ตอนที่ 706 ย้ายถิ่นฐานไปตามแหล่งน้ำและทุ่งหญ้า
หลังชัยชนะยิ่งใหญ่ด่านกู่เป่ยโข่ว หวังทงไม่ได้รับพระราชทานรางวัล การรบครานั้นหากว่ากองกำลังหู่เวยไม่แข็งแกร่งเพียงพอแล้วล่ะก็ ย่อมมีโอกาสถูกฝูงทหารม้านอกด่านรุมน่วมไปแล้ว หวังทงเคืองชีจี้กวงอยู่ แต่พอออกจากทุ่งหญ้านอกด่านกลับถึงเทียนจิน ชีจี้กวงก็มาเทียนจิน และยังจัดเลี้ยงหวังทงที่หอริมทะเลอีกด้วย
หวังทงรู้ว่าตนเองเป็นคนโปรดอันดับหนึ่งของฮ่องเต้ว่านลี่ การแอบพบกับทหารชายแดน ย่อมเป็นเรื่องผิดทำให้เกิดความระแวงได้ ดังนั้นจึงส่งสารลับรายงานฮ่องเต้ว่านลี่
มาเอ่ยถึงยามนี้ ฮ่องเต้ว่านลี่ก็งงไป ทรงอึ้งไปพักหนึ่งก่อนจะผินพระพักตร์ตรัสถามจางเฉิงว่า
“มีรายงานนี้ด้วยหรือ?”
“ฝ่าบาททรงรอสักครู่ กระหม่อมไปหาก่อน”
จางเฉิงคำนับทูล จากนั้นก็ออกไปกับเจ้าจินเลี่ยง ในห้องเงียบลง พระพักตร์ฮ่องเต้ว่านลี่เคร่งเครียด ยังคิดถึงเรื่องที่จางเสวียเหยียนพูด มองเห็นหวังทงยังยืนอยู่ จึงโบกมือตรัสว่า
“ไม่ต้องมากพิธี นั่งลงคุยกัน”
หวังทงขอบพระทัย นั่งลงบนเก้าอี้ จางจิงข้างๆ ตาโตอึ้งไป มองซ้ายมองขวา ก่อนจะเห็นว่าสีหน้าโจวอี้ปกติ หวังทงก็มิได้มีท่าทางตกใจอันใด จางจิงอดลอบถอนใจไม่ได้ ว่ากันว่าหวังทงเป็นคนที่ฮ่องเต้ว่านลี่ทรงไว้วางพระทัยที่สุด เมื่อก่อนไม่ค่อยได้สัมพันธ์ใกล้ชิด เพียงแค่ได้ยิน วันนี้ได้เห็นด้วยตาก็รู้ว่าที่ได้ยินมาไม่ผิด
“จางเสวียเหยียน พูดได้ไม่น่าฟัง แต่เรารู้มากับที่เขาว่ามานั้นตรงกัน กล่าวตามตรง หากเป็นเช่นนี้จริง ยังต้องค่อยๆ จัดการไป แต่ชีจี้กวงว่ามาก็ถูก อีกสองสามปี ทหารที่กว่าจะฝึกมาได้ก็คงไม่เป็นรูปเป็นร่าง แก่ก็แก่ไป อ่อนก็อ่อนไป ถึงตอนนั้นไม่ต้องคิดเรื่องชายแดนสงบสุข ก็คงต้องคิดว่าพวกนอกด่านจะรุกรานเราไหม”
ฮ่องเต้ว่านลี่ตรัสอย่างอึดอัด จางจิงลังเลครู่หนึ่ง กล่าวว่า
“ฝ่าบาทอย่าได้ทรงกังวลพระทัยไป ทหารแต่ละหน่วยล้วนปฏิบัติหน้าที่เต็มที่ อาจมีผู้กล้ามาเสริมใหม่ ถึงตอนนั้นคงเป็นเรื่องดี สถานการณ์อาจดีกว่าตอนนี้”
“แผ่นดินหมิงหลายปีนี้มีแค่ชีจี้กวงคนเดียว หากไม่ใช่เสด็จปู่ ตอนนั้นทั้งองค์ชายนอกด่าน ทั้งพวกอันต๋า ยังมีโจรสลัดทางใต้ จะมีหม่าฟาง ชีจี้กวง อวี๋ต้าโหยว แม่ทัพเก่งกล้าเหล่านี้ได้อย่างไร ตอนนี้สงบสุขกันมานาน จะมีแม่ทัพเก่งกล้าได้อีกอย่างไรกัน”
ฮ่องเต้ว่านลี่ตรัสไม่พอพระทัย คิดไม่ถึงว่าฮ่องเต้ว่านลี่จะตรัสได้มีเหตุผลเช่นนี้ จางจิงถึงกับเป็นใบ้ อึ้งไปพักก็ทูลต่อว่า
“กระหม่อมทูลผิดไปแล้ว ขอทรงลงพระอาญาด้วย!”
