัน แต่เจ้าไม่คิดถึงตอนรบหรือ ไม่ต้องพักระหว่างทางหรือ? ต้องคิดให้รอบคอบหน่อย”
จางเฉิงขมวดคิ้วกล่าวขึ้น แผนการนี้ ช่องโหว่มากเกินไป แม้แต่จางเฉิงก็ฟังออก เขาส่งเสียงตำหนิ ย่อมเป็นเพราะหวังดีกับหวังทง แต่เมื่อครู่จางจิงที่นิ่งไปตอนนี้ก็ยังคงเงียบอยู่ เพราะหวังทงย่อมยังกล่าวไม่จบ หวังทงพยักหน้ายิ้มให้จางเฉิง กล่าวต่อว่า
“หลายปีนี้ ราชสำนักเราเห็นพวกนอกด่านเป็นพยัคฆ์ร้าย เป็นดังน้ำหลาก เมื่อครู่ฝ่าบาทยังตรัสว่า สงบสุขมานานย่อมขี้เกียจจนใช้การไม่ได้ แผ่นดินหมิงสงบมานานหลายสิบปี แต่ทุ่งหญ้านอกด่านตั้งแต่เผ่าอันต๋าเป็นใหญ่มา ใช่ว่าสงบสุขมาหลายสิบปีเหมือนกันหรอกหรือ กอปรกับหลายปีนี้เผ่าอันต๋านับถือพุทธ ทำการค้าชายแดน ชนชั้นสูงนอกด่านก็เอาแต่เสพสุข หากทหารกล้าแห่งแผ่นดินหมิงนำทัพออกนอกด่าน ขอเพียงเดินทัพระมัดระวัง ก็ไม่ต้องกังวลว่าจะถูดตัดเส้นทางเสบียง!”
“เจ้าช่างไม่ชอบเสพสุข หากเรื่องนี้แพร่ออกไป เกรงว่าชาวเมืองหลวงไม่น้อยคงเกลียดเจ้าเข้ากระดูกดำ พวกนอกด่านก็เป็นเช่นกัน หรือว่าแผ่นดินหมิงเราไม่ใช่ เพราะฟ้าปกป้องแผ่นดินหมิงจึงประทานแม่ทัพเก่งกล้ามาให้เรา เจ้าว่าต่อ!”
ฮ่องเต้ว่านลี่แย้มสรวลตรัสขึ้น หวังทงถวายคำนับขออภัยโทษ เริ่มกล่าวต่อ
“เสบียงสิบวันก็แค่แผนการปลอดภัยไว้ก่อน เหตุใดเราจึงไม่ต้องกังวลหญ้าสำหรับเลี้ยงม้า ก็เพราะขอเพียงยึดเมืองกุยฮว่าเฉิงได้ เมืองกุยฮว่าเฉิงก็มีเสบียง ยึดเมืองกุยฮว่าเฉิง ก็เข้าไปครองเมือง สัตว์เลี้ยงในเมืองกุยฮว่าเฉิงย่อมมีหญ้าสำหรับเลี้ยงม้า สินค้าต่างๆ มากพอ ยังเป็นศูนย์กลางของเผ่าอันต๋า ไม่มีเมืองกุยฮว่าเฉิง แม้แต่การค้าก็ไม่อาจดำเนินการต่อได้ ทัพเราครองเมืองกุยฮว่าเฉิง พวกนอกด่านแม้แต่ทุ่งหญ้าสวยงามรอบนั้นก็ไม่อาจอยู่ต่อไปได้ หากไม่แย่งเมืองคืน เผ่าอันต๋าย่อมกระสานซ่านเซ็น พวกเขาย่อมรวมตัวกันมาเอาคืน ในตอนนั้นเองเราก็จะได้ทำลายเผ่าอันต๋าให้สิ้นซาก จากนั้นก็ให้ทหารชายแดนเราเฝ้าเมืองไว้ จากนั้นเราก็ไปยึดตัวหลุนต่อ ใช้การรบเช่นเดียวกับการจัดการเผ่าอันต๋า แต่ที่นี่ไม่อาจนำหญ้าสำหรับเลี้ยงม้าและเสบียงไปแค่สิบวัน ควรให้ทัพหน้านำไปสร้างค่ายป้อมดินรอบตัวหลุนก่อน ตอนพวกนอกด่านโจมตี ก็จะออกจากด่านสี่เฟิงไปถึงตัวหลุนทัน การสร้างค่ายทหารนี้จะทำให้เราค่อยทยอยนำหญ้าสำหรับเลี้ยงม้า เสบียงและทหารเราไปสั่งสมไว้ จัดการพวกนอกด่านตอนขาดแคลนน้ำให้สิ้นไป!”
