ตอนที่ 717 เด็กสาวนามหานเสีย นอกด่านขึ้นเหนือ
ได้ยินจางเฉิงจะเป็นพ่อสื่อให้ หวังทงไม่อาจตั้งสติได้ทัน รู้สึกอึ้งไป ไม่รู้ว่าควรตอบอย่างไร ดูท่าทางหวังทงแล้ว จางเฉิงก็อมยิ้ม รู้ว่าสามารถคุยเรื่องนี้ต่อได้
หลังดูงิ้วจบ ยังมีเวลาอีกหนึ่งชั่วยามจึงจะเป็นรอบใหม่ จางเฉิงกับหวังทงเดินกลับไปในโรงงิ้ว พูดเรื่องพวกนี้ เทียบกับการจัดการเรื่องในสำนักส่วนพระองค์หรือตอบคำถามฮ่องเต้ว่านลี่แล้ว สบายกว่ามาก สีหน้าจางเฉิงเต็มไปด้วยรอยยิ้ม น้ำเสียงสบายๆ ยิ่งว่า
“ที่จริงแล้วไหนเลยจะควรเป็นข้ามาเป็นพ่อสื่อ ข้าแค่มาถามแทนทางนั้น หานไท่ผิง เจ้าจำได้ไหม?”
ผู้นี้หวังทงย่อมจำได้ หานไท่ผิงก็คือปู่รองของหานกัง ทหารติดตามหวังทง เป็นขันทีในสำนักเครื่องใช้ส่วนพระองค์ เคยรู้จักกับหวังทง เห็นหวังทงพยักหน้า จางเฉิงจึงยิ้มกล่าวว่า
“วันก่อนมาหาข้า บอกว่าครั้งนี้เจ้าไปบ้านตระกูลหาน น้องสาวหานกัง หานเสีย มักเอ่ยถึงเจ้ากับหานกัง หานกังไม่รู้ว่าทำไม น้องชายสองคนเลยไปเล่าให้หานไท่ผิงฟัง ความในใจของเด็กหญิง ผู้ใหญ่ไหนเลยจะไม่เข้าใจ หานเสียปีนี้ 15 แล้ว หน้าตาก็ใช้ได้ ครอบครัวก็ไม่มีด่างพร้อย หานไท่ผิงรู้ว่าหากต้องการแต่งกับหวังทงเหมือนจะสูงเกินเอื้อม ดังนั้นจึงให้ข้ามาพูดดู พอได้ยินมา ก็รู้สึกว่าเหมาะอยู่ เจ้าอายุขนาดนี้แล้ว อยู่คนเดียวไม่สะดวกนัก ตระกูลหานเองก็ไม่ใช่คนนอก……”
กล่าวถึงตรงนี้ จางเฉิงกลับยิ้มตบขา หัวเราะใส่ตนเองว่า
“ข้าเอาแต่พูดคนเดียว เจ้าคิดอย่างไร เหล่าหานเป็นคนซื่อ เขาว่าหานเสียหน้าตาใช้ได้ เก่งงานบ้านงานเรือน เป็นเด็กสาวที่ฉลาด ก็ย่อมเป็นดังนั้น”
ในโลกก่อนนั้น หวังทงก็เคยมีประสบการณ์เรื่องผู้หญิงกับความรักมาบ้าง แต่สุดท้ายก็เลิกรากันไป ก็ยังฝังอยู่ในความทรงจำ ดังนั้นในโลกนี้ แม้หวังทงจะรวย แต่กลับไม่มีคนรู้ใจในวัยที่ใกล้เคียงที่จะรักลึกซึ้งได้ จึงได้เอาใจใส่ไว้กับการทำงานให้หนักขึ้น
ในโลกยุคนี้ ชาวบ้าน 10 กว่าปีก็แต่งงานได้แล้ว พวกบัณฑิตต้อง 20-30 จึงแต่ง ต้องตั้งใจร่ำเรียน สอบได้ตำแหน่งมาจึงมาคุยเรื่องสร้างครอบครัว ทุกคนคิดเช่นนี้
บางทีหวังทงก็เคยคิดเรื่องนี้ของตนเองเหมือนกัน บารมีเขาตอนนี้ สายสัมพันธ์กับฮ่องเต้ว่านลี่ตอนนี้ ล้วนทำให้การแต่งงานเขาเกี่ยวพันถึงอำนาจทางการเมืองมากมาย ไม่ใช่เป็นไปตามความพึงใจของเขาเพียงฝ่ายเดียว แต่สำหรับหวังทงแล้ว นี่ไม่ใช่เรื่องใหญ่ เพราะว่าตอนนี้เขายังไม่ได้รู้สึกสัมพันธ์ลึกซึ้งกับหญิงใดเป็นพิเศษ
วิเคราะห์เช่นนี้ ตระกูลหานเล็กๆ ย่อมเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด หานไท่ผิงแม้สถานะในวังจะสูง แต่อายุมากใช่ว่าจะอยู่ได้อีกนานเท่าไร หานกังนอกจากหานไท่ผิงก็ไม่มีญาติที่ไหนอีก มีแค่น้องชายน้องสาวเท่านั้น ไม่มีสายสัมพันธ์อื่นใดอีก
ในยุคนี้ หวังทงไม่คิดหวังให้ตนเองต้องมีความรักที่สะเทือนฟ้าดิน หรือพบคนรู้ใจอันใด เขากำลังชั่งน้ำหนักเรื่องนี้อยู่ ยังไม่เคยเห็นหน้า หรือได้ยินแม้แต่เสียงของหานเสีย ไม่รู้ว่าแต่งงานกับตนแล้วจะทำให้เกิดอันใดขึ้นบ้าง อันนี้จึงได้ข้อสรุปอย่างรวดเร็ว
“เช่นนั้นก็ขอจางกงกงเป็นธุระให้ด้วย!”