ฮ่องเต้ว่านลี่โบกพระหัตถ์ วาจาเมื่อครู่หวังทงชิน เมื่อก่อนตนอยู่ลานฝึก ตอนเรียนอยู่ก็มีขันทีจากสำนักอาชาหลวงและอวี๋ต้าโหยวมาสอนเรื่องนี้ให้ฟัง สงบสุขมานานย่อมไม่อาจมีแม่ทัพใหญ่กำเนิดขึ้น ตอนนั้นมีแม่ทัพใหญ่เกิดขึ้นพร้อมกันหลายคนก็เพราะมีศึกพวกนอกด่านทางเหนือและศึกโจรสลัดทางตะวันออกเฉียงใต้นั่นเอง
บรรยากาศอึดอัด หวังทงมองแล้วกล่าวว่า
“ฝ่าบาท เมื่อครู่ที่เสนาจางว่ามาก็เป็นรายจ่ายด้านการทหารชายแดนมากที่สุด ฝ่าบาท เสนาจางว่ามาไม่ผิด เพียงแต่ว่า……”
พูดถึงคำว่า แต่ จางเฉิงกับเจ้าจินเลี่ยงก็นำเอกสารกลับมาถวายฮ่องเต้ว่านลี่ เป็นฎีกา นอกจากฎีกาสองฉบับแล้ว เจ้าจินเลี่ยงยังหอบเอาม้วนกระดาษสูงเกือบเท่าตัวมาด้วย เหมือนเป็นภาพวาด
ฮ่องเต้ว่านลี่เปิดฎีกาออกอ่านก็ถึงกับอึ้งตะลึงไปพักใหญ่ จางเฉิงรีบให้เจ้าจินเลี่ยงตามขันทีย้ายโต๊ะเข้ามา
โต๊ะสองตัวมาวางเรียงกันหน้าฮ่องเต้ว่านลี่ พอขันทีออกไป จางเฉิงก็เข้าไปคลี่ม้วนภาพออกบนโต๊ะ ฮ่องเต้ว่านลี่หยิบฎีกาประทับยืนขึ้น เดินไปยังหน้าโต๊ะ
ม้วนกระดาษนั้นเป็นภาพแผนที่ ฮ่องเต้ว่านลี่โบกพระหัตถ์ให้ทุกคนในห้องล้อมเข้ามาดู หวังทงไม่ต้องดูก็รู้ ม้วนกระดาษนั้นก็คือแผ่นที่ทั้งหมดของชายแดนกับพวกนอกด่าน
พวกนอกด่านแอบวางสายไว้ในแผ่นดินหมิงมาก แผ่นดินหมิงก็แอบวางสายบนทุ่งหญ้านอกด่านเช่นกัน หลายร้อยปีมานี้ จะวาดแผนที่สักแผ่นย่อมไม่ใช่ปัญหา
“ฝ่าบาท เมื่อครั้เสนาจางกล่าวมานั้น คิดว่าแผนของชีจี้กวงต้องการใช้กำลังชายแดนซึ่งก็คือกำลังแผ่นดินหมิงตอนนี้สู้ให้รู้กับพวกนอกด่าน เป็นดังคำที่เขาว่ามา หากเป็นเช่นนี้ ย่อมต้องสิ้นเปลืองเงินทองท้องพระคลัง แผ่นดินไร้ความสงบสุข แต่แผนนี้มีพูดถึง หนึ่ง เผ่าอันต๋า สอง เผ่าเคอเอ่อชิ่น สองเผ่านี้เป็นเผ่าทรงอิทธิพลที่สุดบนทุ่งหญ้านอกด่าน ขอเพียงทำลายสองเผ่านี้ลงได้ พวกทุ่งหญ้านอกด่านก็ไม่ส่งผลอันใดต่อแผ่นดินหมิงเราอีกต่อไป”
