ตอนที่ 76 เรื่องน่าตกใจ
เถียนอันอายุ 40 กว่า ปีนี้ได้ฝากตัวเป็นลูกบุญธรรมมหาขันทีหวงจิ่น ขันทีคนสนิทอดีตฮ่องเต้เจียจิ้ง เฝิงเป่าและจางเฉิงกับคนอื่นๆ ล้วนมีความสัมพันธ์อันดีกับหวงจิ่น เถียนอันผู้นี้มาตามเส้นทางสายตรงของห้องทรงอักษร ปีที่สองแห่งรัชสมัยว่านลี่ก็ได้มาเป็นขันทีในห้องทรงงานสำนักส่วนพระองค์
ราชสำนักฝ่ายในเล่ห์กลอุบายลวงมากมาย หากมาถึงระดับสำนักส่วนพระองค์ได้นั้น ทุกคนจะพูดจะจาก็จะไว้หน้ากันอยู่หลายส่วน มีอะไรก็ไม่ใคร่จะว่ากล่าวกันตรงไปตรงมา
เมื่อจางเฉิงดุด่าไปสองสามประโยคก็ไม่พูดอะไรอีก เอาแต่สนใจอ่านฎีกาของตน เถียนอันยืนหน้าซีดขาวอยู่ตรงนั้น ไม่รู้ว่าตนเองจะนั่งลงหรือยืนต่อไปดี
ไม่ว่าขันทีประจำห้องทรงงานคนอื่นๆ หรือขันทีน้อยที่ทำงานกันยุ่งอยู่ก็พากันปิดตาข้างหนึ่ง สนใจแต่งานของตน แต่ในใจทุกคนคิดเหมือนกันว่าเถียนอันน่าสงสารไม่น้อย
ก็ไม่รู้ว่าเถียนอันไปล่วงเกินใครเข้า หลังจากเหตุการณ์ในวันนี้ไปแล้ว ตำแหน่งย่อมรักษาไว้ไม่ได้
พระอาทิตย์ด้านนอกลอยสูงมากแล้ว เมืองหลวงก็เริ่มวุ่นวายขึ้น
งานด่วนที่โจวอี้ว่านั้นไม่ใช่งานหลวง เขาออกมาจากศาลซุ่นเทียนก็รีบไปที่ถนนทักษิณ โจวอี้ตอนนี้รู้ดีว่าการที่ตนเล่นแผนวางตัวเองไว้นอกวงนั้นเป็นความผิดพลาดอย่างไร แต่สำนึกได้ก็สายไปเสียแล้ว ทางเดียวที่ทำได้ก็คือชดเชย
คนที่ไวพอก็น่าจะสัมผัสได้ว่าสองสามวันนี้โจวอี้ตีตัวออกห่างหวังทง หากอยู่ๆ จะสนิทสนมขึ้นมาอีก ก็คงทำให้รู้สึกกระอักกระอ่วนใจแทน
โจวอี้ผู้ซึ่งเพิ่งมาดำรงตำแหน่งหน่วยอารักขากองกำลังมังกรแห่งสำนักอาชาหลวงเข้าใจหลักการนี้เป็นอย่างดี เขาเพียงแค่ไปเยี่ยมเยือนอย่างสุภาพ นัดหวังทงไว้ตอนบ่ายว่าจะไปดูลานฝึกด้านหลังด้วยกัน ปรึกษากันว่าเด็กที่ส่งมาลานฝึกจะพักอยู่ที่ไหน จากนั้นค่อยกล่าวอำลาอย่างมีมารยาท
ตอนโจวอี้มาถึง หวังทงและคนอื่นๆ เพิ่งจะกลับจากไปดูศพเหอจินอิ๋น ก็พบว่าเขาไปหลบซ่อนตัวที่บ้านหลังนั้น พอส่งโจวอี้กลับ ทุกคนก็เริ่มสนทนากัน
“กรรมตามสนอง!!”