หวังทงลุกขึ้นคำนับ กล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบ ในสมองวิเคราะห์ชั่งน้ำหนักแล้ว ไม่ต้องเสียเวลามาก ในสายตาจางเฉิง หวังทงเหมือนตัดสินใจอย่างไม่ลังเล ก็อึ้งไป ตามมาด้วยยิ้มส่ายหน้าว่า
“ดูท่าเจ้าได้วัยแล้ว ใจร้อนอยู่ แม้ข้าไม่เคยมีประสบการณ์ด้านนี้ แต่ก็ได้ยินมาไม่น้อย”
ตอนนี้จางเฉิงวางตัวเป็นเหมือนผู้ใหญ่ในครอบครัว กล่าวสัพยอกไปหลายคำ หันไปกล่าวกับหวังทงที่ท่าทางขัดๆ ว่า
“สถานะข้ามาสอบถามจากเจ้ายังได้อยู่ แต่หากเป็นพ่อสื่อจริง ก็ย่อมต้องให้คนนอกมาจัดการ สำนักเครื่องใช้ส่วนพระองค์กับกรมโยธาติดต่องานกันมาก ถึงตอนนั้นให้เหล่าหานไปหารองเจ้ากรมที่นั่นหรือหัวหน้าสักคนที่นั่นมาเป็นพ่อสื่อ จึงจะเรียกได้ว่าทำตามธรรมเนียมถูกต้อง”
“จางกงกง อีกสองสามวัน หวังทงก็ต้องไปซานซีแล้ว เกรงว่าไม่มีเวลามาจัดการเรื่องพวกนี้”
จางเฉิงหัวเราะดัง กล่าวว่า
“รอเจ้ากลับมาค่อยว่ากันๆ ถึงตอนนั้นให้ฝ่าบาทพระราชทานสมรสให้สักสองคน ย่อมเป็นเกียรติยศยิ่งใหญ่!!”
หวังทงไม่รู้จะตอบอย่างไร ได้แต่แสดงทีท่าขัดเขิน ประสานมือคำนับ
เรื่องนี้เอาไว้ก่อน มากล่าวถึงขันทีหลายสิบที่ดูงิ้วแล้วกลับเข้าวังไปบรรยายความสนุกสนานของงิ้วให้เพื่อนขันทีด้วยกันฟังว่าสนุกขนาดไหน องครักษ์เสื้อแพรบนเวทีต่อสู้กับท่านผู้นั้นยอดเยี่ยมเพียงใด ยังร้องเลียนแบบหลายท่อน เล่าถึงตอนที่ยอดเยี่ยม จากนั้นหากเป็นขันทีสนิทกัน ยังแอบคุยกันว่า วันนี้ไปดูงิ้วได้เห็นคนตำหนักเฉียนชิงกงอยู่ด้านล่างปฏิบัติงานด้วย
วาจานี้ไม่กล่าวออกมาชัดเจน แต่คนในวังผู้ใดบ้างไม่รู้ว่าคนตำหนักเฉียนชิงกงปฏิบัติงานหมายถึงสิ่งใด แต่ก็ทำเป็นไม่รู้ตามไปด้วย
ข่าวในวังแพร่เร็วมาก จากนั้นก็แพร่ออกไปนอกวัง พวกนอกวังรู้ ก็มีคนแพร่ไปทั่วเมืองหลวงอย่างรวดเร็ว
ไม่กี่วัน ราษฎรเมืองหลวงก็รู้ว่าฝ่าบาทเสด็จโรงงิ้วภักดีชมงิ้ว ฝ่าบาทเคยไปชมมาแล้ว ที่แห่งนี้จะต้องดีอย่างแน่นอน ชั้นบนแพงมาก แต่ชั้นล่างก็แค่ 200 อีแปะ ยืนก็แค่ 100 อีแปะ เงินแค่นี้ทุกคนจ่ายไหว คนมีเงินยิ่งไม่ต้องพูดถึง
ไปดูงิ้วที่โรงงิ้วภักดี กลายเป็นกระแสใหม่ของเมืองหลวง การค้าดี ย่อมมีคนเลียนแบบ มีโรงงิ้วสองแห่งเปิดกิจการ แต่ไหนเลยจะมีงิ้วเรื่องใหม่เรื่อยๆ เหมือนโรงงิ้วภักดีได้ ไหนเลยจะเป็นที่กล่าวขานและสนใจในหมู่ประชาได้เช่นนั้น
