Skip to content

องครักษ์เสื้อแพร 704

ตอนที่ 704 เพียงวันนี้คนเราก็เปลี่ยนไป

คุณชายซุนผู้นี้เมื่อวานท่าทางดุร้าย ทุกคนเห็นอยู่ ยังคิดว่าทำลายเกียรติองครักษ์เสื้อแพรไปแล้ว หากมาวันนี้กลับถูกองครักษ์เสื้อแพรจับกดกับพื้น บารมีหมดสิ้น ทุกคนพากันอึ้งไป ก่อนจะรู้สึกสะใจแทน

‘เพียะๆ ’ เสียงแส้โบยดัง หลังก็เหมือนกับถูกดาบฟัน ซุนหย่งกังแห่งจวนหนิงซีป๋อแม้ว่าปกติจะฝึกฝนร่างกาย แต่ก็ได้รับการปกป้องจากทหารอารักขา ไม่เคยออกสนามรบ ไม่เคยเจ็บตัวเช่นนี้ พอโดยไปทีก็สะดุ้งโหยง

เริ่มแรกยังกัดฟันไว้ไม่ร้องออกมา แต่เมื่อวานเติ้งตี้ที่ถูกหยามต่อหน้าคนมากมาย ให้ลงมือลงทัณฑ์เอง เติ้งตี้ที่ไม่ได้ทำผิดอันใด ย่อมเก็บความแค้นไว้ในใจ ลงมือย่อมลงเต็มแรง

สิบแส้โบยไป ในที่สุดซุนหย่งกังก็ทนไม่ไหว ร้องเสียงโหยหวนเจ็บปวด แต่เติ้งตี้ก็ไม่หยุดโบย

ลงแส้เฆี่ยน 40 เสร็จ เสียงร้องเจ็บปวดซุนหย่งกังก็เริ่มแผ่วเบา น้ำเสียงแหบพร่า เติ้งตี้เหงื่อท่วม หลังซุนหย่งกังแตกเต็มไปได้ด้วยเลือดและเนื้อที่ปริออก

รอจนองครักษ์เสื้อแพรมาจับถอดกางเกงจะโบยไม้ ซุนหย่งกังก็ไม่มีแรงจะดิ้นรนอีกแล้ว โบยไม้ 40 ก็ลงมือโดยเจ้าหน้าที่ชำนาญการของศาลซุ่นเทียน ไม่เช่นนั้นหากให้องครักษ์เสื้อแพรอีก เกรงว่าคงได้ตายคาที่ แต่พอตีครั้งนี้จบ ซุนหย่งกังก็หายใจรวยรินแล้ว

“ลงทัณฑ์เรียบร้อย จับไปคุมขังสามเดือน!”

ข้างๆ ได้เตรียมรถไว้พร้อม เจ้าหน้าที่สองสามคนเข้ามาลากออกไปราวกับลากสุนัข จากนั้นก็โยนขึ้นรถ บนรถมีคน จวนหนิงซีป๋อรออยู่ รีบเข้ามาใส่ยาที่บาดแผล นับว่าเป็นการช่วยเร่งด่วน

ตามกฎองครักษ์เสื้อแพร หากมิใช่โทษตาย พอลงทัณฑ์เสร็จ ก็จะตามหมอมารักษา จะได้ไม่ตายในคุก ครั้งนี้ยกเว้นให้ ซุนหย่งกังได้รับการช่วยเหลือเร่งด่วน ประหยัดเวลาองครักษ์เสื้อแพร

เติ้งตี้โบยเสร็จ แม้ว่าเหงื่อท่วมตัวสีหน้าแดงก่ำ ท่าทางตื่นเต้นอย่างมาก นายกองร้อยที่มาก็ค่อยๆ เดินม้าเข้ามา กล่าวเสียงดังบนหลังม้าว่า

“พลทหารเติ้งตี้ประจำถนนสายนี้ ปฏิบัติงานได้ดี พบภัยกล้าออกหน้า รองผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพรหวังทงมอบรางวัลเหรียญทอง ขอให้ตั้งใจปฏิบัติหน้าที่ อย่าได้เพิกเฉย!”

กล่าวจบ ก็ควักเอาเหรียญสีทองคล้องด้วยเชือกแดงเส้นหนึ่งออกมา เหรียญทองนี้ส่องประกายกระทบแสงอาทิตย์เจิดจ้า เติ้งตี้อึ้งอยู่กับที่ เหมือนไม่รู้จะทำอย่างไรต่อ ไม่รู้ว่าถูกแสงทองแยงตาหรือไม่ พอกระพริบตาก็ก้มหน้าอยู่นาน

“พลทหารเติ้ง ยังไม่มารับรางวัลอีก!”