ฮ่องเต้ว่านลี่ชะโงกพระวรกายไปด้านหน้า ชี้ไปบนแผนที่ เมื่อครู่ตอนบรรดาขุนนางอยู่ หวังทงไม่มีสิทธิ์พูด ตอนนี้บรรดาขุนนางไปแล้ว หวังทงก็พูดได้สบายใจ ขันทีใหญ่ในวังเป็นได้แค่คนนำเอกสารมาส่ง จัดการโต๊ะวาง ภาพตรงหน้านี้ทำเอาขันทีใหญ่อย่างจางจิงรู้สึกอึดอัด
เขาสัมพันธ์กับหวังทงไม่มาก ไม่ชินกับการที่หวังทงวางตัวเป็นปกติกับฮ่องเต้ จางจิงคิดว่าตนเองกุมอำนาจสำนักอาชาหลวงมานาน นับว่าเป็นหัวหน้ากองกำลังสายบู๊ในวัง หากฮ่องเต้ว่านลี่ต้องการถามเรื่องพวกนี้ก็ควรจะให้เขาเป็นคนพูด แต่กลับไปถามหวังทง
ในใจรู้สึกอึดอัด ยากที่จะไม่แสดงออก จางจิงลังเลครู่หนึ่ง กล่าวว่า
“ฝ่าบาท พวกนอกด่านย้ายถิ่นฐานไปตามแหล่งน้ำและทุ่งหญ้า ความต้องการเลี้ยงสัตว์อันใดนั้นไม่เท่าไร หากไม่ดีก็สามารถย้ายถิ่นไป และก็ย้ายมารวมกันใหม่ได้ แต่ทหารหมิงไม่เหมือนกัน หญ้าสำหรับเลี้ยงม้าเป็นเรื่องสำคัญมาก ออกนอกด่านไปรบกับพวกนอกด่าน เดินทางไกลไป หญ้าสำหรับเลี้ยงม้าก็ย่อมหายาก พวกนอกด่านหากจะหลีกเลี่ยงการรบ ทหารเราก็คงได้แต่กลับมามือเปล่า สูญเสียหญ้าสำหรับเลี้ยงม้าไปเปล่าประโยชน์ หากหญ้าสำหรับเลี้ยงม้าหมด พวกนอกด่านโจมตีกลับมา หรือออกนอกด่านถูกพวกนอกด่านตัดเส้นทางเสบียง ก็คงพ่ายแพ้สูญเสียใหญ่ เรื่องนี้ไม่อาจไม่คิดให้รอบคอบ!”
ฮ่องเต้ว่านลี่อ่านฎีกาในมือไปก็ดูแผนที่ไป ได้ยินจางจิงกล่าวก็เงยหน้าขึ้นหรี่ตามองหวังทง หวังทงรู้ทันทีจึงกล่าวว่า
“จางกงกงคิดได้รอบคอบ แต่เผ่าอันต๋ากับเผ่าเคอเอ่อชิ่นไม่ใช่พวกย้ายถิ่นฐานไปตามแหล่งน้ำและทุ่งหญ้า”
“พวกนอกด่านเลี้ยงสัตว์เป็นหลัก เหตุใดจึงไม่ตั้งถิ่นฐานไปตามแหล่งน้ำและทุ่งหญ้า!”
จางจิงเริ่มโมโห ฮ่องเต้ทรงโปรดเจ้าไม่ผิด แต่ไม่อาจให้เจ้าอาศัยที่ทรงโปรดมากล่าววาจาเช่นนี้กับข้าได้ พวกนอกด่านบนทุ่งหญ้านอกด่านย่อมพึ่งพาการเลี้ยงสัตว์เป็นหลัก หลายร้อยหลายพันปีมานี้ก็เป็นเช่นนี้ สำนักอาชาหลวงหลายคนก็หนีมาจากทางเหนือ เขาใช้ชีวิตบนทุ่งหญ้านอกด่านมานาน ย่อมมีประสบการณ์ เหตุใดหวังทงจึงกล่าวยืนยันไร้เหตุผลเช่นนั้นได้
หวังทงยิ้มอธิบาย กล่าวว่า
“พวกนอกด่านย้ายถิ่นฐานไปตามแหล่งน้ำและทุ่งหญ้าจริง แต่ไม่ใช่ไล่ถิ่นฐานตามแหล่งน้ำและทุ่งหญ้าจริง!”