หม่าซานเปียวและพวกมีนิสัยพูดตรงไปตรงมากำลังสนทนากัน ออกรสออกชาติสุดขีด แม้แต่นางหม่าที่ดูแลเจ้าจินเลี่ยงอยู่ด้านในก็อดพูดออกมาไม่ได้ว่า ‘สมน้ำหน้า’
หลี่หู่โถวที่ดูไม่ปกติตั้งแต่เช้า หลังจากเสื้อผ้าและหอกสั้นถูกเผาไปแล้ว ก็กลับคืนสู่สภาพปกติกว่าเดิม หลี่เหวิน หย่วนเห็นบาดแผลเหอจินอิ๋นก็เงียบไปครู่หนึ่ง พอกลับมาถึงห้องโถง ก็เอาแต่ลูบศีรษะชื่นชมหลี่หู่โถว โดยไม่กล่าวอะไร
หวังทงไม่รู้วิธีการตรวจสอบบาดแผล แต่เมื่อเห็นบาดแผลเหอจินอิ๋นแล้ว ในหัวเขาก็มีแต่ภาพหลี่หู่โถวถือหอกสั้นและแผ่นไม้เข้ามาในห้วงความคิด
“โจวกงกงมาเยือน ทุกคนรู้สึกสบายใจกันแล้วใช่ไหม”
สัมผัสได้ถึงบรรยากาศผ่อนคลายในห้อง หวังทงอดไม่ได้เอ่ยหยอกล้อขึ้น จางซื่อเฉียงเป็นผู้มีประสบการณ์มาก เขาเอ่ยขึ้นเบาๆ ว่า
“เหอจินอิ๋นเป็นแค่คนคุมบ่อนตัวเล็กๆ กลับพัวพันกับหลายฝ่ายมากมายเพียงนี้ แม้ว่าคนตายไปแล้ว แต่เรื่องต่อจากนี้ย่อมไม่ง่ายแน่นอน ใต้เท้าต้องระมัดระวังรอบคอบให้มาก”
“เรื่องถึงขั้นนี้แล้ว มีบางเรื่องต้องคุยกับทุกคนให้ชัดเจน ไม่ว่าตระกูลเจ้าหรือเหอจินอิ๋นที่นั่นล้วนตรวจพบพุทธรูปไตรสุริยัน เรื่องนี้ต้องเกี่ยวข้องกับลัทธิไตรสุริยันแน่นอน เพียงแต่ข้าไม่รู้ว่าลัทธิไตรสุริยันนี้เก่งกล้าถึงเพียงไหน ถึงกับสามารถมีสายสัมพันธ์ใหญ่โตเพียงนี้ได้…”
พอกล่าวออกมา คนในห้องต่างมองหน้ากัน ครู่หนึ่งซุนต้าไห่ถึงได้ส่ายหน้ากล่าวว่า
“ก็ไม่เห็นมีอะไรน่าแปลกตรงไหน ที่ถนนหนิวหลันพวกที่เชื่อเรื่องพวกนี้ล้วนเป็นพวกนิรนาม เป็นพวกกเฬวรากชั้นต่ำ…”
“นิรนาม?”
ข้อสงสัยของหวังทง ทุกคนไม่รู้สึกแปลกอะไร ใต้เท้าผู้นี้มีบางเรื่องมองได้ทะลุปรุโปร่ง แต่ความรู้รอบตัวทั่วไปกลับไม่เข้าใจ หรืออาจเป็นลักษณะเฉพาะของพวกมีปัญญาเฉลียวฉลาดกัน
“ปีที่สองในรัชสมัยว่านลี่รับชายตอนกลุ่มหนึ่งเข้าวัง พวกโง่เง่าคิดจะแสวงหาอำนาจเงินทองก็เลยตอนตัวเอง คิดจะเข้าวังเก็บเกี่ยวเงินทองวาสนา แต่ในวังไหนเลยจะต้องการคนมาถึงเพียงนี้ ตอนตัวเองแล้วแต่ไม่อาจเข้าวังได้ แม้แต่จะไปเป็นข้ารับใช้ก็หาได้ไม่ จวนเสนาอำมาตย์หากใช้งานชายตอนก็จะมีโทษประหารทั้งโคตร นับประสาอะไรกับพวกพ่อค้าคหบดี คนเหล่านี้หากมีกำลังก็ออกไปแย่งชิงปล้นเอา หากไร้กำลังก็จะขอทานเลี้ยงชีพ เท่ากับว่าชายตอนไร้ที่ไปจะถูกเรียกว่าพวกนิรนาม นอกเมืองในเมืองมีอยู่ไม่น้อย และมักจะกราบไหว้บูชาพุทธไตรสุริยัน…”
