ตอนที่ 75 การพลิกผันครั้งใหญ่
ล้วนกล่าวกันว่าเดือนหนึ่งยังฉลองกันไม่เสร็จ นี่เป็นเรื่องในหมู่ประชาชน วันที่ 14 เดือนหนึ่ง หน่วยงานต่างๆ ในเมืองหลวงก็มารายงานตัวเข้างานกันเกือบครบแล้ว
วันที่ 16 เดือนหนึ่งศาลซุ่นเทียนเป็นปกติเหมือนเดิม เจ้าหน้าที่ศาลเข้าๆ ออกๆ งานยุ่งกันไม่หยุด
บอกไว้ก่อนแล้วว่า เจ้ากรมศาลซุ่นเทียนอยู่เมืองหลวงใกล้พระเนตรพระกรรณฮ่องเต้ เป็นแหล่งรวมบรรดาผู้มากบารมี ก็เลยเป็นเหมือนกับลูกสะใภ้ที่โดนรังแก ต้องดูแลผลประโยชน์ของทุกฝ่าย มิอาจล่วงเกินผู้ใดได้
โดยเฉพาะอย่างยิ่งบรรดาเรื่องเล็กๆ นอกเมืองอาจไม่จำเป็นต้องถึงทางการได้ แต่หากเกิดในเมืองหลวงแล้ว บางทีก็อาจเป็นเรื่องใหญ่ที่สำนักส่วนพระองค์และคณะเสนาบดีใหญ่ต้องลงมาสอบถามเองก็ได้
แต่ไม่ว่าอย่างไร เจ้ากรมศาลซุ่นเทียนก็เป็นถึงขุนนางระดับสาม สวมชุดขุนนางสีแดงชั้นสูง อำนาจเทียมฟ้า ต่อหน้าเขาอย่างไรก็ต้องรักษามารยาทตามธรรมเนียมราชการ
อย่างเช่นตอนนี้ โจวอี้ยืนอยู่ในโถงศาลซุ่นเทียนอย่างนอบน้อม เดิมตอนเป็นรองขันทีซ้าย ก็ยังพอกล้อมแกล้มนั่งเสมอกันได้ แต่ตอนนี้เป็นหน่วยอารักขาภายใต้สำนักอาชาหลวง ตำแหน่งในราชสำนักฝ่ายใน สถานะก็ลดลงกว่าเดิมหนึ่งขั้น บวกกับราชวงศ์หมิงที่ให้ค่าขุนนางบุ๋นมากกว่าบู๊ อย่างไรก็ไม่อาจจะนั่งเสมอกับขุนนางระดับสามได้
ในห้องโถง เจ้ากรมหวงเซินนั่งอยู่ตรงกลางอย่างเรียบร้อย ด้านซ้ายเป็นรองเจ้ากรมเฉินจื้อจงนั่งอยู่ ที่นั่งสองแถวมีเจ้าหน้าที่ศาลคนอื่นๆ นั่งกันกระจัดกระจาย
แม้ว่ามีคนนั่งมีคนยืน แต่หวงเซินกับเฉินจื้อจงที่นั่งอยู่ตรงนั้นกลับมีท่าทีเหมือนกับคุกเข่าอยู่ต่อหน้าโจวอี้ สีหน้าไม่สู้ดีนัก
“ใต้เท้าทุกท่าน ข้ามาวันนี้มิใช่งานหลวง เป็นเพียงแค่ตัวแทนมาฝากคนผู้หนึ่งแทนจางเฉิงกงกงแห่งสำนักส่วนพระองค์กับทุกท่าน นายกองธงใหญ่หวังทงองครักษ์เสื้อแพรประจำถนนทักษิณ นิสัยตรงไปตรงมา ซื่อสัตย์ต่อหน้าที่ ไม่อ่อนข้อให้กับพวกโจรร้าย นี่ถึงจะเป็นแบบอย่างขององครักษ์เสื้อแพร ศาลซุ่นเทียนเป็นศาลของประชาชนที่ศักดิ์สิทธิ์ ก็ควรจะเรียนรู้จากหวังทงผู้นี้ไว้เป็นแบบอย่าง ทุ่มเทแบ่งเบาภาระฮ่องเต้ รักษาความสงบสุขในเมืองหลวงถึงจะถูก”
ที่ใต้คางเจ้ากรมหวงเซินเหมือนกับได้รับบาดเจ็บ พยักหน้าหงึกๆ ใบหน้าเค้นยิ้มออกมาทำให้ผู้คนที่เห็น ดูก็รู้ว่าเสแสร้งออกมา ตอบว่า