ต่อมาได้ยินมาว่า โรงงิ้วภักดีมีสามคณะงิ้วผลัดกันแสดง และยังจ้างคนเขียนบทไว้สิบกว่าคน คนที่เขียนบทงิ้วจากทั่วเขตปกครองเหมือนว่าจะถูกซื้อตัวมาหมด มีเงินเดือนให้ ค่าตอบแทนสูงมาก
โรงงิ้วอื่นจ้างคณะงิ้ว จ้างคนแสดง ก็ทำตามแบบโรงงิ้วภักดี แต่ก็ได้แต่เดินตามหลัง ไม่อาจแซงหน้าได้
ประเด็นหลักก็เพราะโรงงิ้วภักดีมีชื่อแล้ว ว่ากันว่าทุกครั้งที่มีงิ้วเรื่องใหม่ ฮ่องเต้ว่านลี่ก็จะทรงปลอมพระองค์เป็นสามัญชนมาชมอยู่ในห้องพิเศษอีกด้วย เรื่องนี้งิ้วโรงไหนจะเทียบติด
ไม่นาน คณะงิ้วที่ชนชั้นสูงเลี้ยงไว้ หากมีเรื่องใหม่หรือว่างิ้วที่ถนัดแสดงอันใด ก็ต้องไปแสดงที่โรงงิ้วภักดีสักรอบหนึ่ง ดูปฏิกิริยาผู้ชมว่าต้อนรับหรือไม่ แต่ก่อนงิ้วเป็นเรื่องอิงกระแสชนชั้นสูง หากตอนนี้กลับต้องไปแสดงโรงงิ้วชาวบ้านเพื่อดูว่าศิลปะการแสดงของตนได้ระดับพอหรือยัง
คณะงิ้วที่ชนชั้นสูงเลี้ยงไว้ก็ไม่เหมือนเมื่อก่อนที่แสดงให้นายจ้างตนดู หากยังไปแสดงที่โรงงิ้วภักดีรอบสองรอบเพื่อแสดงให้เห็นว่าแสดงได้ดี เรียกได้ว่ายอดเยี่ยม
งิ้วเรื่องใหม่โรงงิ้วภักดีไม่น้อย สร้างกระแสได้มาก มีบัณฑิตมีความรู้ ชอบเขียนบทงิ้ว อยากแสดงความสามารถตน ก็เอาบทมาให้แสดง ก็เป็นการสร้างชื่อได้ทางหนึ่ง
แต่โรงงิ้วภักดีเองก็มีงิ้วใหม่ของตนเองที่ยอดเยี่ยม หนึ่งสรรเสริญพระปรีชาฮ่องเต้ แผ่นดินหมิงสงบสุข อีกหนึ่ง ก็เพื่อให้เห็นถึงความดีงามขององครักษ์เสื้อแพร
องครักษ์เสื้อแพรบนเวทีล้วนมีคุณธรรม เพื่อประชา ช่วยเหลือผู้น้อยที่เดือดร้อน ออกลาดตระเวนจัดการเรื่องราวมากมาย เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ ภาพลักษณ์องครักษ์เสื้อแพรในเมืองหลวงส่วนใหญ่จึงค่อยๆ ดีขึ้น เมื่อก่อนออกลาดตระเวนตามท้องถนน ทุกคนจะมองด้วยสายตาหวาดกลัว หรือถึงกับมีปัญหาก็ไม่กล้ามาขอให้ช่วย
แต่ตอนนี้นั้น ทุกคนเดินบนถนนต่างก็รู้สึกดีกับองครักษ์เสื้อแพร ถึงกับมีคนทักทายด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
ชาวบ้านมีท่าทีเช่นนี้ส่งผลต่อบรรดาบัณฑิตและขุนนาง พวกเขาเกลียดหวังทง พวกเขารู้สึกว่าโรงงิ้วภักดีเป็นโรงงิ้วบ้านๆ แต่ก็รู้สึกว่างิ้วสนุกดี บรรยากาศสร้างความสุขให้ผู้คน นานวันเข้า บทวิเคราะห์ของพวกเขาก็เปลี่ยนไป