นายกองร้อยบนหลังม้าผู้นั้นยิ้มเร่งให้รีบเข้ามารับไป เหล่าจางข้างๆ เติ้งตี้ก็ผลักเขาทีหนึ่ง เติ้งตี้จึงได้สติ พยักหน้าหงึกๆ ขอบตาแดงก่ำเดินเข้าไป

“จางลิ่วปกป้องเพื่อนทหาร กล้าหาญ มอบเงิน 10 ตำลึง เข้ามารับรางวัล!!”

นายกองร้อยตะโกนขึ้น ตอนนี้องครักษ์เสื้อแพรไม่เพียงแต่ให้เบี้ยหวัดพอเพียง ทุกปียังมีเสบียงอาหารให้เพียงพอสิบเดือนได้ เงิน 10 ตำลึงก็เท่ากับเบี้ยหวัดพวกเขาราวหนึ่งปีกว่า เหล่าจางยิ้มแก้มปริ เข้าไปพร้อมกับเติ้งตี้

คนมุงมองกันด้วยความอิจฉา 10 ตำลึง ครอบครัวขนาดสี่คนในเมืองหลวงปีหนึ่งกินดีอยู่ดียังใช้ไม่ถึง 10 ตำลึงเลย

เติ้งตี้รับเหรียญทองมา ไม่หนักมาก น่าจะราว 20 ตำลึงกว่า นายกองร้อยบนหลังม้ายิ้มกล่าวว่า

“นี่เป็นทองแท้ ใต้เท้ายังบอกว่า หากต้องการใช้เงิน ให้เอาไปที่ร้านแลกได้ อย่าได้เก็บไว้ไม่ใช้!!”

ทองแท้ 20 ตำลึงกว่า ก็เท่ากับมากกว่าเงิน 20 ตำลึงอีก เป็นรางวัลใหญ่มาก และยังร้อยด้วยเชือกแดง แขวนไว้ที่คอ ย่อมเชิดหน้าชูตายิ่ง

เติ้งตี้ยืนอึ้ง ก่อนจะถลาเข้าไปคุกเข่า กล่าวเสียงดังว่า

“ข้าน้อยวันหน้าจะต้องตั้งใจปฏิบัติหน้าที่สุดความสามารถ แม้ว่าพบภัยถึงชีวิตก็จะต้องเข้าขวางด้วยความกล้าหาญ ไม่เพิกเฉยอย่างเด็ดขาด!!”

“องครักษ์เสื้อแพรเราลงโทษบำเหน็จชัดเจน ทำผิดลงโทษ ทำดีมีรางวัลแน่นอน ทำงานให้องครักษ์เสื้อแพรปฏิบัติ เป็นองครักษ์เสื้อแพร พบเห็นอันใดข้างนอก องครักษ์เสื้อแพรก็จะปกป้องพวกเจ้าเอง”

“ข้าน้อยทราบแล้ว วันหน้าจะตั้งใจปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มที่!”

พิธีการต่างๆ จบลง เติ้งตี้บรรจงแขวนเหรียญทองเข้าที่คอ เหรียญทองแขวนอยู่ตรงหน้าอก แสงอาทิตย์สาดกระทบส่องประกายแวววาว

แม้ว่านายกองร้อยผู้นั้นบอกว่าเอาไปแลกเงินมาใช้ได้ แต่หลังจากเติ้งตี้ได้ไปครั้งนี้ บรรดาองครักษ์เสื้อแพรที่ได้รับไป ไม่มีผู้ใดเอาไปแลกเป็นเงินมาใช้สักคน ล้วนเอาไปขัดถูกทุกวัน เป็นเครื่องหมายแห่งเกียรติยศหาใดเทียม ราษฎรเมืองหลวงก็ย่อมให้คำยกย่อง มักเรียกติดปากว่า ‘องครักษ์เสื้อแพรเหรียญทอง’ คนเช่นนี้ แม้แต่ราษฎรพบก็ยังต้องยกนิ้วให้

พวกลงทัณฑ์กลับไปกันแล้ว พวกเติ้งตี้สองคนก็ยังตื่นเต้นอยู่ไม่หยุด พยายามตั้งสมาธิ เริ่มเดินลาดตระเวน ครั้งนี้ต่างจากเมื่อครู่ เดินไปไม่กี่ก้าว ก็มีร้านขายผลไม้แห้งข้างทาง หยิบผลไม้แห้งห่อใส่ถุงมาสองห่อ ยิ้มปรี่เดินเข้ามากล่าวว่า

“นายท่านทั้งสอง อากาศแห้ง ผลไม้แห้งเอาไปกินให้ชุ่มคอ”