หวังทงเล่ามาอย่างมั่นใจ แม้ว่าในห้องมีแค่หกคน แต่การบรรยายภาพของเขา ทำให้ทุกคนรู้สึกเหมือนมีกองทัพม้าและกำลังดินทางอยู่บนทุ่งหญ้า ทหารหมิงกับพวกนอกด่านกำลังปะทะโรมรัน
ในห้องเงียบกริบ ฮ่องเต้ว่านลี่ฟังจนตกภวังค์ จางจิงกับโจวอี้เอ่ยขึ้นพร้อมกัน แค่ออกเสียง จางจิงก็พยักหน้าให้โจวอี้ พยักหน้าพูดก่อน โจวอี้กระแอมในลำคอ สถานการณ์ตอนนี้ ไม่เพียงแต่หารือกับหวังทง หรือสงสัยในแผนของหวังทง ที่สำคัญคือ ต่อหน้าฮ่องเต้ว่านลี่ต้องการแสดงความสามารถ โอกาสนี้ไม่อาจพลาด โจวอี้ปฏิบัติหน้าที่สำนักอาชาหลวงมานาน ย่อม พอรู้เรื่องการทหารบ้าง ฮ่องเต้ว่านลี่กับจางเฉิงฟังจนออกรสออกชาติ เขากับจางจิงกลับเห็นปัญหา
“ใต้เท้าหวัง เมืองกุยฮว่าเฉิงเป็นเมืองใหญ่ที่รักษาการณ์เข้มแข็ง หญ้าสำหรับเลี้ยงม้ากับเสบียงสิบวันก็นับว่าเพียงแค่ขาไปกับขากลับ ล้อมเมืองโจมตี ปกติก็เป็นการรบที่ยากลำบาก หากวันหนึ่งตีไม่ได้ ผ่านไปอีกวันๆ หญ้าสำหรับเลี้ยงม้าและเสบียงสิบวันจะพอหรือ เสบียงในเมือง จะเข้าไปเอามาใช้ได้อย่างไร ถึงตอนนั้นกำลังเสริมพวกนอกด่านมา ใช่ว่าโดยขนาบโจมตีหรือ”
ตอนนี้ในห้องนั้น อารมณ์ทุกคนถูกหวังทงชักนำไป พอได้ยินโจวอี้ซักถาม ทุกคนก็มองไปยังหวังทง หวังทงนิ่งไป ก่อนจะกล่าวเสียงดังกังวานว่า
“ตีแตกได้ในหนึ่งวัน กองกำลังหู่เวยเรามั่นใจ นำเสบียงไปสิบวันออกนอกด่าน ไปถึงตรงเวลา กองกำลังหู่เวยเรามั่นใจ!!”
