Skip to content

องครักษ์เสื้อแพร 728

ตอนที่ 728 กวาดล้างตระกูล ควรสังหารทิ้ง

ทหารติดตามหวังทงนอกจากทหารติดตามอารักขาชุดเดิม ยังมีทหารในสังกัดและลูกหลานทหารที่ไว้ใจได้ ทหารหนุ่มพวกนี้อายุน้อยมาก แม้ว่าฝึกฝนมาแต่เล็ก ฝึกยุทธ์มาไม่น้อย แต่เลี้ยงดูมาอย่างดี เรื่องตีรันฟันแทงเสี่ยงอันตรายไม่ค่อยได้แตะต้อง

เด็กหนุ่มมารวมตัวกัน ย่อมเปรียบเทียบกัน ทุกคนแม้ว่ามีทักษะยุทธ์ดี แต่การตัดสินว่าใครเหนือกว่าคงต้องอาศัยประสบการณ์การต่อสู้มากน้อยเสียแล้ว วันหน้าไม่แน่ ทุกคนอาจได้เติบใหญ่ไปอีก ตอนนี้หลายเรื่องยังไม่แน่นอน

สถานการณ์ตอนนี้ ทุกคนอาศัยว่าใครเคยสังหารคนมาเทียบกัน ฉีอู่ หานกัง ซาตงหนิง เป้าเอ้อร์เสี่ยว พวกนี้เคยอยู่กองทัพหรือไม่ก็ติดตามครอบครัวเดิมออกต่อสู้ ล้วนเคยผ่านประสบการณ์ต่อสู้สังหารมา

นักรบเคยสังหารศัตรู ย่อมแตกต่างจากพวกที่ไม่เคยผ่านสมรภูมิเป็นตายมาก่อน พวกเขาเหล่านี้จึงถูกยกให้เป็นหัวหน้าในใจของทุกคนไปโดยปริยาย

เมื่อเป็นเช่นนี้ ทหารติดตามหวังทงล้วนหวังอยากสังหารศัตรู แต่กฎทหารเข้มงวด ทุกคนฝึกหนักทุกวัน โอกาสออกรบมีน้อย ต่อสู้กันมาก แต่ปะทะเลือดตกยางออกน้อย ทุกคนก็อึดอัดเก็บกดกันอย่างมาก

พอหวังทงกล่าวว่า ‘ตามข้าไปสังหาร’ ไม่นาน ทุกคนก็มาตั้งแถวรอกันที่ลานด้านหน้า ลูกหลานทหารที่เพิ่มเข้ามา สีหน้าตื่นเต้นอย่างมาก ที่เรียกว่า อาการอยากลงมือ เริ่มฝังรากในกายพวกเขาแล้ว นักรบที่มีวินัยและมีอาการอยากลงมือเป็นนักรบที่เก่งกล้าที่สุด

เทียบกับลูกหลานทหารพวกนี้แล้ว พวกที่ติดตามหวังทงมานานจะรู้งานมากกว่า มีคนเดินไปจูงม้า มีคนเดินไปเตือนเพื่อนทหารด้วยกันอย่าลืมสิ่งของ

ไม่นาน หวังทงในชุดรองผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพรก็เดินออกมาจากห้อง ด้านหลังมีองครักษ์เสื้อแพรที่ตามมาจากสำนักองครักษ์เสื้อแพรเมืองหลวงตามออกมา ทหารพวกนี้ในมือถือธงสัญลักษณ์ผู้แทนพระองค์มาด้วย

แต่ไรมาหวังทงทำงานก็ต้องประสิทธิภาพรวดเร็วมาก่อน ไม่ค่อยสนใจธรรมเนียมวงการขุนนางสักเท่าไร วันนี้ไม่เหมือนกัน หวังทงสวมชุดขุนนางขี่ม้าออกมา เจ้าหน้าที่ก็ถือป้ายเบิกทางที่เป็นทั้งธงทั้งป้ายบอกสถานะ บอกการได้รับราชโองการ คำสั่งทางการทหารมาครบหมด เดินนำอยู่แถวหน้า ทหารในชุดแต่งกายเต็มยศพร้อมอาวุธรายรอบหวังทงซ้ายขวา

