ตอนที่ 73 เหตุการณ์พลิกผัน ตอบแทนอย่างสาสม
“ผู้ใหญ่บ้านเจ้าดูแลอย่างไรกัน! ปล่อยให้เด็กน้อยทำร้ายตัวเองได้ พวกเจ้าเลอะเลือนกันหรือไง!?”
หมอผู้นั้นเดินออกมาจากในห้อง ไม่สนใจผู้คนที่สวมชุดขุนนางในบ้านเหล่านั้น ดุด่าขึ้นทันทีด้วยสีหน้าโมโห เห็นได้ชัดว่าโมโหมาก
บรรดาคนที่อยู่ในลานบ้านต่างไม่ใช่พวกที่ยอมเป็นที่รองรับอารมณ์ แต่เมื่อถูกหมอผู้นี้ตำหนิเอาก็กลับไม่โต้ตอบสักคำ หวังทงสงบสติอารมณ์ลงก้าวไปด้านหน้า ประสานมือถามว่า
“ท่านหมอ อาการเด็กคนนั้นเป็นอย่างไรบ้าง?”
หมอผู้นั้นถอนหายใจกล่าวว่า
“เด็กคนนี้บริเวณนั้นถูกตัดไปแล้ว ข้าทำได้ก็แค่ห้ามเลือด รักษาไว้ไม่ได้”
ซุนต้าไห่และหม่าซานเปียวพอได้ยินผลเช่นนี้ ก็เป็นเดือดเป็นแค้นขึ้นทันที หวังทงยกมือตบหน้าผาก กล่าวเสียบแหบว่า
“ไม่เกี่ยวกับท่าน พี่จาง มอบเงินค่ารักษาให้ท่านหมอสามเท่า ถามด้วยว่าต้องรับยาอะไรไหม”
หมอผู้นั้นไม่คิดว่าผลจะเป็นเช่นนี้ มองที่ก้อนเงินในมือก็รีบโค้งคำนับขอบคุณ และกลับไปเปิดใบสั่งยาในห้อง
พอเดินเข้ามาในห้อง เห็นเจ้าจินเลี่ยงใบหน้าซีดขาวนอนอยู่บนโต๊ะ กำลังร้องไห้ด้วยความเจ็บปวด หลี่หู่โถวก็ไม่อาจทนได้อีกต่อไป ร้องไห้ไปพูดไปว่า
“ล้วนโทษข้า หากข้าดูแลเจ้าให้ดี เจ้าก็จะไม่บาดเจ็บ”
พอได้ยินเสียง เจ้าจินเลี่ยงที่นอนอยู่ก็หันหน้ามา กลั้นความเจ็บปวดกล่าวกับหลี่หู่โถวว่า
“พี่หู่โถว ไม่เกี่ยวกับพี่ เสี่ยวเลี่ยงเองที่จะเป็นขันที พอเป็นขันทีก็จะได้แก้แค้นแทนท่านพ่อท่านแม่…”
เด็กน้อยร้องไห้จนเสียงแหบแห้งแล้ว แต่ที่พูดมานั้นทำให้หวังทงสั่นเทาอยู่ในใจ ทนฟังต่อไปไม่ได้ เขาเข้าไปลูบหัวหลี่หู่โถวกล่าวว่า
“ดึกแล้ว เสี่ยวเลี่ยงก็ต้องพักผ่อน หู่โถวเจ้ากลับไปก่อนเถอะ เชื่อข้า พรุ่งนี้ค่อยมาเยี่ยมเสี่ยวเลี่ยง”
หลี่หู่โถวสะอึกสะอื้นพยักหน้า หันมามองก่อนเดินออกจากประตูไป หมอผู้นั้นดึงหวังทงไว้ส่งสายตาเป็นสัญญาณบ่งบอกว่ามีเรื่องต้องออกไปพูดด้านนอก
ร่างกายช่วงล่างบาดเจ็บ การดูแลและฟื้นฟูนั้นยุ่งยากมาก หมออดไม่ได้ที่จะกำชับ กล่าวอย่างลังเลว่า
“หากใต้เท้ามีช่องทาง ส่งเด็กคนนี้เข้าวังไปเถอะ บาดเจ็บถึงเพียงนี้ อาการบาดเจ็บนั้นยากที่จะหายดี มิสู้ให้หมอหลวงตอนให้หมด ดีกับสุขภาพ…บาปกรรมแท้ หากไม่ได้อยู่ข้างวังหลวงเช่นนี้ เด็กน้อยอายุแค่นี้จะรู้เรื่องชายตอนว่าเป็นอย่างไรได้อย่างไร…”
นี่เป็นเรื่องที่ไว้จัดการวันหน้า หวังทงให้ซุนต้าไห่ไปเช่ารถใหญ่มาคันหนึ่ง ใช้ผ้าห่มห่อตัวเจ้าจินเลี่ยงขึ้นรถกลับบ้าน