ยิ่งพูดก็ยิ่งซับซ้อน ก็แค่สืบคดีเล็กๆ คิดจะให้ความยุติธรรม คิดไม่ถึงว่าจะยิ่งพัวพันลึกมากขึ้น มีคนกำลังจะพูดขึ้น นางหม่ากลับออกมาไล่
“ไปคุยกันหน้าหอเลิศรสไป เมื่อคืนเสี่ยวเลี่ยงปวดแผลทั้งคืน เพิ่งจะหลับไป ยังถูกพวกเจ้าส่งเสียงดังเอะอะปลุกตื่นขึ้นมาอีก รีบออกไปเร็วๆ”
คนทั้งกลุ่มยิ้มแห้งพากันเดินไปด้านหน้า ในหอเลิศรสมีพ่อครัวคนงานกำลังปัดกวาดเตรียมงานกันอยู่ ไฟที่เตาจุดมาแต่เช้าแล้ว ทำให้อบอุ่นยิ่งนัก
เพิ่งจะเดินเข้าไป หลี่เหวินหย่วนก็ดึงหวังทงไว้ กระซิบกล่าวว่า
“ใต้เท้า เจ้าเสี่ยวเลี่ยงในเมื่อพิการไปแล้ว และยังเป็นเด็กเล็กขนาดนี้ ส่งเข้าวังไปเถอะ ใต้เท้าก็สนิทสนมกับกงกงในวัง”
หวังทงพยักหน้าหงึกๆ คิดว่าเป็นเพราะหลี่เหวินหย่วนได้ยินที่หลี่ว์วั่นไฉเล่าถึงพวกนิรนามเมื่อครู่เป็นแน่ ตอนนี้ดูแล้วน่าจะเป็นทางออกเดียวของเจ้าจินเลี่ยง
ขณะคุยกันอยู่นั้น ด้านนอกก็มีเสียงโหวกเหวกดังเข้ามา เป็นเจ้าหน้าที่สืบคดีหลี่ว์วั่นไฉกับหวังซื่อและหลี่กุ้ยเดินเข้ามา ตอนเปิดประตูออกยังเห็นคนแต่งชุดมือปราบไม่น้อยยืนอยู่ด้านหลัง
เมื่อม่านประตูเปิดออก หลี่ว์วั่นไฉก็รีบก้าวมาหน้าประสานมือคารวะ หวังซื่อกับหลี่กุ้ยทั้งสองกลับคุกเข่าลงกับพื้นโขกศีรษะสองสามทีแล้วจึงลุกขึ้นยืน
หลี่ว์วั่นไฉทำความเคารพขุนนางผู้ใหญ่ มือปราบสองนายกลับเล่นใหญ่กว่า นึกถึงรอยยิ้มบนใบหน้าของโจวอี้ตอนที่มาเยือนแล้ว พอเห็นการทำความเคารพอย่างยิ่งใหญ่ของคนเหล่านี้แล้ว หวังทงก็เข้าใจในบัดดล หัวเราะถามว่า
“ใต้เท้าหลี่ว์คืนสู่ตำแหน่งเดิมแล้ว หวังซื่อ หลี่กุ้ย พวกเจ้าก็ได้เลื่อนเป็นหัวหน้าแล้ว”
“หากมิใช่บารมีใต้เท้า ไหนเลยพวกเราพี่น้องจะมีโชคเช่นนี้ วันหน้าใต้เท้าว่าอย่างไร เราพี่น้องย่อมบุกน้ำลุยไฟไม่บ่นสักคำ”
ถูกพักงานครั้งนี้ แล้วยังได้คืนสู่ตำแหน่งอีก ทำให้หลี่ว์วั่นไฉ หวังซื่อและหลี่กุ้ยสนิทสนมกันมากขึ้นอีก พวกเขาย่อมรู้ว่าการได้กลับคืนมานี้เป็นเพราะเหตุใด บัดนี้จุดยืนของพวกเขาชัดเจน หวังทงก็คือฟ้าเบื้องบนของพวกเขา
กล่าววาจาตามมารยามกันสองสามประโยค หวังทงก็เอ่ยถามว่า
“ใต้เท้าหลี่ว์ ใยท่านนำมือปราบมามากมายเพียงนี้?”
“ใต้เท้าหวังหากไม่ดูแคลนข้าน้อย ก็อย่าได้เรียกว่าใต้เท้า เรียกพี่หลี่ว์เถิด มือปราบเหล่านี้มาเพื่อสืบคดีไง?”
“สืบคดีอะไร เหอจินอิ๋นตายไปแล้วไม่ใช่หรือ?”
