Skip to content

องครักษ์เสื้อแพร 705

ตอนที่ 705 ความชอบเรื่องเล็ก แผ่นดินเรื่องใหญ่

“ฝ่าบาทเรื่องสำคัญระดับแผ่นดินเช่นนี้ เหตุใดจึงให้รองผู้บัญชาการหวังอยู่ด้วยได้ หน้าที่องครักษ์เสื้อแพรคือติดตามคดี เรื่องการรบเช่นนี้ ไม่เกี่ยวข้องอันใดกับรองผู้บัญชาการหวัง”

คนที่ออกตัวก่อนก็คือเสนาบดีกรมอากรหวังหลิน ที่เขาถามมิใช่เรื่องที่เกี่ยวกับเรื่องนี้ หากเป็นการไล่ถามคุณสมบัติเอาเรื่องหวังทง ว่าเหตุใดหวังทงจึงมาปรากฏตัวในที่ประชุมเช่นนี้ได้

แผนนี้เป็นผู้ใดเขียน ทุกคนพอจะรู้ในใจ แต่ไม่มีใครคิดมากเรื่องนี้ ได้ยินหวังหลินถาม ฮ่องเต้ว่านลี่ขมวดพระขนงแน่นตรัสขึ้นว่า

“หวังทงตอนนี้เป็นผู้บัญชาการหัวหน้ากองกำลังสังกัดฝ่ายใน เคยผ่านการรบชัยชนะใหญ่มาหลายครั้ง เรื่องเกี่ยวกับการทหารครานี้ ย่อมต้องเรียกมาประชุมเพื่อสอบถาม”

ได้ฟังฮ่องเต้ตรัสเช่นนี้ หวังหลินก็หรี่ตามองหวังทง ไม่กล่าวอันใด หวังหลินได้เป็นเสนาบดีกรมทหารที่หนานจิงเพราะจางซื่อเหวย ก่อนจะได้เข้าเมืองมาเป็นเสนาบดีกรมอากร ไม่ต้องพูดถึง เขาย่อมเป็นคนพวกเดียวกับเสนาบดีกรมปกครองเหยียนชิง ย่อมไม่พอใจหวังทง

พอหวังหลินกล่าวเช่นนี้ บรรยากาศก็เริ่มเคร่งเครียด เรื่องเช่นนี้ ควรเป็นเสนาบดีกรมทหารจางเสวียเหยียนดูแล สีหน้าย่ำแย่กว่าทุกคนตอนนี้ พอหวังหลินกล่าวจบ จางเสวียเหยียนก็ลุกขึ้นกราบทูลว่า

“ฝ่าบาททรงทราบไหมว่าตอนนี้ท้องพระคลังหลวงมีเงินเท่าไร?”

วาจานี้ควรเป็นหวังหลินเมื่อครู่ถามมากกว่า แต่ฮ่องเต้ว่านลี่ใส่พระทัยเรื่องนี้ที่สุด นิ่งไปสักพักก็ตรัสตอบว่า

“รายงานเมื่อวาน ท้องพระคลังหลวงมีเงินถึง 5 ล้านกว่าตำลึง”

เซินสือหัง จางเสวียเหยียนกับหวังหลินสบตากัน สีหน้าแตกตื่นตกใจ คิดไม่ถึงว่าฮ่องเต้ว่านลี่จะรู้ตัวเลขในท้องพระคลังละเอียดเช่นนี้ จางเสวียเหยียนนิ่งไปก่อนจะกล่าวต่อว่า

“ห้าปีก่อนถึงต้นปีก่อน ห้าปีมานี้ภาษีแผ่นดินหมิงเก็บได้ดีที่สุด ตั้งแต่หมิงไท่จู่มาถึงตอนนี้ ไม่เคยปรากฏเช่นนี้………”