รอจนมาถึงบ้าน หวังทงถึงได้พบว่าก่อนออกไปไม่ได้ปิดประตู เขาอุ้มเจ้าจินเลี่ยงอย่างระมัดระวัง จางซื่อเฉียงเดินไปเปิดประตู พอเปิดออกก็ต้องตกตะลึง เอ่ยขึ้นว่า
“ใต้เท้า เหมือนมีคนเข้ามาในบ้านหลังนี้…”
บ้านพักขององครักษ์เสื้อแพรถึงกับมีขโมยกล้าเข้ามา หวังทงอึ้งไป ในบ้านมีของสำคัญไม่น้อย ส่งเด็กน้อยให้จางซื่อเฉียงก่อนจะรีบวิ่งเข้าไป ไม่สนใจหีบที่ถูกรื้อค้นระเกะระกะด้านนอก หยิบเทียนจุดเดินเข้าห้องนอนไปทันที
แสงเทียนเล่มเดียวเท่านั้น แต่กลับทำให้ในห้องเป็นสีทองสะท้อนแวววาว หวังทงเย็นวาบในใจ รีบลดแสงไฟลงด้านล่าง ก็เห็นแท่งทองกระจัดกระจายเต็มพื้น
นี่ไม่ใช่ว่าเก็บซ่อนไว้ในช่องลับหรือ ขยับไฟแสงเทียน ก็เห็นปืนสั้นที่ได้มาจากมาเก๊ากระบอกนั้น ช่องลับถูกคนค้นกระจัดกระจาย
ดูเหมือนแท่งทองไม่หายไป ปืนสั้นของหายากก็ยังอยู่ แต่สมุดเล่มหนาที่ได้มาจากหอรวมคุณธรรมนั้นหายไปแล้ว!!
หวังทงคำรามด้วยความโกรธ มองไปที่รอยเท้าบนผ้าปูเตียงอย่างโกรธแค้น เมื่อสักครู่ใจร้อน ไม่แน่ว่ามีคนไม่น้อยจับจ้องบ้านตนอยู่ อย่าว่าแต่ไม่ได้ใส่กุญแจประตู แม้ว่าใส่ เกรงว่าก็คงมีโจรปีนเข้ามาอยู่ดี
เคราะห์ซ้ำกรรมซัดจริง เรื่องโชคร้ายพากันมาเยือน นอกห้องได้ยินเสียงบ่นนางหม่าดังมา นางหม่ารักเจ้า จินเลี่ยงมาก เกิดเรื่องเช่นนี้ ก็คงเสียใจไม่น้อย อาสามาขอเฝ้าเอง หวังทงไม่อยากให้เรื่องนี้ต้องทำให้ทุกคนวุ่นวายใจกันอีก
ได้แต่สูดลมหายใจเข้าลึกๆ สงบจิตสงบใจลงก่อนจะเดินออกไปกล่าวว่า
“เหมือนมีหมาแมวเข้ามา ของล้มพังไปหมด แต่ไม่มีอะไรหาย น้าหม่า คืนนี้น้านอนเป็นเพื่อนเสี่ยวเลี่ยงแล้วกัน ลำบากท่านอีกแล้ว”
“ลำบากอะไรกัน เด็กน้อยน่าสงสาร พ่อแม่ก็มาจากไป ยังต้องพบเรื่องเลวร้ายอย่างนี้อีก…”
กำชับนางหม่าสองสามประโยค หวังทงก็พาจางซื่อเฉียงและซุนต้าไห่วิ่งไปที่หอรวมคุณธรรม คนพวกนี้สามารถเข้ามาในบ้านตนได้ แล้วที่หอรวมคุณธรรมทำอย่างไร
พอไปถึงบ่อน องครักษ์เสื้อแพรสองคนที่เฝ้ายามกำลังผิงไฟไล่ความหนาว และหัวเราะคุยกันอยู่ที่นั่น พอเห็นหวังทงมาก็ตกใจ หวังทงไม่พูดมากความ ตรงเข้าไปเรือนด้านหลังทันที
ดังคาด กระดาษคำสั่งแปะกันพื้นที่ถูกฉีกออก มือปราบสองคนรีบอธิบาย บอกว่าตอนบ่ายมีคนหนึ่งสัปหงกข้างโต๊ะพนัน อีกคนหนึ่งออกไปซื้ออาหาร…
ช่วงระยะห่างระหว่างด้านหน้าและด้านหลังบ้านหลังนี้ เป็นรูปแบบการก่อสร้างของบ่อนพนันที่แยกเรือนออกจากกันหลายเรือน มือปราบสองคนเฝ้าอยู่ประตูหน้า หากมีใครคิดจะทำอะไร ก็ป้องกันไม่ไหว หวังทงเองก็ขี้เกียจจะไล่เรียงเอาเรื่อง
