ตอนที่ 74 เช้าวันที่ 16 เดือนหนึ่ง
คืนวันที่ 15 เดือนหนึ่งปีที่ 5 ในรัชสมัยว่านลี่มีเรื่องเกิดขึ้นมากมาย แม้ว่าหวังทงจะเหนื่อยล้า แต่ก็นอนหลับอย่างสบาย เจ้าจินเลี่ยงที่อยู่ข้างบ้านยังตื่นขึ้นมาด้วยอาการเจ็บปวดกลางดึกอยู่หลายครั้ง
เดิมมีนิสัยตื่นเช้า จะนอนต่อก็รู้สึกว้าวุ่นใจ ตอนกระดาษบุหน้าต่างเป็นสีขาวก็ลุกขึ้นไม่นอนต่อแล้ว ปกติหอเลิศรสวันที่ 15 เดือนหนึ่งก็ควรจะเปิดกิจการแล้ว แต่เพราะต้องจัดการรักษาความปลอดภัยพร้อมกับลานฝึกหู่เวย ดังนั้นก็ต้องเลื่อนออกไปเป็นวันที่ 18 เดือนหนึ่ง หอเลิศรสจึงไม่เปิดร้าน หวังทงก็รู้สึกโหวงเหวง
มีสถานที่แห่งนี้ ตนเองก็มีช่องทางติดต่อกับคนในวัง ไม่เหมือนกับตอนนี้ที่อยู่ในภาวะพร้อมติตต่อฝ่ายเดียว อีกครึ่งหนึ่งอยู่ในภาวะถูกตัดขาด
หรือต้องไปจวนนายกองร้อยเถียนสักครั้ง ลุงเถียนมีประสบการณ์มาก คิดแล้วน่าจะให้คำแนะนำได้ หวังทงคิดไปก็เปิดประตูข้างบ้านไป
พอเปิดประตูออกก็ต้องตะลึงค้างไป มีคนหนึ่งเดิมนั่งพิงอยู่ที่ประตู พอประตูเปิดออก คนผู้นั้นก็ตกใจกระโดดขึ้นมา
“หู่โถว เจ้ามาอยู่ตรงนี้ได้อย่างไร?”
หลี่หู่โถวถือหอกสั้นอยู่ในมือ มองเขาด้วยท่าทางลนลาน มองสภาพเช่นนี้ของหลี่หู่โถวแล้ว หวังทงก็ตกใจถามต่ออีกว่า
“หรือเมื่อคืนเจ้าไม่ได้กลับบ้าน!!”
เห็นหลี่หู่โถวตัวสั่นเทาเล็กน้อย สีหน้าไม่ปกตินัก เห็นได้ชัดว่าหนาวจนแข็งอยู่ข้างนอกทั้งคืน เด็กสองคนนี้แปลกถึงที่สุด หลี่หู่โถวที่มักจะร่าเริงตลอดเวลา ตอนนี้กลับไม่พูด หวังทงก็ไม่คิดอะไรมาก เอ่ยต่อไปว่า
“รีบเข้าบ้านๆ ให้ย่าหม่าของเจ้าทำอะไรร้อนๆ ให้เจ้ากิน”
หลี่หู่โถวพยักหน้าหงึกๆ รีบเดินเข้าไป พอก้าวพ้นธรณีประตู จึงได้พูดงึมงัมว่า
“ขอบคุณท่านอาหวัง”
ไม่รู้ว่าทำไม หวังทงรู้สึกได้ว่าหลี่หู่โถวเคร่งเครียดมาก จึงเอื้อมมือไปขยี้หัวหลี่หู่โถวอย่างแรงสองสามที หัวเราะหยอกเย้าว่า