ขณะหวังทงกล่าวอยู่นั้น ก็ยืดอกผึ่งผายมั่นใจ ท่าทางเต็มไปด้วยความเชื่อมั่น ทุกคนก่อนหน้าคิดกันมาก แต่พอหวังทงพูดเช่นนี้ ทุกคนก็รู้สึกอึ้งไป รู้สึกเหมือนว่าหวังทงช่างหลงตัวเอง แต่พอคิดอีกที หวังทงก็มีความสามารถพอที่จะคิดเช่นนี้ได้
ตั้งแต่หวังทงตั้งกองกำลังหู่เวยที่เทียนจินมา กองกำลังหู่เวยรบกับพวกนอกด่าน ล้วนได้ชัยชนะใหญ่ เขามานำทัพย่อมมั่นใจได้
“กองกำลังหู่เวยแค่กี่คนเอง พวกนอกด่านทหารม้าหลายหมื่น แค่นี้ ใช่ว่าเป็นการส่งเนื้อเข้าปากเสื้อหรอกหรือ อันตรายเกินไปๆ !”
ฮ่องเต้ว่านลี่ส่ายพระพักตร์ตรัสขึ้น หวังทงก้าวขึ้นหน้ามากราบทูลว่า
“ฝ่าบาท กองกำลังหู่เวยสามารถขยายกำลังได้ หรือให้กองกำลังหู่เวยเป็นแกนหลัก ทหารที่เหลือใช้ทหารชายแดนมาเสริม การรบครั้งนี้ ขอเพียงทหารเมืองหนึ่งมาเสริมกำลัง ไม่ต้องเอามาทั้งชายแดน แนวทางการรบก็จะใช้รูปแบบค่ายรถศึก ที่ตอนนั้นกองกำลังหู่เวยใช้ พร้อมอาวุธปืนไฟ พวกนอกด่านไม่อาจเข้าประชิด ตอนนั้นยังมีข้อจำกัด แต่ตอนนี้กองกำลังหู่เวยตั้งมาเกือบห้าปี ผ่านการรบมาหลายครา ฝึกมานาน ก็ยิ่งเก่งกล้า พวกนอกด่านหยาบช้า ไหนเลยจะใช่คู่ต่อสู้เรา!!”
“หวังทง ตอนนี้เจ้าเป็นรองผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพร แต่คิดเอาแต่จะไปออกรบ ใช้ได้ที่ไหนกัน เรื่องเช่นนี้ต้องคิดให้รอบคอบ อย่าได้ใจร้อนบุ่มบ่าม!”
เป็นจางเฉิงเอ่ยปาก เจ้าจินเลี่ยงมองมาทางนี้ตลอด มองไปทางนั้นอีกที แต่เขาก็เข้าใจดี ไม่ว่าฮ่องเต้ว่านลี่หรือจางเฉิงที่ปฏิเสธหรือตำหนิ ก็เพราะหวังดีกับหวังทง
หวังทงก้าวขึ้นหน้ามาคุกเข่าต่อเบื้องพระพักตร์ฮ่องเต้ว่านลี่ทูลว่า
“ฝ่าบาท กองกำลังหู่เวยเพิ่งตั้งมา ไม่กระทบกับหลายฝ่ายมากนัก ไม่ค่อยส่งผลกระทบใหญ่ หากออกรบก็ย่อมไม่มีผู้ใดกล่าวอันใดมากความ กระหม่อมขอบังอาจกล่าวสักคำว่า หากแม้กองกำลังหู่เวยถูกทำลายสิ้น ก็ไม่กระทบต่อแผ่นดิน ไม่ทำให้ใต้หล้าสั่นคลอน แต่หากสำเร็จ ทุ่งหญ้านอกด่านแต่ละเผ่าไม่อาจรวมตัว ไม่มีภัยใหญ่คุกคามแผ่นดินหมิงเราอีกนาน อย่างน้อยก็ร้อยปี นี่เป็นการวางรากฐานแผ่นดินให้ยั่งยืนสืบไป กระหม่อมหวังทงขอนำกองกำลังหู่เวยออกรบเพื่อฝ่าบาท ให้ฝ่าบาททรงได้จารึกพระนามในประวัติศาสตร์ ว่าเป็นฮ่องเต้ทรงพระปรีชาแห่งแผ่นดินหมิงที่รุ่งเรืองที่สุด!!”