คืนนี้ หลังจากจางเฉิงออกจากหอเลิศรสไป หวังทงก็ประสบแต่เรื่องขัดใจ ในใจก็โกรธมาก แต่กลับมีคำถามขึ้นว่า เรื่องซับซ้อนวุ่นวายของเหอจินอิ๋นตอนนี้ สิ่งที่เกิดขึ้นทุกเรื่องนั้นส่งผลกระทบมากกว่าจะเป็นแค่คดีสร้างสถานการณ์บีบคั้นให้คนตายเพื่อมุ่งเอาทรัพย์
หวังทงเดินอยู่บนถนนอย่างกลุ้มใจ ในใจก็ครุ่นคิดไป หรือว่าตนเองควรอัดดินปืนใส่ปืน พกติดตัวไว้
***
จางเฉิงในฐานะเป็นขันทีข้างกายฮ่องเต้ รองหัวหน้าสำนักส่วนพระองค์ การงานย่อมยุ่งวุ่นวาย หนึ่งเป็นเรื่องรายละเอียดปลีกย่อยของฮ่องแต้ว่านลี่ทุกๆ เรื่อง ตอนนี้เขาก็เหมือนกับพ่อบ้านตระกูลใหญ่ อีกประการหนึ่งก็งานในสำนักส่วนพระองค์ที่ไม่อาจละเลย ยามนี้เขายังเป็นขุนนางคนสำคัญคนหนึ่งในราชสำนักอีกด้วย
ณ ห้องตรวจฎีกาของสำนักส่วนพระองค์ ยามนี้มีจางเฉิงและขันทีน้อยเขียนหนังสืออีกสองสามคน ขันทีน้อยรีบส่งให้ จางเฉิงอ่านอยู่ภายใต้เสียงเทียนอย่างละเอียด สักพักก็หยิบพู่กันเขียนจดบันทึกลงไป
ค่ำคืนยิ่งดึก การทำงานของทุกคนต่างก็ผ่อนตามลง ขบวนขันทีตีฆ้องบอกเวลาด้านนอกเพิ่งเดินผ่านไป นอกห้องก็มีขันทีผู้หนึ่งรายงานเสียงเบาๆ ว่า
“เรียนบรรพชนรอง นำโจวกงกงมาแล้ว”
ระหว่างขันทีในวัง มักจะชอบนับถือเป็นบิดา เป็นพี่น้อง มหาขันทีสถานะสูงส่งที่สุด หลายคนในสำนักส่วนพระองค์และสำนักอาชาหลวง ขันทีน้อยในสายบังคับบัญชาก็มักจะเรียกอย่างเคารพว่า ‘บรรพชน’
แน่นอน บรรพชนใหญ่ย่อมเป็นเฝิงเป่า จางเฉิงตอนนี้เป็นอันดับสองในราชสำนักฝ่ายในก็ย่อมต้องเป็นบรรพชนรอง จางเฉิงวางฎีกาในมือลง เหลือบตาขึ้นกล่าวว่า
“ให้เขาเข้ามา พวกเจ้าถอยไป สองคนเฝ้าประตูห่างออกไปสามเชียะ หากมีคนมา ก็ตะโกนแจ้งนามแล้วค่อยรายงาน”
ขันทีน้อยรับคำอย่างนอบน้อม จางเฉิงขยับบิดกายที่เมื่อยขบสองสามที ได้ยินโจวอี้เอ่ยวาจานอบน้อมเกรงใจกับขันทีน้อยนำทางอยู่ด้านนอก
พอเดินเข้ามา การแต่งกายของโจวอี้วันนี้ต่างจากก่อน เดิมเป็นชุดสีแดงเข้ม ตอนนี้เป็นชุดดำยาวลายเสือ และที่แขนเสื้อกับส่วนล่างสุดยังกระชับแน่นกว่าชุดปกติ พอเข้ามาก็คุกเข่าอย่างนอบน้อม เอ่ยเสียงนอบน้อมว่า
“ลูกคารวะท่านพ่อบุญธรรม”
จางเฉิงโยนฎีกาในมือทิ้ง ยิ้มกล่าวว่า
“หลี่เฉิงเหลียงก็เป็นงานนี่นะ รู้จักเรียกร้องเหมือนทารกร้องไห้เรียกหานม ฎีกาก็ของบอีกแล้ว คิดว่าราชสำนักไม่รู้หรือว่าที่เหลียวตงนั่นเขามีกิจการเท่าไร?”