“ข้าตัวใหญ่ไปหน่อย อายุก็มากกว่าเจ้าสามปี เรียกท่านอาอะไรกัน เรียกพี่สิ”
หากเป็นยามปกติ หลี่หู่โถวคงจะยื่นหน้ายื่นตาหัวเราะคิกคัก แต่ตอนนี้กลับก้มหน้าก้มตาพูดว่า
“ขอบคุณพี่หวัง…”
จากนั้นก็รีบเดินเข้าห้องไป หวังทงส่ายหน้า สมองคนไม่ได้นอนทั้งคืนค่อนข้างไม่แจ่มใส ตอนเรียนมหาวิทยาลัยในโลกปัจจุบันก็ผ่านมามาก
ใจที่คิดจะไปบ้านลุงเถียนนั้นเอาไว้ก่อน รีบตามเข้าไปค้นหาเสื้อผ้าเก่าตอนเด็กๆ สองสามชุดในหีบ เตรียมจะให้หลี่หู่โถวเปลี่ยน หนาวเหน็บถึงกระดูกมาทั้งคืน เสื้อผ้าคงจะเย็นเป็นน้ำแข็ง
นางหม่าอายุมากแล้วแต่ก็ยังตื่นเช้า บ่นสองสามประโยคก็รีบไปต้มน้ำทำโจ๊ก หวังทงหาเสื้อผ้าออกมาได้ก็หันไปจะเรียกหลี่หู่โถวให้มาเปลี่ยนเสื้อผ้า พอหันไปก็เห็นหลี่หู่โถวนั่งอยู่บนเก้าอี้ มือทั้งสองกอดอก สายตาไร้จุดหมาย เหม่อลอยมองไปข้างหน้า
ดูท่าแล้วเรื่องที่เสี่ยวเลี่ยงนั้นคงสะเทือนใจเขาไม่น้อย หวังทงทอดถอนใจก่อนจะเอ่ยเรียกว่า
“อย่าเอาแต่เหม่อ รีบมาเปลี่ยนเสื้อผ้า”
นางหม่าสาละวนอยู่ในครัว หวังทงไปดูเจ้าจินเลี่ยงทางนั้น ในห้องมีกลิ่นเหม็นแปลกๆ กลิ่นผสมกันของเลือดและยา
หวังทงรู้สึกหวาดกลัวเจ้าจินเลี่ยงที่นอนอยู่บนเตียงเล็กน้อย ไม่รู้ว่าทำไม หากอายุน้อยแต่กลับโหดร้ายได้ถึงเพียงนี้ ความโหดร้ายนั้นยังไม่ได้ทำกับผู้อื่น แต่ทำกับตนเอง นี่เป็นการตัดสินใจขั้นเด็ดขาดขั้นไหนกัน
ใบหน้าเจ้าจินเลี่ยงซีดขาว พอเห็นหวังทงเข้ามา ก็ฝืนหันไปยิ้มให้กับหวังทง เรียกอย่างน่าเอ็นดูว่า
“ท่านอาหวัง…”
หวังทงถอนหายใจก่อนจะเอื้อมมือไปลูกหัวเด็กน้อย ปลอบใจเสียงนุ่มนวลว่า
“ไม่ต้องเป็นห่วง ร่างกายเจ้าหายดีเมื่อไร ทุกอย่างก็จะดีเอง”
เจ้าจินเลี่ยงพยายามฝืนพยักหน้าหงึกๆ หวังทงไม่รู้จะกล่าวอะไรต่อ ด้านนอกนางหม่าก็ตะโกนเสียงดังมาว่า
“โจ๊กเสร็จแล้ว หู่โถวเจ้ารีบออกมากิน ของเสี่ยวเลี่ยงรอประเดี๋ยวข้ายกเข้าไปให้ นายท่านก็ออกมากินสักหน่อยเถอะ!”