“ท่านเติ้ง ท่านจาง ตอนกลางวันนี้กินขนมเปี๊ยะสักหน่อย มาร้านเรากินกับผักดอง ชื่นใจ……”

พ่อค้าข้างทางยังไม่ทันกล่าวจบ ด้านหลังก็มีเถ้าแก่หอสุรารีบกวักมือเรียก ยามนี้เลยเวลาอาหารเช้าแล้ว พ่อค้าร้านอาหารเช้ากำลังตบหน้าตนเอง รีบเก็บร้าน

ครึ่งถนนแรกเย็นชา ครึ่งถนนหลังเรียกได้ว่าเดินกันเบียดไหล่เลยทีเดียว พ่อค้าริมทาง ร้านค้าสองข้างทาง ล้วนออกมาทักทายสนิทสนมอย่างมาก เถ้าแก่และคนงานร้านเดิมที่ทำเป็นไม่สนใจก่อนหน้าก็รีบเดินออกมาทักทายอย่างสนิทสนมเช่นกัน

วันนี้ก็ผ่านไปอย่างคึกคักเช่นนี้ เมืองหลวงแห่งนี้ไม่ว่าลมพัดยอดหญ้าอะไรก็ล้วนแพร่ข่าวกันรวดเร็วยิ่ง บุตรชายหนิงซีป๋อถูกจับ จากนั้นข่าวการลงทัณฑ์ก็แพร่ไวยิ่งกว่า ถนนต้นหลิวคอเอียงเป็นสถานที่เล็กๆ ในเมืองหลวง คนที่เห็นการลงทัณฑ์ก็ไม่มาก แต่ส่วนใหญ่ไม่รู้ว่าซุนหย่งกังคือผู้ใด

แต่พอฟ้ามืด ข่าวแพร่ออกไป ทุกคนก็อึ้งเมื่อได้รู้ว่าคนที่ถูกถอดเสื้อผ้ารับการลงทัณฑ์คือผู้ใด โดนไปคาถนนราวกับสุนัขสิ้นชีพ เป็นถึงบุตรชายหนิงซีป๋อ นี่เป็นลูกหลานชนชั้นสูงระดับต้นๆ ในเมืองหลวง คนเช่นนี้ยังถูกโบยได้

นางคณิกาหอฟางฟางแม่หญิงสาวผู้นั้นได้เงินปลอบขวัญไปหนึ่งพันตำลึง และคนหอฟางฟางยังบอกว่าสาวน้อยชุ่ยหงยังคงบริสุทธิ์ เรื่องนี้จวนหนิงซีป๋อเสียเปรียบแล้ว

ดูท่าพรุ่งนี้คงต้องแสดงท่าทีดีกับพลทหารสองคนนั้นเสียหน่อยแล้ว อย่าได้ล่วงเกินเป็นดี

**************

“วันนี้เราได้อ่านรายงาน บอกว่าตระกูลใหญ่และตระกูลชนชั้นสูงในเมืองต่างให้ลูกหลานท่องจำบทสรรเสริญวีรบุรุษเมืองหลวง มีคนที่ไม่อาจล่วงเกิน หวังทง ชื่อเจ้าอยู่ในสามชื่อแรกด้วยนะ!”

หน้าพระที่นั่ง ฮ่องเต้ว่านลี่ประทับอยู่ เซินสือหังนั่งอยู่ทางซ้าย ที่เหลือล้วนยืน ได้ยินฮ่องเต้ว่านลี่สัพยอก หวังทงคำนับกล่าวว่า

“กระหม่อมไหนเลยจะเรียกได้ว่าวีรบุรุษ เกรงว่าคนเมืองหลวงคงเกรงกลัวคนชั่วอย่างกระหม่อมเป็นแน่!”

คำตอบหวังทงทำให้ฮ่องเต้ว่านลี่พอพระทัย โบกพระหัตถ์ตรัสว่า

“คนชั่วอันใด ทำตามกฎ พวกเขาไม่รู้จักดูให้ดีฝ่าฝืนกฎเอง ก็ต้องให้พวกเขาได้ลองดู ซุนต้าอิงคิดหรือว่าหนิงซีป๋อเป็นตำแหน่งที่เราอยากพระราชทาน เหลวไหลทั้งเพ เห็นเมืองหลวงเป็นเมืองต้าถงที่จะทำตัวเหลวไหลได้อีก หวังทงเจ้าจัดการเช่นนี้ เราเห็นว่า เบาไป!”