ขบวนเดินทางเกือบสองร้อยนาย เดินไปตามถนนในเมืองต้าถง แม้ชาวเมืองต้าถงเห็นทหารเดินทัพจนชิน แต่ก็ยังรู้สึกว่าขบวนนี้ไม่ธรรมดา

ตอนนี้หวังทงเป็นผู้บัญชาการเมืองต้าถง การกระทำของเขาล้วนเป็นที่จับตามอง พอเห็นหวังทงแต่งตัวเต็มยศออกเดินทางมา สายสืบทุกคู่ก็รีบนำเรื่องกลับไปรายงานเจ้านายตนทันที

หวังทงไม่ได้ไปที่ทำการผู้ตรวจการ ไม่ได้ไปจวนหม่าต้ง ไม่ได้ไปที่ทำการนายอำเภอเมืองต้าถง แต่ไปทางตะวันตกของเมืองต้าถง ใต้หล้ามีการวางผังเมืองต่างกัน เมืองหลวงเพราะมีคลองส่งน้ำที่เทียนจิน พ่อค้าร้านค้าจึงไปตั้งถิ่นฐานรวมกันอยู่ทางตะวันออกของเมืองหลวงที่เขตบูรพา นอกเขตบูรพาก็เป็นเช่นนี้ ก็คืออย่างไรโกดังเก็บสินค้าของร้านค้าต่างๆ ก็ต้องอยู่นอกเมืองออกไป ต้องใช้ระยะทางพอสมควร หรืออาจต้องอ้อมเมือง

เมืองต้าถงก็เช่นกัน การค้าเมืองต้าถงกับมองโกลเผ่าต่างๆ บนทุ่งหญ้านอกด่าน ออกจากเมืองต้าถงไปทุ่งหญ้านอกด่าน สะดวกและเร็วที่สุดก็คือประตูตะวันตก ออกจากช่องเขาสังหารพยัคฆ์ กองกำลังฝ่ายขวาเมืองต้าถงไปยังเมืองกุยฮว่าเฉิง ดังนั้นบรรดาพวกพ่อค้าใหญ่ในเมืองต้าถงจึงมารวมตัวกันอยู่ทางตะวันตกของเมือง

ร้านค้าเรียงรายมากมาย เทียบไม่ได้กับเมืองหลวงและเทียนจิน แต่ก็เรียกได้ว่าเจริญรุ่งเรือง การค้ากับทุ่งหญ้านอกด่านไม่ได้ด้อยไปกว่าการค้าทางทะเล ทำกำไรมหาศาลเช่นกัน ร้านค้าก็ย่อมดูดีไม่น้อย

ร้านค้าที่นี่ที่ดูยิ่งใหญ่ที่สุดเห็นจะเป็นร้านค้าตระกูลหวง ชื่อร้านอะไรสักอย่าง นี่เป็นร้านค้าธรรมดาที่ใหญ่ที่สุดบนถนนสายนี้ เห็นขนาดร้านค้าตระกูลหวงแล้ว ผู้ใดก็ไม่อาจพูดได้ว่าร้านธรรมดา

ถนนสามสายทางตะวันตกของเมืองล้วนเป็นกิจการร้านค้าตระกูลหวง ผ้า อาหาร อาหารแห้ง ของจิปาถะ ร้านเครื่องเหล็ก……มีครบหมดทุกอย่าง คนเดินถนนไปมา ลูกค้าเข้าออกไม่น้อย บ่อยครั้งที่เห็นพ่อค้ามองโกลในชุดคลุมหนังแบบมองโกลและเปียผมแบบชาวมองโกลเดินเข้าๆ ออกๆ