หมู่ชาวบ้านมีข่าวลือว่า มหาอำมาตย์เซินสือหังคนปัจจุบันล้มป่วยรักษาตัวอีกหลายปีและมีพวกกลับเข้าเมืองหลวงมารับตำแหน่งยังไปชมงิ้ว ย่อมชมในห้องพิเศษ
เถ้าแก่ร้านสามธาราหลายคนก็เคยมา พอดูบัญชีรายรับแล้วก็กลับไปนำเงินมาเพิ่มอีก เงินมาด้วยเหตุผล หนึ่ง สร้างโรงงิ้วที่เทียนจินเลี้ยงคณะงิ้ว สอง ขยายโรงงิ้วเมืองหลวงเพิ่ม เป็นการค้าที่ทำเงินได้จริงๆ
แต่เรื่องพวกนี้ไว้ก่อน เรื่องบันเทิงใต้หล้าไม่ว่าชนชั้นสูงหรือชาวบ้านก็เป็นเรื่องปกติ ทุกคนล้วนแสวงหาความบันเทิง โรงงิ้วหวังทงสร้างมารองรับได้พอดี
วันที่ 20 เดือนแปด หวังทงนำกำลังออกจากเมืองหลวง เมืองหลวงตอนนี้คึกคักสุดเห็นจะเป็นโรงงิ้ว ไม่มีผู้ใดสนใจเรื่องหวังทงออกจากเมืองหลวง
***************
ทุ่งหญ้านอกด่านขาดแคลนทุกอย่าง ตั้งแต่อาวุธเครื่องเหล็กยันผ้าแพรพรรณ หรือแม้แต่เข็มเย็บผ้า พวกเขาล้วนขาดแคลน แต่ทุ่งหญ้านอกด่านก็มีสินค้าที่แผ่นดินหมิงขาดแคลน เช่น สัตว์เลี้ยงอย่างวัวและม้า ผงฟู ที่สำคัญพวกทุ่งหญ้านอกด่านมีเงิน ชนชั้นสูงทุ่งหญ้านอกด่านมีเงินทองของมีค่าในมือมาก บ้างก็ปล้นมา บ้างก็ค้าขายกับทางแดนตะวันตกหรือทะเลทรายตอนเหนือมา บ้างก็มีแหล่งแร่ธาตุ เทียบจำนวนแล้ว อาจไม่เท่าแผ่นดินหมิง แต่ก็เรียกได้ว่ามี
พวกเขาเหมือนว่าแทบไม่อาจผลิตเองได้ ทั้งอาวุธ ผ้า และสินค้าเกษตรล้วนเป็นสิ่งที่พวกเขาต้องการ พ่อค้าแผ่นดินหมิงย่อมไม่ไปเพื่อทำการกุศล พวกเขาเสี่ยงภัยไปทุ่งหญ้านอกด่านก็เพื่อกำไรก้อนโต ก็เพื่อเงินทองจากเผ่าต่างๆ นอกด่าน
ตอนนี้คิดจะกำไรก้อนโต หนึ่ง ลอบค้าเกลือ เช่นนั้นก็มีทางการแอบทำกับพ่อค้าเกลือแล้ว สอง การค้าทางทะเล ออกเดินเรือทะเลรอบหนึ่ง ขอเพียงกลับมาปลอดภัย ก็ย่อมเงินเต็มลำ สามก็คือการค้ากับพวกนอกด่าน ไปทุ่งหญ้ามารอบหนึ่ง รถใหญ่ลากสินค้าออกไป กลับมาก็ลากเงินทองกลับมาเต็มคัน
เจ้ากระสอบอ้วนกำลังนำขบวนค้าออกไปทุ่งหญ้านอกด่าน ข้ามภูเขาตอนเหนือออกไป จุดหมายที่เมืองกุยฮว่าเฉิง ชนชั้นสูงมองโกลที่นั่นไม่เหมือนที่อื่นๆ พวกเขาขอบของหรูหราฟุ่มเฟือย ชอบผ้าแพรพรรณชั้นสูง ชอบเครื่องเทศ และยังชอบสตรีแผ่นดินหมิง ให้ราคาสูงมากกว่า