“จางกงกงกล่าวได้ถูกต้อง จางกงกงภารกิจมากมายยังนึกถึงศาลซุ่นเทียนเราได้ รู้สึกซาบซึ้งยิ่งนัก รบกวนโจวกงกงช่วยเรียนจางกงกงแทนข้าด้วย ศาลซุ่นเทียนทุกคนย่อมไม่ปล่อยพวกชั่วช้าเลวทรามลอยนวล จะต้องลงโทษให้หนักและเด็ดขาด”
โจวอี้ได้ยินดังนั้นก็รีบคำนับตอบอย่างสุภาพ กล่าวด้วยรอยยิ้มว่า
“คำของใต้เท้าหวง ข้าน้อยจะต้องนำไปเรียนจางกงกงแน่นอน ใต้เท้าทุกท่าน ข้าน้อยยังมีงานต้องทำข้างนอกอีก ไม่รบกวนแล้ว ขออำลา”
กล่าวจบก็พยักหน้าคำนับสี่ทีก่อนจะหันหลังเดินออกมาด้านนอก บรรดาคนในศาลซุ่นเทียนยังจะวางท่าขุนนางใหญ่อะไรกันอีก โจวอี้แค่พยักหน้า บรรดาคนที่ได้สติก็รีบลุกขึ้นยืนประสานมือคารวะตอบอย่างนอบน้อมที่สุด พอลุกขึ้นยืนจึงได้รู้สึกตัวว่าไม่ถูกต้อง หากยืนก็ไม่ถูก หากนั่งก็ไม่ถูก เก้กังยิ่งนัก
พอโจวอี้ออกไป เจ้ากรมหวงเซินก็สีหน้าดำเคร่งเครียด ดูเหมือนกำลังคิดเรื่องอะไรอยู่ แท้จริงแล้วกำลังตั้งใจฟังว่าโจวอี้เดินไปไกลแล้วหรือยัง
แม้ว่าโจวอี้กล่าวไม่ตรงไปตรงมานัก แต่เจ้ากรมหวงและรองเจ้ากรมเฉินที่มีประสบการณ์สูงก็เข้าใจเจตนาของอีกฝ่ายได้ชัดเจน ขุนนางคนอื่นในห้องรู้สึกไม่เข้าใจ ทุกคนสอบถามกันด้วยความสับสนงงงวย
“ใต้เท้าเฉิน วันนี้ใต้เท้าหลี่ว์มาหรือยัง!”
เจ้ากรมหวงเซินไอกระแอมขึ้นก่อนจะเอ่ยถาม เจ้าหน้าที่พิจารณาคดีท่านหนึ่งด้านข้างก็รับคำอย่างงงๆ ว่า
“ใต้เท้า หลี่ว์วั่นไฉรับสินบน ถูกพักงานรอตัดสินอยู่!”
รองเจ้ากรมเฉินจื้อจงรู้ทันทีว่าควรพูดอะไร เขารีบลุกขึ้น กล่าววาจาเต็มไปด้วยคุณธรรมว่า
“ใต้เท้าหวง เรื่องนายกองหลี่ว์วั่นไฉรับสินบนถูกพักงานนั้น ข้าน้อยส่งคนไปตรวจสอบแล้วพบกว่าเป็นเรื่องไม่มีมูล ล้วนเป็นคนเลวใส่ความ ใต้เท้า ศาลซุ่นเทียนต้องติอต่อสัมพันธ์กับคนในเมืองหลวง ย่อมต้องล่วงเกินใครเข้า หากเราไม่แยกแยะให้ดี ทำให้เจ้าหน้าที่เราต้องก้มหน้ารับความผิดที่ไม่ได้ก่อ วันหน้าผู้ใดยังจะทำหน้าที่อย่างซื่อตรงกัน”
คนในห้องโถงทุกคน มองจ้องตากัน รองเจ้ากรมเฉินจื้อจงเป็นคนในพื้นที่มาหลายปี ถึงกับกล้าตำหนิเจ้ากรมต่อหน้า คิดไม่ถึงว่าปฏิกิริยาของเจ้ากรมกลับยิ่งทำให้ทุกคนงง ถึงกับยิ้มกล่าวว่า
“ใต้เท้าเฉินต้องว่ากันตรงๆ อย่างนี้สิ เจ้าหน้าที่พิจารณาคดีหลิว ไปบ้านนายกองหลี่ว์วั่นไฉสักครั้ง บอกเขาเรื่องคืนสู่ตำแหน่งเดิม…ใช่แล้ว ยังมีมือปราบสองคนนั่นอีก ชื่ออะไรนะ…”
“หวังซื่อ หลี่กุ้ย…”
“ใช่ๆ รีบไปตามกลับมา สองคนนี้ทำหน้าที่ขยันขันแข็ง ข้าว่าให้ทั้งสองเป็นหัวหน้ามือปราบละกัน!!”