ได้ฟังจางเสวียเหยียนทูลเช่นนี้ ฮ่องเต้ว่านลี่ก็อึ้งไป ตามมาด้วยเงียบงัน ทำได้ดีกว่าหมิงไท่จู่ มาถึงตอนนี้ที่ผ่านฮ่องเต้มาสิบกว่าพระองค์ นี่เป็นคำชม แต่ห้าปีนี้ คนที่บริหารแผ่นดินมิใช่ฮ่องเต้ว่านลี่ แต่เป็นจางจวีเจิ้ง พระอาจารย์ของพระองค์

ใต้หล้าไม่รู้จักฮ่องเต้ รู้จักแต่มหาอำมาตย์จาง ฮ่องเต้ว่านลี่ยังคงติดในพระทัยมาถึงตอนนี้ จางเสวียเหยียนเอ่ยเรื่องนี้ขึ้น ย่อมทำให้ฮ่องเต้ว่านลี่ไม่พอพระทัย

แต่จางเสวียเหยียนก็ยังเอาแต่พูดไม่หยุดต่อว่า

“……ห้าปีนี้ท้องพระคลังหลวงมีเงินเข้าปีละสิบล้านกว่าตำลึง ฝ่าบาททรงพระปรีชา ราษฎรเป็นสุข พวกกระหม่อมระมัดระวังไม่กล้าใช้เงินสุรุ่ยสุร่าย แต่เหตุใดวันนี้จึงมีแค่ห้าล้านกว่า?”

พอถามเช่นนี้ ฮ่องเต้ว่านลี่ขมวดพระขนงตรัสว่า

“สะสมในท้องพระคลังหลวง ก็ใช่ว่าไม่ได้ขยับไปใช้ แต่ละแห่งล้วนต้องใช้เงิน แต่ละแห่งต้องใช้เงิน เงินห้าล้านสองแสนตำลึงอีกเดือนหนึ่งก็คงใช้ไปไม่น้อยแล้ว”

สีหน้าคนในห้องล้วนแตกต่างกันไป สีหน้าเซินสือหังตกใจ สีหน้าหวังหลินบึ้งตึง จางเสวียเหยียนกระหยิ่มยิ้มย่อง

จะกล่าวให้ถูกก็คือ จางเสวียเหยียนปฏิบัติหน้าที่รอบคอบจึงได้ก้าวมาถึงวันนี้ได้ เป็นเพราะความสามารถล้วนๆ ไม่ใช่เพราะการเมืองหรือพรรคพวก คนเช่นนี้เป็นขุนนางที่หายากบนแผ่นดินหมิง แม้ว่าย้ายไปกรมทหาร แต่ก็เคยอยู่กรมอากรมาเกือบ 30 ปี ย่อมกระจ่าง ตอนนี้ได้ยินฮ่องเต้ว่านลี่ทรงกระจ่างในเรื่องนี้เช่นกัน จางเสวียเหยียนก็ย่อมรู้สึกพึงพอใจ

“ทรงพระปรีชายิ่งแล้ว ฝ่าบาท เหตุใดรายรับท้องพระคลังหลวงช่วงนี้จึงสูงที่สุด แต่ไม่มีเหลือ ไม่ใช่เพราะว่าแต่ละแห่งใช้กันหนักมือหรือ ทั้งส่วนเชื้อพระวงศ์ ส่วนการทหาร ก็เกือบแปดส่วนแล้ว ที่เหลือคงไม่ต้องให้กระหม่อมแจกแจงแล้ว”

ฮ่องเต้ว่านลี่ขมวดพระขนง ประทับพิงเก้าอี้ ส่วนเชื้อพระวงศ์ก็คือเงินเบี้ยหวัดประจำปีสำหรับเชื้อพระวงศ์ระดับอ๋องต่างๆ มาตั้งแต่ปฐมฮ่องเต้จูหยวนจางหมิงไท่จู่ ล้วนมีพระราชทานบรรดาศักดิ์ให้เชื้อพระวงศ์ ลูกหลานสกุลจูยิ่งมากขึ้น ราชสำนักก็ยิ่งต้องจ่ายมากขึ้น กลายเป็นภาระก้อนโต