ร้านค้าสาขาหลักของตระกูลหวงไม่เหมือนที่อื่น เป็นอาคารที่หาได้ยากในสมัยนี้ สองชั้นก็เรียกได้ว่าเตะตาที่สุด สามสามเรียกได้ว่าทำคนต้องอ้าปากค้างตกใจ ร้านค้าส่วนใหญ่ล้วนเป็นร้านชั้นเดียวเรียงติดๆ กัน แต่สาขาใหญ่ร้านตระกูลหวงกลับเป็นอาคารสองชั้นเรียงกัน เป็นอาคารที่สะดุดตาไม่น้อยในเขตตะวันตกของเมือง

คนเดินผ่านไปมาพอเห็นขบวนม้าหวังทง ก็พากันหลบชุลมุน ขวางทางผู้แทนพระองค์ ถูกม้าเหยียบตายไปก็ไม่มีทางเอาเรื่องได้

เสียงฝีเท้าม้าดังมาแต่ไกล คนงานร้านต่างๆ พากันออกมาชะเง้อดู พอเห็นเป็นขบวนหวังทงก็หดหัวกลับเข้าร้านไปทันที ขบวนหวังทงมาหยุดที่หน้าร้านตระกูลหวง

เถ้าแก่ร้านและคนงานต้อนรับแขกแม้ไม่รู้จักหวังทงก็ย่อมรู้จักชุดขุนนางหวังทง และรู้จักธงนำขบวนในมือเจ้าหน้าที่

เห็นขบวนหวังทงหยุดลง คนงานต้อนรับก็รีบยิ้มปรี่เข้ามาต้อนรับ หวังทงไม่สนใจ หันไปออกคำสั่งว่า

“พวกเจ้า ไปจับตัวเถ้าแก่ใหญ่ร้านนี้มา ข้ามีเรื่องซักถาม!”

วาจากล่าวได้นิ่งเรียบ แต่พอกล่าวจบ ทั้งถนนก็เงียบกริบ คนงานร้านค้าตระกูลหวงที่ออกมาต้อนรับถึงกับอ้าปากค้าง ไม่รู้จะทำเช่นไรได้

จับกุมคน เรื่องนี้ทหารเคยฝึกมาแล้ว พอได้ยินคำสั่งหวังทง ด้านหลัง 12 คนก็รับคำพร้อมเพรียง โดดลงจากหลังม้า ถืออาวุธกรูเข้าไปในร้าน

พอเห็นพวกเขาบุกเข้าไป คนงานต้อนรับหน้าร้านสาขาใหญ่ รวมถึงบรรดาผู้คุ้มกันร้านจึงได้สติเข้ามาขวาง ทหารหวังทงที่เข้าจับกุมยังคงเกรงใจพวกเขา อย่างไรก็ไว้หน้ากันสักหน่อย ไม่ได้ชักดาบเข้าใส่ เพียงแค่ใช้สันดาบกระแทกเท่านั้น

กระแทกใส่หน้า บรรดาคนงานก็ร้องเสียงหลงพากันหลีกทางให้ แต่ผู้คุ้มกันร้านค้าสาขาใหญ่ตระกูลหวงกลับพอมีฝีมือ ถึงกับหยิบกระบองวิ่งเข้าไปขวางคนของหวังทง แม้ว่าไม่ได้ลงมือปะทะ แต่ไม้พลองก็พุ่งเข้าใส่ไม่หยุด พวกทหารหวังทงไม่อาจบุกเข้าไปได้อีก

อย่างไรก็แค่จับกุม พวกคนงานกับผู้คุ้มกันก็คงไม่มีความผิด ชักดาบฟันใส่ไม่น่าจะเหมาะนัก ทหารหวังทงลังเลครู่หนึ่ง สถานการณ์เริ่มตึงเครียด