หัวหน้ามือปราบไม่ใช่ตำแหน่งขุนนางเป็นทางการ แต่ก็มีมือปราบในสังกัดสิบกว่านาย นับว่าได้เลื่อนขั้นเล็กน้อย เรื่องที่ใต้เท้าเจ้ากรมตัดสิน และเรื่องไม่ได้ขัดกับผลประโยชน์ทุกคน ทุกคนก็ไม่มีใครค้าน พากันรับคำพร้อมเพรียงกล่าวชมว่าใต้เท้ายุติธรรม นั่นเป็นเรื่องที่ขาดไปไม่ได้
ขุนนางในห้องโถงทยอยเดินออกมาวุ่นวาย เหลือเพียงหวงเซินและเฉินจื้อจงสองคน ทั้งสองสบตากัน ถอนหายใจขึ้นพร้อมกัน เจ้ากรมหวงเซินกล่าวอย่างเหนื่อยอ่อนว่า
“คนในวังทำไมทำงานกันพิสดารอย่างนี้ ไม่รีบมาบอกกันแต่ต้น ใยต้องรอให้สถานการณ์เป็นเช่นนี้… แต่นี่มีสารจากเถียนกงกงมา แล้วยังมีสารจากจางกงกงอีก…”
“ใต้เท้า เถียนกงกงเป็นแค่ขันทีประจำห้องทรงงาน จางเฉิงจางกงกงผู้นั้นถึงจะเป็นขันทีข้างกายฮ่องเต้ รองหัวหน้าสำนักส่วนพระองค์ วันหน้าไม่แน่อาจเป็นตำแหน่งของเฝิงกงกงตอนนี้ก็ได้ ยังมีอีกนะ ใต้เท้าเห็นโจวกงกงได้รับตำแหน่งหน่วยอารักขาแล้ว ยังเป็นแค่คนส่งสารเหมือนเดิม เทียบกันดูอย่างนี้”
ใครหนักใครเบา สองคนที่ช่ำชองวงการขุนนางก็แยกกันแล้ว เจ้ากรมหวงเซินคิดถึงบุคคลทรงอำนาจผู้นั้นแล้วก็อดไม่ได้กล่าวว่า
“เทพเซียนมีเรื่องวิวาทกัน เราผู้ไม่เกี่ยวข้องกลับซวยไปด้วย”
สองคนถอนหายใจพร้อมกัน ไม่มีใครกล่าวอะไรอีก สองคนคิดไปแล้ว ตนเองได้ถูกดึงเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการแย่งชิงอำนาจในราชสำนักแล้ว หากไม่ถูกนำมาเป็นอาวุธต่อสู้ ก็เป็นแพะรับบาป คิดถึงการที่ตนเองลำบากตรากตรำอ่านตำรา สอบมาทีละขั้น อดทนกว่าจะก้าวมาถึงวันนี้ เงินทองวาสนากลับบินหนีไปแล้ว ชั่วขณะหนึ่งรู้สึกจิตใจได้กลายเป็นเถ้าถ่านไปแล้ว
เขาสองคนเป็นเจ้ากรมและรองเจ้ากรมศาลซุ่นเทียน นั่งหมดแรงอยู่ในห้องโถง และไม่มีผู้ใดกล้ามารบกวน เกือบครึ่งชั่วยามผ่านไป ข้างนอกก็มีเสียงรายงานดังก้องเข้ามาว่า
“ใต้เท้าหลี่ว์มาถึงแล้ว”
ประตูเปิดออก หลี่ว์วั่นไฉสวมชุดยาวธรรมดาเรียบร้อยเดินเข้ามา พอเข้ามากำลังจะโค้งกายคารวะ ก็ได้ยินเสียงหวงเซินกล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า
“วั่นไฉ ทำไมไม่สวมชุดขุนนางล่ะ?”