วาจาหยอกล้อกล่าวจบ จางเฉิงก็กล่าวกับโจวอี้อย่างนุ่มนวลว่า
“ลุกขึ้นเถอะ เราคนกันเองวันหน้าไม่ต้องพิธีรีตองเช่นนี้ ยกเก้าอี้มานั่งตรงนี้”
โจวอี้กล่าวขอบคุณก่อนจะรีบร้อนลุกขึ้น ย้ายเก้าอี้มาอย่างระแวดระวัง นั่งลงแค่เพียงขอบเก้าอี้ จางเฉิงพิงลงบนเก้าอี้กล่าวถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า
“งานที่สำนักอาชาหลวงคุ้นเคยหรือยัง? ฮ่องเต้ออกไปฝึกยุทธ์นอกวัง กองกำลังอารักขาที่ลานฝึกนั่นมีเจ้าเป็นหน่วยอารักขา ต้องตั้งใจเต็มที่”
โจวอี้พอได้ยินก็รีบลุกขึ้นรับคำ จากนั้นก็กล่าวต่อว่า
“ขอบคุณพ่อบุญธรรมที่สอนสั่ง ลูกทำงานเอกสารในสำนักขันทีส่วนใน พอไปที่สำนักอาชาหลวงก็เป็นงานใช้กำลังยุทธ์ ยังมีเรื่องที่ไม่คุ้นอีกมาก ลูกจะต้องตั้งใจเรียนรู้อย่างแน่นอน”
“อย่าได้คิดว่ารองขันทีซ้ายไปทำหน้าที่หน่วยอารักขาฝ่ายซ้ายกองกำลังมังกรเป็นการลดตำแหน่ง จางจิงหัวหน้าสำนักขันทีสำนักอาชาหลวงนั้นเป็นคนเก่าคนแก่จากสำนักบูรพาเราเหมือนกัน ย่อมต้องดูแลเจ้าเป็นพิเศษ จะว่าไป ที่เป็นผู้บัญชาการนั่นก็อายุมากแล้ว ช่วงก่อนหน้านี้ยังเห็นว่าอยากขอไปใช้ชีวิตวัยชราที่สำนักขันทีดูแลวัดหลวง ตำแหน่งนี้ก็รอเจ้าไว้แล้ว”
จางเฉิงเงยหน้าหลับตาลง กล่าวอย่างเหนื่อยอ่อน ขันทีหน่วยอารักขาฝ่ายซ้ายประจำกองกำลังมังกร ในวังนั้นไม่อาจขึ้นสู่ตำแหน่งมหาขันทีได้ แต่ผู้บัญชาการสำนักอาชาหลวงนั้นสามารถขึ้นสู่ตำแหน่งที่เรียกว่ามหาขันทีได้
พูดหยาบหน่อยก็คือ นั่นเป็นอีกก้าวหนึ่งที่จะข้ามจากชั้นกลางเข้าสู่ชั้นสูง โจวอี้รีบคุกเข่าโค้งคำนับขอบคุณ สีหน้าเขากลับไม่เห็นแววยินดีอะไร มาถึงขั้นนี้ ก็พอเดาได้แล้ว
“ลุกขึ้นๆ อยู่ข้างนอกเจ้ารับการคำนับจากผู้อื่น มาที่นี่ไยจึงได้ข่มตนเช่นนี้?”
ครั้งนี้โจวอี้นั่งลง จิตใจผ่อนคลายลงมาก จางเฉิงที่หลับตาอยู่ค่อยๆ หรี่ตาขึ้น ถามว่า
“หอรวมคุณธรรมคดีนั่นเกิดอะไรขึ้นกัน?”