คนงานหน้าประตูคิดจะพูดอันใด ก็ได้ยินเสียง ‘เฟี้ยว’ ดังมา จากนั้นเสียงร้องดังโหยหวนเจ็บปวดก็ดังขึ้น จากนั้นหลายคนก็พากันร้องตกใจ

หันกลับไปมอง เห็นผู้คุ้มกันคนหนึ่งโยนไม้พลองทิ้งกุมต้นขาไว้ นั่งลงแปะกับพื้นส่งเสียงร้องเจ็บปวด ทหารติดตามหวังทงขึ้นถึงชั้นสองแล้ว คนงานกับผู้คุ้มกันเมื่อครู่ที่ขวางอยู่ตอนนี้หลีกทางแล้ว ท่าทางลนลานไร้ทางรับมือ หากดูให้ดี ขาของผู้คุ้มกันผู้นั้นถูกธนูปลายขนนกปักอยู่ดอกหนึ่ง

“ผู้แทนพระองค์ จับกุมคน พวกเจ้ากล้าขวางทางหรือ!”

หวังทงกล่าวเสียงเย็น ธนูในมือถานเจียงข้างกายหวังทงยกขึ้น มองไปยังด้านในร้าน ผู้ใดก็คิดไม่ถึงว่า กลางวันแสกๆ หวังทงถึงกับกล้าลงมือแข็งกร้าวเช่นนี้

ได้ยินเสียงร้องโหยหวนของคนในร้าน หากขยับอีก หวังทงย่อมลงมือสังหารทิ้งเป็นแน่ คนด้านในและด้านนอกล้วนคิดว่าน่าจะเป็นไปได้เลยทีเดียว

ด้านนอกได้ยินเสียงเอะอะโวยวาย ไม่นาน ทหารก็นำตัวชายวัยกลางคนมาที่หน้าประตู โยนลงพื้นทันที

ชายวัยกลางคนแต่งตัวมีฐานะ ท่าทางดูดี ดูแล้วน่าจะพอมีสถานะอยู่ ปกติก็เป็นคนมีบารมี แต่ตอนนี้ไม่อาจเรียกได้ว่าท่าทางมีบารมีอันใด ตอนโยนลงพื้น ขาสะดุดกับธรณีประตู ทำเอาล้มลงจากบันไดขั้นประตูลงมาหลายขั้น มาหมอบอยู่ที่พื้นเป็นนานกว่าจะตะกายทรงตัวขึ้นมาได้

ด้านหลังทหารเห็นคนกลุ่มหนึ่งยืนอยู่อย่างทำอันใดไม่ได้ ดูท่าแล้วน่าจะเป็นเถ้าแก่ร้าน มีคนด้านหลังหันหลังวิ่งออกไป ไม่มีคนสนใจ

ชายวัยกลางคนลุกขึ้นได้ก็คิดจะยืนขึ้น หวังทงบนหลังม้าตวาดน้ำเสียงเยียบเย็นว่า

“ข้าเป็นผู้แทนพระองค์ ผู้แทนพระองค์สืบคดี มีที่ให้เจ้ายืนตอบได้หรือ? กดตัวลง!!”

หวังทงสั่งการเสียงเย็น ทหารด้านหลังเข้าไปเตะหลังขาทีหนึ่ง ชายวัยกลางคนไม่ทันระวัง ล้มลงคว่ำกับพื้นทันที แต่คนผู้นั้นยังดื้อดึง ยังคงดิ้นรนตะเกียกตะกายลุกขึ้นนั่งพื้นกล่าวว่า

“ใต้เท้าหวัง ท่านรู้ไหมว่าร้านนี้เป็นกิจการผู้ใด? ท่านกล้าทำเช่นนี้หรือ อย่าคิดว่าเป็นผู้แทนพระองค์จะทำอันใดก็ได้นะ”

“เจ้าคือเถ้าแก่ใหญ่ร้านนี้ใช่ไหม จือวั่นชาง ยังไม่ต้องพูดอะไร เบื้องหลังเจ้ามีผู้ใดหนุน ข้าไม่รู้จริงๆ แต่คงจะได้เห็นในไม่ช้า ไม่ใช่ว่ามีคนวิ่งไปแจ้งข่าวแล้วงั้นหรือ?”