หลี่ว์วั่นไฉที่เดิมทีใจเต้นตึกตักคิดว่าหรือจะถูกเรียกมาศาลพิจารณาโทษ พอได้ยินเช่นนี้ ก็นึกถึงคำรับรองหนักแน่นของหวังทงเมื่อวาน ใจพลันนิ่งสงบลง ยิ้มตอบด้วยมารยาทว่า
“ใต้เท้าอย่าได้หัวเราะข้าเลย ปกติยุ่งกับงานหลวง ไม่ค่อยได้อยู่บ้านว่างๆ อยู่กับบิดามารดา ภรรยาและลูกก็แต่งตัวสบายๆ บ้าง”
เฉินจื้อจงที่อยู่ข้างๆ ก็เอ่ยอย่างจริงจังขึ้นมาว่า
“นายกองหลี่ว์ท่านทำไม่ถูกแล้วนะ เป็นขุนนางรับใช้ราชสำนัก เจ้าหน้าที่สืบคดีคอยรักษาความสงบประจำศาลซุ่นเทียน ทำงานหลวงเป็นความสำคัญอันดับหนึ่ง จะเอาแต่ครอบครัว ลืมแทนคุณแผ่นดินได้อย่างไร!”
หลี่ว์วั่นไฉสีหน้าจริงจัง รีบคำนับขอรับผิด แม้ว่าตำหนิเสียงเข้ม แต่ความหมายแฝงในวาจากลับเข้าใจได้ชัดเจน เจ้าคืนสู่ตำแหน่งแล้ว รีบมาทำงานที่ศาลแทนคุณแผ่นดินได้แล้ว!
นายกองหลี่ว์วั่นไฉไม่ได้รู้สึกดีใจอย่างที่คิดไว้ แต่กลับตื่นตกใจกับกำลังของหวังทง แท้จริงแล้วมีพลังอำนาจใหญ่เพียงใดกันแน่ หลังจากขันทีสำนักส่วนพระองค์มาส่งสารแล้ว ถึงกับทำให้ทุกอย่างพลิกกลับ ตนเองติดตามคนถูกต้องแล้ว เดิมพันนี้ถูกข้างแล้ว
“คำพูดของรองเจ้ากรมเฉินหนักไปหน่อย แต่ก็เป็นหลักที่ถูกต้อง นายกองหลี่ว์ คดีน่าเศร้าสลดบนถนนทักษิณนั่นเจ้าต้องสืบให้ถึงที่สุด ต้องคืนความยุติธรรมให้แก่เจ้าทุกข์ อย่าได้ปล่อยปละละเลยให้ผ่านเลยไปเด็ดขาด คดีนี้สำคัญนัก รีบไปแต่งชุดขุนนางมานำคนไปสืบคดีได้แล้ว!!”