จางจิงแค่นเสียงฮึในลำคอไม่กล่าวอันใด แค่วาจาไร้ความหมาย การกล่าวเหตุผลเช่นนี้ก็ยิ่งทำให้จางจิงรู้สึกไม่ดีกับหวังทง ฮ่องเต้ว่านลี่ทรงลุกขึ้น ขยี้ตาตรัสว่า
“หวังทง ไม่ว่าฎีกาขุนนางหรือรายงานจากทัพชายแดน ล้วนบอกว่าพวกนอกด่านย้ายถิ่นฐานไปตามแหล่งน้ำและทุ่งหญ้า ไยเจ้าบอกว่าไม่ใช่ อธิบาย อธิบายมา เราอยากรู้เหมือนกัน”
หวังทงถวายคำนับ ฮ่องเต้ว่านลี่เปิดประเด็น เขาย่อมเข้าใจพระประสงค์ หวังทงกล่าวว่า
“ออกจากด่านสี่เฟิงที่เมืองจี้โจวไปทางเหนือไม่ถึง 300 ลี้ ก็จะพบพื้นที่ที่เรียกว่า ตัวหลุน พวกนอกด่านอย่างพวกเผ่าเคอเอ่อชิ่นกับเผ่าฉาฮาเอ่อสองเผ่าล้วนอาศัยที่แห่งที่ยังชีพ เผ่าตั่วเหยียนมีไปบ้าง ตอนกระหม่อมอยู่เทียนจิน พ่อค้าหลายคนไปมา บอกว่าทิวทัศน์ทุ่งหญ้านอกด่าน จากตะวันออกถึงตะวันตกล้วนเป็นทุ่งหญ้าหมื่นลี้ เป็นพื้นที่น้ำและหญ้าอุดมสมบูรณ์มากที่สุดก็คือที่ตัวหลุนแห่งนี้ ก็เพราะมีที่เช่นนี้ สองเผ่าใหญ่จึงได้มาอยู่ร่วมกัน หากยึดพื้นที่ตัวหลุนนี้ได้ พวกเผ่าใหญ่นอกด่านย่อมไม่มีที่รวมตัวกันอยู่ จะต้องกระจัดกระจาย หรืออาจสลายกลายเป็นเผ่าเล็กๆ ราวพันคน หรืออาจไปขอพึ่งพาเผ่าอันต๋า หรืออาจขึ้นไปทะเลทรายทางเหนือ ขอเพียงแผ่นดินหมิงยึดตัวหลุนได้ ทางนั้นก็ไม่อาจเป็นภัยแก่เราได้อีก”
“เมื่อครู่ใต้เท้าหวังบอกว่า ทุ่งหญ้าพันลี้ แม้ว่ายึดตัวหลุนได้ แต่ทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ ไม่นานก็กลับมารวมตัวกันใหม่ได้ ยังคงเป็นภัยแห่งแผ่นดินหมิงอยู่ดี นำทหารออกไปรบ ใช่ว่าเป็นการสูญเสียเงินทองและราษฎรเราหรือ”
จางจิงเริ่มตั้งตัวเป็นปรปักษ์ จางเฉิงส่งสายตาให้หยุด เขาก็ไม่สนใจ ฮ่องเต้ว่านลี่เท้าคางเงียบ ตั้งใจฟังสองคนถกกัน
“จางกงกง แผ่นดินหมิงมีราษฎรเท่าไร พวกนอกด่านมีเท่าไร ชาวแผ่นดินหมิง กรมอากรเก็บบันทึกไว้ละเอียด หลายปีก่อนตอนตรวจสอบที่ดินใต้หล้า ราษฎรเท่าไรก็ได้รายละเอียดมาครบ น่าจะนับร้อยล้าน พวกนอกด่านมีเท่าไรกัน แม้ว่าไม่มีตัวเลขแน่ชัด แต่จากรายงานองครักษ์เสื้อแพรคาดว่า หากนับไปถึงแดนฝั่งตะวันตกแต่ละเผ่า