หวังทงบนหลังม้ากล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบ จากนั้นกล่าวว่า

“ตอนนี้ในช่วงใกล้สงคราม พวกเจ้าร้านค้าตระกูลหวงถึงกับกล้ากักตุนสินค้า ดึงราคาสินค้าเพื่อการทำสงครามให้สูงขึ้น คิดการใดอยู่กันแน่!?”

ได้ยินหวังทงถาม จือวั่นชางก็ตัวแข็งค้าง แต่ยังปากแข็งว่า

“ใต้เท้า ไยกล่าวหาข้าน้อยเช่นนี้ ร้านค้าตระกูลหวงทำการค้าสุจริต ไม่เคยรู้มาก่อนว่าเป็นสินค้าเพื่อการทำสงคราม……”

“ร้านสามธาราและร้านในเครือเรารับซื้อสินค้าเพื่อการทำสงครามจากเมืองต้าถง เพื่อไว้เตรียมรับมือพวกนอกด่าน เจ้ากลับมากักระหว่างทาง ทำให้ราคาสูงขึ้น นี่ไม่เรียกว่า ดึงราคาให้สูงแล้วเรียกว่าอะไร?”

หวังทงบนหลังม้ากล่าวน้ำเสียงเยียบเย็น ถนนในเมืองเงียบมาก มีเสียงซุบซิบวิพากษ์วิจารณ์ดังขึ้นเป็นระยะ คนด้านหน้าบอกต่อวาจาหวังทงต่อๆ กันไปด้านหลัง คนบนถนนไม่พอใจกันอยู่แล้ว แต่ได้ยินหวังทงว่ามา สีหน้าทุกคนก็ยิ่งไม่พอใจกันมากขึ้นไปอีก ชายแดนตอนเหนือเมืองต้าถงสองร้อยปีมานี้ ต้องทนรับการกระทำพวกนอกด่านมามาก เสียเวลาต้องมาค่อยป้องกันรับมือพวกนอกด่าน ร้านค้าตระกูลหวงไม่ควรเห็นใจแม้แต่น้อย

“ข้าน้อยไม่รู้มาก่อนว่าเป็นสินค้าเพื่อการทำสงคราม ข้าน้อยเห็นแค่ว่าสินค้าขายดี ดังนั้นจึงได้อยากยื่นมือมาทำด้วย ไม่รู้มาก่อนว่าเป็นสินค้าเพื่อการทำสงครามอันใด!”

จือวั่นชางที่คุกเข่าอยู่ปากยังคงแข็ง แต่น้ำเสียงเริ่มสั่นเล็กน้อย หวังทงกล่าวเสียงก้องว่า

“คนทำการค้ากับเจ้าล้วนรู้ เจ้าบอกว่าเจ้ารับซื้อให้ทางการ เหมือนกับขายให้ร้านสามธารา เจ้าไม่ใช่ว่าส่งคนมาสอบถามราคาทางข้าว่าให้เพิ่มสามส่วน ขายหรือไม่ด้วยไม่ใช่หรือ?”

ท้องถนนเริ่มส่งเสียงดัง อยู่ๆ ก็วิพากษ์วิจารณ์ดัง จือวั่นชางลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก็กล่าวเสียงแหบขึ้นว่า

“ใต้เท้า เห็นแก่อ๋องไต้……”

เขายังพูดไม่จบ ก็ได้ยินเสียงเอะอะดังมาจากปากทาง มีทหารเข้ามารายงานว่า

“ใต้เท้า ซื่อจื่อ[1]มา!!”

………………….

[1] ซื่อจื่อ เป็นคำเรียกขานบุตรชายคนโตที่จะได้รับสืบทอดตำแหน่งอ๋องต่อจากบิดา

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version