หวังทงเอ่ยรับคำ เดินออกมาก็เห็นหลี่หู่โถวก้มหน้าก้มตาเดินออกมาจากห้อง ด้านหลังเห็นเสื้อผ้าที่เปลี่ยนโยนอยู่บนพื้น
เด็กคนนี้แม้ว่าจะร่าเริง แต่ก็รู้ระเบียบ วันนี้ทำไมหลงๆ ลืมๆ เช่นนี้ ท่าทางจิตใจจะไม่อยู่กับเนื้อกับตัว หวังทงก็ไม่ได้เรียกเขา กลับตรงเข้าไปเก็บด้วยตัวเอง
หลี่เหวินหย่วนมีชีวิตที่ยากลำบาก หวังทงใจกว้างเรื่องเงินมาแต่ไหนแต่ไร ปีใหม่ปีนี้หากมีสายสัมพันธ์กับใครก็จะมอบเงินให้ไป หลี่เหวินหย่วนยังตัดเสื้อนวมสั้นสีน้ำเงินให้หลี่หู่โถวตัวหนึ่ง สวมแล้วดูดีมาก หลี่หู่โถวดีใจแทบตาย กลางวันสวมใส่อย่างระมัดระวัง กลางคืนก็พับเก็บอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย
หวังทงยังเคยล้อหลี่หู่โถวเรื่องนี้ แต่ตอนนี้พอเห็นเสื้อนวมสั้นสีน้ำเงินแสนรักตัวนี้ตกอยู่ที่พื้น ก็หยิบขึ้นมา อดรู้สึกงงไม่ได้อยู่ครู่หนึ่ง
บริเวณหน้าอกของเสื้อนวมมีคราบสกปรกเป็นจุดๆ กลายเป็นสีม่วงดำ หวังทงยื่นมือไปแตะด้านบน ยังชื้นๆ อยู่ เหมือนกับว่าแข็งอยู่ด้านนอก พอเข้ามาในห้องก็ดึงออก
สีที่ติดอยู่บนนิ้วเป็นสีแดงเข้ม ยกขึ้นมาดมดู มีกลิ่นคาวเลือดรุนแรง บนตัวเขามีคราบเลือดได้อย่างไร หวังทงยิ่งรู้สึกสงสัย
พอเดินออกประตูไปกำลังจะถาม นางหม่าก็ยกโจ๊กเดินเข้ามา เอ่ยขึ้นว่า
“นายท่านทานอะไรสักหน่อย เรื่องใหญ่เพียงใดต้องทานให้อิ่มท้องค่อยว่ากัน…”
ตอนพูดอยู่นั้น ด้านนอกก็มีคนมาเคาะประตูเรียก นางหม่าส่ายหน้า บ่นไปว่า
“เช้าขนาดนี้ ทำไมมาคนแล้วคนเล่า พระอาทิตย์ยังไม่ทันขึ้น นายท่าน ท่านไปเปิดประตู ข้าจะไปป้อนข้าวเสี่ยวเลี่ยง”
เรียกว่านายท่าน แต่ยังคงปฏิบัติต่อราวกับลูกหลาน หวังทงรู้สึกว่าอย่างนี้ก็ปกติดี จึงรับคำ รีบออกไปเปิดประตู หลี่หู่โถวนั่งอยู่กลางห้องโถง เหม่อมองโจ๊กสีขาวเบื้องหน้า ไม่แตะต้องสักคำ
เดินออกไปเปิดประตูออก ก็เห็นหลี่เหวินหย่วนมา ถามอยู่ตรงประตูก่อนว่า
“หู่โถวอยู่ที่บ้านใต้เท้าหรือไม่?”
หวังทงเพิ่งจะพยักหน้า หลี่เหวินหย่วนก็พุ่งเข้าไปด้านในด้วยความโกรธ เดินไปพูดไปว่า
“เจ้าลูกหมา เมื่อก่อนออกเล่นบ้าบอข้างนอก กลางคืนไม่รู้จักกลับมานอนบ้าน ตอนนี้ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง กลางคืนกล้าไม่กลับ ไม่รู้ว่าที่นี่มีคนป่วยต้องดูแลหรือไง มาสร้างความวุ่นวายอะไรเพิ่ม หากข้าเจอตัวนะ จะต้องจับมาลอกหนังออก”
เมื่อคืนหลี่หู่โถวไปไหนมา หลี่เหวินหย่วนก็ไม่รู้ ไม่กี่ก้าวก็เข้าไปในห้องโถง พอเห็นหลี่หู่โถวนั่งเหม่ออยู่ตรงนั้น หลี่เหวินหย่วนก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ เดินไปเบื้องหน้าก่อนจะตบหัวหลี่หู่โถวอย่างแรงหนึ่งที ด่าด้วยความโกรธว่า
“เจ้าลูกเต่า ไม่ได้เอาเชือกมัดเจ้าไว้ จะบินขึ้นฟ้าหรือไง!!”