จางเสวียเหยียนยังกล่าวไม่จบ กล่าวต่อเสียงดังกังวานว่า

“ส่วนเชื้อพระวงศ์ ส่วนการทหารชายแดนทั้งหลาย เอาแค่ตัวอย่างจากปีก่อน ทหารเมืองเหลียวโจวเบิกไป ล้านสามแสนตำลึง ทหารเมืองจี้โจวเปิดไปเก้าแสนแปดหมื่นตำลึง ทหารเมืองเซวียนฝู่เบิกไปแปดแสนหกหมื่นตำลึง……รวมทั้งหมดเจ็ดล้านเจ็ดแสนกว่าตำลึง เพียงแค่เอาจากท้องพระคลังหลวงย่อมไม่พอ ยังต้องไปเอาจากภาษีเกลือ ฝ่าบาทตอนนี้แผ่นดินสงบสุขเช่นนี้ หากมีสงคราม……กระหม่อมเพิ่งมาประจำกรมทหาร ยังรู้ไม่มาก แต่ก็พอรู้ว่าแผนนี้เรียกได้ว่าแยบยล แต่พวกทหารมักไม่สนใจความเป็นจริงในท้องพระคลังหลวง กระหม่อมไม่พูดถึงว่าแพ้หรือชนะ เพียงแค่งบทหาร เพื่อการรบนี้ เผ่าอันต๋าไม่ได้ด้อยไปกว่าอดีต เผ่าเคอเอ่อชิ่นเองครองพื้นที่ตะวันออกเฉียงเหนือ ยังมีกำลังจากนอกด่านมาช่วยอีก ศึกใหญ่เช่นนี้ ต้องใช้กำลังทหารเท่าไร ต้องใช้จ่ายเงินเท่าไร?”

ที่ประชุมเงียบกริบ สีหน้าจางเสวียเหยียนจริงจังกล่าวหนักแน่นว่า

“ตอนนี้ชายแดนตอนเหนือสงบ ต้องการเพียงแค่ทำมาหากินเลี้ยงชีพ หากแพ้ไม่ต้องพูดถึง หากชนะแล้วอย่างไร ทางเหนือไม่ใช่ที่เล็กๆ แต่ก็เพาะปลูกไม่ได้ ยังต้องส่งทหารไปประจำการ ทหารม้าพวกนอกด่านหากชนะคงไม่รามือ หากแพ้ก็ย่อมรวบรวมกำลังกลับมาสู้ใหม่ ตอนนั้น ไม่ต้องพูดถึงตอนเหนือ ขุนนางใต้หล้าคงไม่มีเบี้ยหวัด ทหารก็คงไม่มี หากจะเพิ่มภาษี ราษฎรย่อมไม่อาจเป็นสุข หากไม่เพิ่มภาษี ขุนนางคงแตกตื่น กองทัพก็คงแตกตื่น……”

ภาพเหตุการณ์นี้น่าตกใจไม่น้อย จางเสวียเหยียนบรรยายมาได้อย่างออกรสออกชาติ ฮ่องเต้ว่านลี่เหมือนทรงลืมความไม่พอพระทัยก่อนหน้า กำลังทรงตกในภวังค์ความคิด

วาจาจางเสวียเหยียนยังไม่ทันจบ กล่าวต่อว่า

“ที่กระหม่อมกล่าวมา คิดแค่ภาษีหลายปีนี้ ฝ่าบาทก็ทรงรู้ ปีนี้ถึงตอนนี้ ภาษีแต่ละที่เก็บได้ไม่ถึงเจ็ดส่วนของปีก่อน ปีหน้าเกรงว่ายิ่งไม่ถึง”