สีหน้าโจวอี้ยังคงไม่เปลี่ยน เล่าเรื่องอย่างละเอียดรอบหนึ่ง จางเฉิงก็หลับตาลงอีก เอ่ยว่า
“เรื่องหวังทง ข้าเคยบอกเจ้าแล้วใช่ไหม ช่วยได้ก็ต้องช่วย ทำไมเรื่องเล็กแค่นี้เจ้ากลับหลีกหนี?”
น้ำเสียงยังคงเดิมไม่เปลี่ยนแปลง แต่โจวอี้กลับรีบลุกขึ้น เก็บมือในชายเสื้อ ก่อนจะคำนับพลางกล่าวอย่างนอบน้อมว่า
“ลัทธิไตรสุริยันกับสำนักฟ้าดินไตรสุริยันเป็นที่นับถือของคนในวังเราไม่น้อย หากให้หวังทงสืบคดีต่อไป อย่างไรคงต้องเดือดร้อนถึงพ่อบุญธรรมแน่ หวังทงผู้นั้นนิสัยแข็งกร้าวตรงไปตรงมา ห้ามไม่ฟัง จึงทำได้เพียงแค่ไม่สนใจเขา ให้พบขวากหนามก็คงกลับมาเอง”
“ไตรสุริยันหมาแมวอะไรกัน ในวังยังมีคนเชื่อเรื่องบ้าๆ บอๆ พวกนี้อยู่หรือ? ทำไมข้าไม่รู้ เฝิงกงกงเชื่อเรื่องนี้ไหม? จางจิงเชื่อเรื่องนี้ไหม? เสี่ยวโจวเจ้าก็เชื่อเรื่องนี้หรือ?”
ทุกคำถามว่า เชื่อเรื่องนี้หรือ ทำให้โจวอี้ต้องก้มหัวต่ำลง พอถามถึงตัวเขา ก็ทนต่อไปไม่ไหว คุกเข่าโครมลงกับพื้นทันที รีบกล่าวว่า
“ท่านพ่อบุญธรรม เรื่องลัทธิมารพวกนี้ ลูกไม่เชื่อเด็ดขาด แต่ในวัง แค่ผู้ใหญ่ที่ลูกรู้ก็มีหลินกงกงขันทีข้างกายท่านอ๋องลู่ เถียนกงกงขันทีในห้องทรงงานสำนักส่วนพระองค์ ทุกคนเคารพบูชาลัทธิไตรสุริยันกัน สืบขึ้นมาแล้วเกรงว่าจะพัวพันกันเป็นการขัดขวางทางท่านพ่อบุญธรรมขอรับ!”
จางเฉิงค่อยๆ ยืดตัวนั่งตรง แล้วหยิบฎีกาขึ้นมาเล่มหนึ่ง เปิดออกพูดอย่างไม่ยี่หระสิ่งใดว่า
“วันนี้เราถึงได้รู้ว่าพี่หลินเชื่อเรื่องนี้ด้วย…”
เตาติดไฟอยู่ในห้อง แต่กลับไม่รู้สึกถึงความอบอุ่น คำพูดของจางเฉิงทำเอาแผ่นหลังโจวอี้ชุ่มไปด้วยเหงื่อทันที รีบหมอบ กล่าวอย่างหนักแน่นว่า
“สร้างสถานการณ์มุ่งเอาทรัพย์ บีบบังคับคนถึงตาย ความชั่วไร้ความเป็นคนเช่นนี้ ในเมืองหลวงย่อมไม่มีที่ให้มันได้ยืนต่อ พรุ่งนี้ลูกจะส่งคนไปจัดการที่ศาลซุ่นเทียน ต้องสืบให้กระจ่างให้ได้”
จางเฉิงมองฎีกา สีหน้าไม่เปลี่ยนน้ำเสียงคงเดิมว่า
“เจ้าเด็กน้อยสงบสติก่อน คิดการให้รอบคอบ เจ้าไม่อยากจะล่วงเกินผู้ใด นอบน้อมเกรงใจทุกคน เมื่อครู่ขันทีเล็กนำทางเจ้ามาเจ้ายังแสดงท่าทีนอบน้อม เอาแต่มองขวามองซ้ายมากไป กลับลืมมองหัวจรดเท้า ระวังล้มนะ…”
ศีรษะโจวอี้จรดติดพื้น สั่นเทาไปทั้งตัว ตกใจจนพูดไม่ออก