เผ่าอันต๋า เผ่าฉาฮาเอ่อ เผ่าเคอเอ่อชิ่นและเผ่านอกด่านอื่นๆ รวมกัน ก็คงไม่เกินหกล้าน ทุ่งหญ้ากว้างใหญ่เช่นนี้ พื้นที่กว้างกว่าแผ่นดินหมิง เหตุใดคนพวกนี้จึงน้อยมาก ก็เพราะทุ่งหญ้านอกด่านไม่อาจเลี้ยงดูปากท้องคนอย่างไรเล่า คนไม่กี่ล้านได้แต่อาศัยไปตามทุ่งหญ้าและแหล่งน้ำ เผ่าใหญ่คอยประคองกัน เผ่าเล็กหิมะตกหนักครั้งเดียวก็อาจทำให้คนในเผ่าและสัตว์ตายกันหมด ขอเพียงเรายึดตัวหลุนได้ บีบพวกเขาให้ออกไปได้ ทำให้เผ่าใหญ่แตกเป็นเผ่าเล็กได้ ไม่อาจรวมกำลังกันได้อีก เช่นนี้ก็ไม่เป็นภัยอีกแล้ว หากหนีขึ้นไปทะเลทรายตอนเหนือ ก็ย่อมเป็นเหตุผลเดียวกัน”
หลักการหวังทงกระจ่างชัด แปลกใหม่ไม่เคยได้ยิน สีหน้าจางจิงที่โมโหอยู่ก็กลับเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดคิดหนักอย่างไม่รู้ตัว ถามขึ้น
“แผนนี้ก็คือ ทุ่งหญ้านอกด่านมีภัยสองแห่ง หนึ่ง เผ่าเคอเอ่อชิ่น สอง เผ่าอันต๋า ห่างจากเมืองจี้โจวและเมืองต้าถงไม่ไกลกันเท่าไร หลังโจมตีตัวหลุนได้ เผ่าต่างๆ ในตัวหลุนก็ย่อมไปอาศัยเผ่าอันต๋า ใช่ว่าเป็นการไล่ปลาไปลงบ่อใหญ่หรือ? เช่นกัน หากโจมตีอันต๋า หากชนะ ก็เหตุผลเดียวกัน กลับเป็นการสร้างภัยให้ใหญ่ขึ้น หากโจมตีพร้อมกัน ก็ย่อมเป็นการรบระดับชาติ ต่างอันใดกับที่เสนาจางว่ามา”
“จางกงกง เมื่อครู่กล่าวถึงย้ายถิ่นฐานไปตามแหล่งน้ำและทุ่งหญ้า การย้ายถิ่นฐานไปตามแหล่งน้ำและทุ่งหญ้าก็ต้องอาศัยน้ำและหญ้าที่อุดมสมบูรณ์เป็นหลัก แต่ละเผ่ารวมตัวกันก็ยังไม่เท่าเผ่าอันต๋า เพราะอะไร สองแห่งไม่เหมือนกัน เผ่าอันต๋ายิ่งใหญ่บนทุ่งหญ้าได้เพราะเหตุใด ตอนนั้นข่านอัลตันแห่งเผ่าอันต๋ามีความสามารถเป็นเหตุผลหนึ่ง อีกหนึ่งก็คือเมืองกุยฮว่าเฉิงนั้น มีชาวฮั่นถึงเกือบสองแสนเพาะปลูกให้เผ่าอันต๋า กำลังนี้จึงเป็นเหตุผลหลักที่ทำให้เผ่าอันต๋ายิ่งใหญ่และแข็งแกร่ง”
ชาวนาฮั่นเกือบสองแสน เป็นชาวฮั่นที่รู้การเพาะปลูก ทุกปีทำผลผลิตไม่น้อย อาศัยเสบียงอาหารจากพวกเขาหรือแม้กระทั่งแรงงาน เผ่าอันต๋าย่อมเหนือกว่าเผ่าอื่นที่อาศัยย้ายถิ่นไปตามทุ่งหญ้าและแหล่งน้ำ
ในห้องเงียบกริบ……