จางเสวียเหยียนทูลจบก็ถวายบังคับกลับเข้าประจำที่เดิม สีพระพักตร์ฮ่องเต้ว่านลี่ดำคล้ำ เคาะที่ประทับตรัสสุรเสียงนิ่งเรียบว่า

“ขุนนางจางกล่าวมาได้เป็นความจริง เรื่องการเก็บภาษีนี้เราก็รู้ หลายพื้นที่ยกเลิกทิ้งไปแล้ว ระบบภาษีและเกณฑ์แรงงานใหม่ย่อมนำแรงงานไปตีค่าเป็นเงิน แต่หลายแห่งกลับนำแรงงานไปตีค่าเป็นเงินภาษีที่ต้องจ่ายสองเท่า นโยบายดีๆ แต่พอนำไปใช้กลับเป็นเช่นนี้ไป เหอหนาน ส่านซีหลายแห่งก็ล้วนมีราษฎรต่อต้าน เราก็ได้แต่ต้องยกเลิก ส่วนเรื่องใช้ภาษีเป็นตัวตัดสินผลงาน ขุนนางใต้หล้าย่อมไม่ยินดี พวกเขาไม่ต้องการ เราก็ไม่รู้ทำเช่นไร”

ตรัสถึงสุดท้ายก็ปรากฏรอยยิ้มเยียบเย็น แม้ว่าจางจวีเจิ้งจากไปได้รับเกียรติจากราชสำนัก แต่ท่าทีที่ฮ่องเต้มีต่อลูกหลานตระกูลจางนั้นเรียกได้ว่าทุกคนเห็นอยู่ ยังถูกจางซื่อเหวยตามคิดบัญชี นโยบายที่จางจวีเจิ้งนำมใช้เป็นการจำกัดอำนาจเส้นทางหาเงินของพวกขุนนางและคหบดีใหญ่ ราชสำนักมีท่าทีเช่นนี้ คนอื่นๆ ก็ย่อมคิดจะยกเลิกนโยบายที่จางจวีเจิ้งวางไว้ ไม่สนใจว่าดีหรือไม่ ฮ่องเต้ว่านลี่ยามนี้ไร้หนทางโต้

จางเสวียเหยียนพูดมาไม่หยุดมากมายเพียงนี้ หวังหลินรู้สึกเสียหน้าเอาแต่นั่งนิ่ง ไม่มีที่ให้แทรก เซินสือหังเงียบไปครู่หนึ่งก็ลุกขึ้นทูลว่า

“ฝ่าบาททรงเรียกพวกกระหม่อมมาประชุม มีกรมทหาร มีกรมอากร ก็คงเพื่อสอบถามว่าจะรบหรือไม่ จะจัดการอย่างไร แต่เมื่อครู่เสนาจางกล่าวมานั้น ฝ่าบาทก็ทรงได้ยินแล้ว กระหม่อมคิดจะทูลก็คือ เรื่องการรบใหญ่ของแผ่นดิน รบชนะย่อมสร้างแผ่นดินให้มั่นคงสืบไป หากแพ้จะทำเช่นไร ใต้หล้าย่อมไร้ความสงบ พวกนอกด่านย่อมรุกรานเข้ามาวางเพลิงเผา ภัยเช่นนี้ฝ่าบาทเคยทรงคิดบ้างหรือยังพะยะค่ะ ปกครองแผ่นดินขออย่างแรกก็คือเสถียรภาพมั่นคง ไม่ว่าอย่างไร การคงอยู่ของแผ่นดินก็คือเรื่องสำคัญอันดับหนึ่ง ขอฝ่าบาทไตร่ตรองให้รอบคอบด้วยพะยะค่ะ!”