หลี่ว์วั่นไฉรีบกล่าวคำขอบคุณ พร้อมท่าทีนอบน้อมกว่าเมื่อก่อนเท่าตัว แต่ในใจทุกคนเข้าใจดี หากคดีนี้ไม่มีเหตุเหนือความคาดหมาย พอสืบจบ ศาลซุ่นเทียนไม่ว่าใครก็ทำอะไรนายกองหลี่ว์ผู้นี้ไม่ได้
พอหันกายกำลังจะออกไป ด้านนอกก็มีเจ้าหน้าที่วิ่งเข้ามาอย่างรีบร้อน หลี่ว์วั่นไฉจำได้ว่านั้นเป็นคนสนิทของหวงเซิน จึงรีบหลีกทางให้
“ใต้เท้า มีคนบนถนนทักษิณมาแจ้งที่ศาลว่าเหอจินอิ๋นผู้นั้นถูกคนแทงตายอยู่ในตรอกเล็ก…”
บรรดาคนในห้องนอกจากคนที่มาส่งข่าวแล้ว ทุกคนล้วนสูดลมหายใจเข้าพร้อมกัน เรื่องราวยุ่งยากแล้ว เหอจินอิ๋นตายไปไม่ได้หมายความว่าคดีนี้จะจบลง
คนทำผิดตายแล้ว ตายอย่างมีเงื่อนงำ คนตายก็ไม่มีอะไรมาก แต่จะไปรายงานเบื้องบนอย่างไรล่ะ โดยเฉพาะจางกงกงที่ส่งคนมาเร่งคดีในวันนี้
สิ่งที่ยุ่งยากกว่านั้นก็คือ เรื่องนี้ไม่ใช่แค่เรื่องบ่อนพนันสร้างสถานการณ์บีบให้คนตาย ดูแค่บรรดาผู้มีบารมีที่ออกหน้าแทนก็รู้ว่าเรื่องนี้ไม่ง่ายนัก ยังไม่รู้ว่าน้ำลึกตื้นเพียงใด จะต้องเกี่ยวพันกับผู้มีบารมีคนใดเข้าอีก
หวงเซินและเฉินจื้อจงสบตากัน ตัดสินใจเหมือนกันอย่างไม่ได้นัดหมายว่า
“นายกองหลี่ว์ คดีนี้มีเงื่อนงำ ท่านต้องสืบให้ละเอียด สืบดูว่าใครเป็นคนฆ่ากันแน่ เป็นการล้างแค้นหรือปิดปากกันแน่ สืบให้ถึงที่สุด”
หลี่ว์วั่นไฉตอนจะออกไปสีหน้ายังคงกระหยิ่มได้ใจแต่ตอนนี้กลับขมวดคิ้วแน่น ได้แต่หันกายกลับมาคารวะรับคำสั่งอย่างเป็นการเป็นงานว่า
“ขอใต้เท้าทั้งสองวางใจ ข้าน้อยจะต้องสืบให้ถึงที่สุด”
ฎีกาจากสำนักส่วนพระองค์ในวังและหกหน่วยงานคณะเสนาบดีใหญ่ ฎีกาลับถึงราชสำนักโดยตรง ยังมีเอกสารหนังสือที่เร่งด่วนจากแต่ละพื้นที่ กองรวมกันอยู่ที่นี่
ขันทีหลายสิบคนสาละวนกับการคัดแยกไม่หยุด นำส่งขึ้นมาทีละฉบับ มหาขันทีเฝิงเป่าหัวหน้าสำนักส่วนพระองค์ตอนบ่ายมักจะอยู่ด้วยกันกับกลุ่มขุนนางในคณะเสนาบดีใหญ่และฮ่องเต้ว่านลี่ ที่นี่มีจางเฉิงรองหัวหน้าสำนักส่วนพระองค์คอยจัดการอยู่ด้วย พอนั่งลงตรงกองเอกสาร ไม่กาสีชาดลงไป ก็ลงคำสั่งว่าต้องนำทูลฮ่องเต้
ขันทีประจำห้องทรงงานคนอื่นๆ นั่งอ่านเอกสารที่ไม่สำคัญนักอยู่ตรงนั้นด้วย ทันใดนั้นเอง จางเฉิงก็ร้องพร้อมตบโต๊ะไปทีหนึ่ง ก่อนจะกล่าวเนิบนาบว่า
“เถียนอัน เผ่ามองโกลรุกล้ำชายแดน รายงานด่วนเช่นนี้ ทำไมเพิ่งส่งมา?”
ถูกตำหนิไปเช่นนี้ พู่กันในมือของเถียนอันวางลงบนโต๊ะ รีบลุกขึ้นยืน ยังไม่ทันได้เอ่ยอธิบาย วาจาของจางเฉิงก็รุนแรงขึ้นว่า
“เรื่องใหญ่การทหารเป็นการงานในหน้าที่ไม่ทำ กลับไปเบ่งบารมีที่ศาลซุ่นเทียน เจ้าปฎิบัติหน้าที่ยังไง!!!”