หวังทงไม่ตอบรับ เพียงแค่คำนับทูลตอบว่า

“กองลาดตระเวนเพิ่งเริ่มปฏิบัติหน้าที่ แต่ละฝ่ายยังไม่เห็นความเข้มงวดกฎหมาย ซุนหย่งกังไม่รู้ดีชั่วโดดออกมาลองของ พอดีเป็นโอกาสให้กระหม่อมได้เชือดไก่ให้ลิงดู เป็นเพราะมีฝ่าบาท จึงได้ราบรื่นเช่นนี้ได้”

“พวกเจ้านี่นะ ตอนอยู่ลานฝึกมีอะไรก็พูดตรงๆ ตอนนี้อ้อมไปอ้อมมา เราฟังแล้วหงุดหงิด เจ้าตั้งใจปฏิบัติหน้าที่ เป็นความชอบของเจ้า ไม่เช่นนั้น มีหรือพวกลูกหลานชนชั้นสูงจะมาท่องบทสรรเสริญวีรบุรุษ”

ฮ่องเต้และขุนนางสนทนา ฮ่องเต้ว่านลี่สบายพระทัย ตามที่หวังทงคาด ฮ่องเต้ว่านลี่ไม่ได้อยากให้ตำแหน่งซุนต้าอิง แต่เพราะต้องการรักษาสมดุลอำนาจ ลงโทษซุนหย่งกัง เหมือนไม่ไว้หน้าซุนต้าอิง เหมือนได้ระบายอารมณ์แทนพระองค์ จะว่าไป เรื่องการไปจับกุมถึงที่เช่นนี้ เกรงว่าคงทำให้ฮ่องเต้ว่านลี่นึกถึงสถานการณ์ตอนอยู่ลานฝึกที่โดยรุมลงมือครานั้น ทรงเริ่มรำลึกถึงวันวานด้วยความอิ่มเอม

สองคนกำลังคุยกันสนุก เซินสือหังหรี่ตามองจางเฉิงตรงหน้า จางเฉิงเข้าใจเป็นการเร่งให้กล่าว

จางเฉิงไม่กล่าวอันใด หากก้าวออกมา พอเขาขยับ ฮ่องเต้ว่านลี่ก็รู้พระองค์ แย้มสรวลตรัสว่า

“จางเฉิง นำบันทึกวาจานี่ให้ทุกคนได้อ่าน ทุกท่าน บันทึกนี้ทุกคนอ่านแล้วก็เก็บไว้ในใจ อย่าได้แพร่ออกไป”

กระดาษสองหน้า มหาอำมาตย์เซินสือหัง เสนาบดีกรมทหารจางเสวียเหยียน เสนาบดีกรมอากรหวังหลินที่เพิ่งย้ายมาจากกรมทหารที่หนานจิง ทุกวันมีเอกสารเข้า อ่านกับจำก็ย่อมเป็นความสามารถของคนเหล่านี้ แต่กระดาษสองหน้านี้ ทุกคนอ่านกันช้ามาก พออ่านจบ สีหน้าก็เคร่งเครียดยิ่ง

ขุนนางฝ่ายในอย่างจางเฉิง จางจิงและโจวอี้ก็อยู่ด้วย ไม่เห็นนางกำนัลขันทีรับใช้คนอื่น ขันทียกน้ำชาเป็นโจวอี้กับเจ้าจินเลี่ยง

“ขุนนางทุกท่านอ่านแล้วใช่ไหม?”

พอกระดาษสองแผ่นวนกลับมา ฮ่องเต้ว่านลี่ก็ตรัสถาม สองสามคนทูลตอบว่าอ่านแล้ว เซินสือหังขมวดคิ้วหันไปกราบทูลว่า

“ฝ่าบาท แผนรบที่เมื่อครู่กระหม่อมอ่าน ไม่ทราบว่าเป็นของผู้ใดทูลเกล้า”

“ของผู้ใด เราไม่อยากรู้ ขุนนางที่รักทุกท่านก็ไม่ต้องสนใจ คนเสนอแผน ปกติเป็นคนรอบคอบ ไม่ใช่คนกล่าวอันใดเชื่อถือไม่ได้ และก็เชี่ยวชาญเรื่องนี้ ทุกท่านสนใจแค่แผนนี้ก็พอ เรื่องอื่นไม่ต้องไปสนใจ”

ได้ยินฮ่องเต้ว่านลี่กล่าวเช่นนี้ ในใจทุกคนก็เริ่มรู้ ไม่ถามต่อ เมื่อเห็นเงียบไป ฮ่องเต้ว่านลี่แย้มสรวลตรัสว่า

“เรียกทุกท่านมาประชุมก็เพื่อหารือถึงแผนนี้ ดูว่าจะทำให้ชายแดนตอนเหนือสงบไปได้อีกนานไหม”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version