หลี่หู่โถวกำลังอึ้งอยู่ถูกตบ ถึงกับร่วงจากเก้าอี้ลงไปกองกับพื้น เหม่อลอยไม่ขยับ หลังจากหลี่เหวินหย่วนตบไปหนึ่งที ตัวเองก็อึ้งไป ด่าอย่างไม่เข้าใจว่า
“เจ้าลูกหมา ปกติหลบเร็วยิ่งกว่าหมา วันนี้เป็นบ้าอะไร ถึงกับนั่งเซ่อให้ตบได้!!”
เพิ่งด่าจบ หลี่หู่โถวที่ร่วงไปนั่งที่พื้นก็เรียกขึ้นว่า ‘ท่านพ่อ’ จู่ๆ ก็แผดเสียงร้องไห้ดังลั่น น้ำหูน้ำตาไหลพูดอะไรไม่ออก
หลี่เหวินหย่วนจ้องมองฝ่ามือตัวเองยิ่งอึ้งไปกว่าเดิม พูดงึมงัมว่า
“ปกติโดนไม้ไผ่ตียังไม่ร้อง ทำไมฝ่ามือนี้ตีเอาถึงร้องแบบนี้ได้…ใต้เท้า หู่โถวเมื่อคืนเจอเรื่องอะไรที่นี่!!”
พ่อลูกใจถึงกันจริงๆ เห็นท่าไม่ถูกต้อง ก็รีบเอ่ยถามขึ้น หวังทงลังเลอยู่ว่าจะเล่าเรื่องที่หลี่หู่โถวทนหนาวอยู่ข้างนอกทั้งคืนให้หลี่เหวินหย่วนฟังดีหรือไม่ เมื่อคืนไปเจออะไรมา เขาก็ไม่รู้เหมือนกัน
หลี่เหวินหย่วนก้มลงไปอุ้มหลี่หู่โถวขึ้นมา ปากก็บ่นด่าไม่หยุดว่า
“บิดาเจ้าตอนอายุเท่าเจ้า ก็ฆ่าคนได้แล้ว นี่เจอกลิ่นคาวเลือดไม่กี่วัน ก็อ่อนยวบเป็นสตรีไปได้ ใช้ไม่ได้เลยจริงๆ”
แม้จะเอ่ยดุด่า แต่น้ำเสียงก็ผ่อนลงมาก คิดไม่ถึงว่าปลอบใจไปประโยคหนึ่ง เสียงหลี่หู่โถวก็ยิ่งดังขึ้น หลี่เหวินหย่วนจับต้นชนปลายไม่ถูกจริงๆ ไม่ต่อว่าอีก เอื้อมมือไปลูบหลังหลี่หู่โถวแทน ปลอบใจมือไม้เก้ๆ กังๆ
เด็กผู้ชายร้องไห้เร็วหยุดก็เร็ว หลี่หู่โถวพอได้ปล่อยโฮดังลั่นแล้ว ก็กลับคืนสู่ภาวะปกติ นั่งกินข้าวเงียบๆ ต่อ
หลี่เหวินหย่วนนั่งอยู่ข้างๆ อย่างงงๆ ไม่ต่อว่าอีก ตั้งแต่หลี่หู่โถวมาที่บ้านหวังทง จนหลี่เหวินหย่วนมา ก็เป็นเวลาไม่น้อยนัก
ในห้องเงียบสงัด เรือนด้านข้างได้ยินเสียงนางหม่าปลอบให้เจ้าจินเลี่ยงกินข้าวเสียงเบาๆ ยามนี้ด้านนอกเริ่มมีเสียงอึกทึกดังขึ้น