***
เช้ามืดวันที่ 16 เดือนหนึ่ง ในเมืองหลวงยังคงหลับใหลอย่างเหน็ดเหนื่อยไปกับงานรื่นเริงเมื่อคืน ท้องถนนเงียบสงัดผิดปกติ เรือนด้านหลังหอรวมคุณธรรม ประตูเปิดออกนานแล้ว
บ่อนพนันทิศใต้ เรือนด้านหลังแน่นอนย่อมหันไปทางทิศเหนือ เป็นเรือนที่ไม่เห็นแสงตะวัน ขายไม่ได้ราคา ตรอกทางเข้าก็แคบ ฝั่งตรงข้ามประตูเป็นกำแพงของบ้านอีกหลังหนึ่ง มองแล้วขัดหูขัดตาที่สุด ดังนั้นตรอกทางเข้าชุมชนจึงเงียบสลัดไร้ผู้คนกว่าปกติ ไม่มีคนเดินผ่านไปมา
แสงอาทิตย์เริ่มส่องแสง ชายผู้หนึ่งสวมหมวกปีกกว้างแบกห่อผ้าไว้บนหลัง ยื่นหน้าออกมามองสองข้างทางไปมา รีบเดินออกมาอย่างรวดเร็ว หันไปใส่กุญแจประตู ยิ้มเล็กน้อยแล้วมองกุญแจ
แม้ใบหน้าอิดโรย แต่คนคุ้นเคยก็ยังคงจำได้ว่าเป็นเหอจินอิ๋น เหอจินอิ๋นดึงปีกหมวกต่ำลง ก่อนจะก้าวเดินออกไปด้านนอกอย่างรวดเร็ว
สีหน้าเหอจินอิ๋นผ่อนคลายมาก ในห่อผ้ามีสมุดที่ขโมยมาจากบ้านของหวังทง องครักษ์เสื้อแพรและมือปราบศาลซุ่นเทียนแม้จะค้นหาอย่างเข้มงวด แต่กลับคิดไม่ถึงว่าด้านหลังบ่อนก็เป็นของเหอจินอิ๋น เหอจินอิ๋นมองไปยังด้านหลังหอรวมคุณธรรมอย่างอดไม่ได้ ที่นี่เป็นที่ทำให้เขามีหน้ามีตามาหลายปี ตอนนี้ทำได้เพียงแค่รีบออกจากเมืองหลวง เพื่อจะได้หลบเลี่ยงหาเดือดร้อนใส่ตัว
เสียดายจริง! เหอจินอิ๋นอยากจะไปยืนมองหอคุณธรรมด้านหน้าตรงๆ จากที่ไกลๆ อีกสักครั้ง แต่ยามนั้นมีองครักษ์เสื้อแพรสองนายเฝ้ายามอยู่ ไม่เสี่ยงดีกว่า
ทันใดนั้น เสียงฝีเท้าเร่งรีบดังมาจากในตรอกชุมชน ด้านหลังนั้นเอง เหอจินอิ๋นหันไปมอง กลับไม่เห็นผู้ใดอยู่ตรงนั้น
เจอผีเข้าแล้วหรือ เหอจินอิ๋นอึ้งไป ในตอนนั้นเอง!
“ฉึก” บั้นเอวของเหอจินอิ๋นถูกของมีคมเสียบทะลุเข้า บาดแผลใหญ่ทำให้เหอจินอิ๋นต้องเงยหน้าอ้าปากกว้าง คิดจะตะโกนก็ตะโกนไม่ออก ได้แต่ส่งเสียงอู้อี้
ที่บั้นเอวไม่มีกระดูก ถูกของมีคมแทงและชักออกมาอย่างรวดเร็ว เหอจินอิ๋นคุกเข่าลงกับพื้น ของที่แทงลงไปชักออกไปแล้ว นาทีนั้น เหอจินอิ๋นรู้สึกว่าแรงกำลังทุกส่วนในร่างกายของตัวเองถูกสูบออกไปด้วย
เขาดิ้นรนคิดจะดูว่าคนที่แทงตนนั้นเป็นผู้ใด พยายามจะแหงนหน้ามอง
“ฉึก” ของมีคมแทงทะลุลำคอของเหอจินอิ๋น สัญญาณชีพดับลง เหอจินอิ๋นเงยหน้าอ้าปากกว้าง คุกเข่าลงกับพื้นตัวแข็งทื่ออยู่ตรงนั้น สิ้นลมหายใจ…