หวังทงก้มหน้า ในใจคิดอย่างเร็ว ความหมายเซินสือหังก็คือเทียบผลที่จะได้กับภัยเสี่ยง จางเสวียเหยียนพูดถึงต้นทุน

“ฝ่าบาท อย่าได้ทรงถูกขุนนางบู๊ตัวเล็กๆ ปิดบังความจริง พาแผ่นดินแห่งบรรพชนไปตกในอันตราย ผู้ใดเสนอความคิดนี้แก่ฝ่าบาท ผู้นั้นก็คือคนคิดจะปิดบังหลอกลวงฝ่าบาท กระหม่อมคิดว่าควรลงโทษหนัก เพื่อมิให้เป็นเยี่ยงอย่าง!!”

เสนาบดีกรมอากรหวังหลินยืนขึ้นกราบทูล หวังทงได้แต่แค่นยิ้มเยาะออกมาเสียงหนึ่ง เห็นข้อสรุปเช่นนี้ เขาคงต้องการสาดน้ำใส่ตน เพื่อดึงตนให้สกปรกไปด้วย เพราะหวังหลินเห็นหวังทงอยู่ด้วยเลยคิดไปเองเช่นนี้ ไม่รู้ว่าเรื่องนี้หวังทงเพียงแค่เป็นคนรับฟังมา เป็นชีจี้กวงเสนอต่างหาก

ที่จางเสวียเหยียนกับเซินสือหังทูลมา ฮ่องเต้ว่านลี่ออกอาการคิดหนัก แต่พอหวังหลินทูล ฮ่องเต้ว่านลี่ออกอาการรำคาญอย่างเห็นได้ชัด แต่ไม่ได้แสดงออกมา เพียงโบกพระหัตถ์ตรัสว่า

“ขุนนางที่รักทุกท่านพูดมานั้น เราจะเอาไปคิดให้รอบคอบ เลิกประชุมได้”

ทุกคนลุกขึ้นถวายบังคบก่อนจะทยอยออกไป พอเดินออกไป หวังทงสถานะต่ำสุดก็ย่อมอยู่ท้ายสุด จางเสวียเหยียน กับหวังหลินย่อมไม่สนใจเขา

หากเป็นตอนเซินสือหังเดินผ่านเขา สายตามองไปข้างหน้าหากปากกล่าวว่า

“ตอนนี้เจ้าสถานะสูงส่ง วาสนาได้มาก็เพราะฝ่าบาท เพราะแผ่นดินหมิง อย่าได้ทำลายรากฐานตนเอง ไปรนหาที่ตายทำไม หวังทง รักษาตัวเองให้ดี!”

หวังทงยิ้มเฝื่อนๆ ก้มหน้าลง เซินสือหังเดินไปไกลแล้ว แต่หวังทงไม่ได้ไปไกลนัก เจ้าจินเลี่ยงก็วิ่งมาตะโกนขึ้นว่า

“ฝ่าบาทมีพระบัญชาให้หวังทงเข้าเฝ้า ขอใต้เท้าหวังกลับมาก่อน!”

คนด้านหน้าสามคนหันไปมอง หากเดินต่อไป หวังทงส่ายหน้า หันกลับเข้าไป ฮ่องเต้ว่านลี่ขมวดพระขนงอ่านเอกสารในพระหัตถ์ สีพระพักตร์ผิดหวัง อ่านไปแล้วก็โยนทิ้งไปอีกทาง หันมาถามหวังทงว่า

“ชีจี้กวงผู้นี้ เราไม่วางใจให้ดูแลเมืองจี้โจวก็เรื่องหนึ่ง แต่คนผู้นี้กล้าเสนอแผนเช่นนี้ให้เรา ย่อมไม่ใช่การหวังร้ายต่อแผ่นดิน เมื่อครู่ถกกันนั้น ที่จางเสวียเหยียนว่ามาก็ฟังมีเหตุผล”

“ฝ่าบาทยังทรงจำชัยชนะยิ่งใหญ่ด่านกู่เป่ยโข่วได้ไหม ชีจี้กวงกับกระหม่อมเคยสนทนาลับกันที่เทียนจิน กระหม่อมเคยทูลรายงานในสารลับครั้งนั้น……”

หวังทงทูลถาม

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version