พระอาทิตย์ขึ้นแล้ว คิดว่าบนถนนคนเริ่มเยอะแล้ว ความเคลื่อนไหวมากกว่าปกติ ทุกคนไม่สนใจนัก คืนวานถึงเช้านี้ เรื่องน่าตื่นตกใจมีมากเกินไปแล้ว ทุกคนก็รู้สึกเฉยเมยแล้ว
หลี่หู่โถวเพิ่งกินโจ๊กเสร็จ นอกห้องโถงก็มีเสียงฝีเท้ารีบเร่งมาถึง หวังทงเพิ่งคิดได้ว่าตอนต้อนรับหลี่เหวินหย่วนเข้ามานั้นไม่ได้ปิดประตู
“ใต้เท้า เหอจินอิ๋นถูกแทงตายอยู่ด้านหลังหอรวมคุณธรรม ตอนพวกข้าน้อยมาที่นี่ พอดีได้ยินเสียงร้องตะโกนตื่นตกใจตรงถนนทางนั้น จึงรีบไปดู เป็นศพของเหอจินอิ๋นผู้นั้น”
ซุนต้าไห่ที่วิ่งเข้ามาในบ้านเอ่ยด้วยเสียงกระหืดกระหอบ
“เหอจินอิ๋นตายแล้ว!?”
ข่าวนี้ทำให้หวังทงและหลี่เหวินหย่วนที่นั่งอยู่ตรงนั้นถึงกับสั่นสะท้านพร้อมกัน หลี่เหวินหย่วนมองไปที่ซุนต้าไห่ทันที หวังทงได้สติมองไปทางหลี่หู่โถว หลี่หู่โถวได้ยินข่าวนี้ก็ตัวสั่นเทิ้มรุนแรงก่อนจะก้มหน้าลง
ตามนิสัยเขาแล้ว ควรจะกระโดดขึ้นจากเก้าอี้ร้องอย่างตื่นเต้นถึงจะถูก หวังทงหันไปกล่าวกับซุนต้าไห่ว่า
“เล่ามาให้หมด!!”
“ศพของเหอจินอิ๋นผู้นั้นคุกเข่าอยู่ที่นั่น รอยเลือดบนพื้นกองใหญ่ ใกล้จะเป็นน้ำแข็งหมดแล้ว ที่เอวมีบาดแผลใหญ่ ที่คอก็อีกบาดแผลหนึ่ง ดูเหมือนกับถูกแทงด้วยหอกยาว หอผ้าด้านหลังไม่มีใครกล้าแตะต้อง ข้าเลยเอามาด้วย”
ห่อผ้าเปื้อนเลือดวางลงตรงหน้าหวังทง เปิดออกดู ก็พบสมุดเล่มหนาเล่มนั้นที่หายไปเมื่อคืนวาน หายไปได้คืนหนึ่ง ช่างน่าสนใจนัก
หวังทงอดยิ้มมุมปากไม่ได้ กล่าวกับหม่าซานเปียวที่รีบเดินเข้ามาว่า
“ซานเปียว ที่ห้องนอนเจ้าที่พื้นมีเสื้อผ้าขาดๆ อยู่สองสามชุด เลอะของที่ล้างไม่ออก ห่อไปเผาที่เตาของหอเลิศรสให้หมด!!”
แม้ว่าหม่าซานเปียวจะไม่รู้ว่าทำไม แต่ก็รับคำอย่างงงงวย กำลังจะเข้าห้องไป หวังทงก็มองไปทางหลี่หู่โถวยิ้มพลางซ้ำทับไปอีกว่า
“ตรงหน้าประตูมีหอกสั้นด้ามหนึ่ง หักแล้วก็รวมเอาไปเผาในเตาด้วยเลย”