หวังทงประหลาดใจเล็กน้อย คดีน่าเศร้าตระกูลเจ้าก็เป็นเหอจินอิ๋นสร้างสถานการณ์มุ่งเอาทรัพย์สินบีบคั้นจนถึงแก่ชีวิต ในเมื่อเหอจินอิ๋นตายแล้ว คดีก็จบแล้ว บางทีเบื้องหลังอาจมีเรื่องมากมายที่ไม่อาจจะพูดออกมาให้กระจ่างชัดได้ แต่หวังทงก็ไม่อยากจะพัวพันมากกว่านี้ ซื่อสัตย์ต่อหน้าที่เป็นเรื่องหนึ่ง ไม่เกินหน้าที่ตนก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
ซับซ้อนเพียงนี้ หากสืบลึกลงไปอาจนำภัยใหญ่หลวงมาถึงตัว…
“ใต้เท้าอาจไม่รู้ จางกงกงในวังเช้าวันนี้ส่งโจวกงกงมาที่ศาลซุ่นเทียนไต่ถามเรื่องราว กำชับให้สืบคดีนี้”
เห็นสีหน้าหวังทง หลี่ว์วั่นไฉคิดว่าพอจะเข้าใจความหมายของอีกฝ่าย ถอยหลังไปหนึ่งก้าวยิ้มกล่าวว่า
“ในเมื่อเป็นความต้องการของจางกงกง ศาลซุ่นเทียนย่อมต้องปฏิบัติงานให้ถึงที่สุด ใต้เท้าหากทางนี้ไม่มีอะไรแล้ว ข้าน้อยจะนำคนไปสืบคดีต่อ หากมีเรื่องอันใดเกิดขึ้น ขอใต้เท้าโปรดดูแล”
หวังทงพยักหน้านิ่ง หลี่ว์วั่นไฉนำหวังซื่อกับหลี่กุ้ยแหวกม่านประตูกำลังจะก้าวออกไป หวังทงกลับตะโกนเรียกเอาไว้ กล่าวเสียงเรียบว่า
“หากพบเบาะแสอะไร มาบอกข้าได้ตลอดเวลา!”
“เรื่องนั้นแน่นอน ใต้เท้าโปรดวางใจ!!”
ได้ยินวาจาเช่นนี้ของหวังทง หลี่ว์วั่นไฉก็สบายใจ เดินนำคนออกไปด้วยท่าทางมั่นใจ
จางเฉิงคิดจะใช้โอกาสนี้โจมตีอีกฝ่าย หวังทงคิดจะคืนความยุติธรรมให้กับตระกูลเจ้า ศาลซุ่นเทียนคิดจะปฏิบัติภารกิจ สามฝ่ายจุดมุ่งหมายต่างกัน วิธีการก็ต่างกัน แต่เป็นความบังเอิญที่ลงตัวพอดี คดีนี้จึงยิ่งถูกผลักให้ไกลขึ้น ลงลึกยิ่งขึ้น
เจ้าหน้าที่และมือปราบศาลซุ่นเทียนส่วนใหญ่เป็นคนรู้จักพื้นที่ในเมืองหลวงดี เชี่ยวชาญเส้นทาง รู้จักคนตั้งแต่ระดับล่างถึงระดับสูง หากตั้งใจสืบคดีจริงๆ แล้ว ย่อมได้ผลลัพธ์สูงสุด
หลี่ว์วั่นไฉออกมาจากหอเลิศรส เดินไปที่ร้านน้ำชามงคล เขาหาที่นั่งที่ดีนั่งในร้าน ส่งเจ้าหน้าที่มือปราบทั้งสี่ออกไปสืบข่าวคราวก็ค่อยๆ มาทีละสาย
บรรดาเจ้าหน้าที่มือปราบต่างสอบถามทีละบ้าน บริเวณบ้านเรือนบนถนนทักษิณกับถนนโดยรอบ หวังซื่อนำมือปราบแปดนายพร้อมองครักษ์เสื้อแพรที่เฝ้าอยู่ ร่วมกันตรวจค้นเรือนด้านหลังกับหอรวมคุณธรรมอย่างละเอียด
ผู้เชี่ยวชาญทำงานย่อมแตกต่างกัน เจ้าหน้าที่และมือปราบศาลซุ่นเทียนตรวจค้นหอรวมคุณธรรมครั้งนี้นับว่าเป็นการเปิดหูเปิดตาบรรดาองครักษ์เสื้อแพร ทุกคนถือไม้สั้นในมือเคาะตามกำแพงและพื้นของเรือนด้านหลังกับหอรวมคุณธรรมทุกตารางนิ้ว พอมีเสียงผิดปกติก็จะเอามีดสั้นออกมาขุดตรวจ
ไม่นานนักก็พบว่าเรือนข้างของบ่อนมีช่องลับใต้พื้นหินดาดแห่งหนึ่ง ข้างในมีไหกระเบื้องใหญ่ห้าใบ ด้านบนใช้กระดาษอาบน้ำมันปิดเอาไว้ เมื่อแนบตัวลงไปที่ปากทางลับก้มลงฉีกกระดาษออก ก็เห็นก้อนเงินเงาวาววับอยู่ในนั้น ทุกใบล้วนเป็นเช่นนี้ หวังซื่อสีหน้านิ่งดังเดิม ใช้ไม้ทุบไหอีกสี่ใบ กล่าวด้วยรอยยิ้มว่า
“พบของกลางของโจรหนึ่งไห ยกขึ้นมาระวังหน่อย ปิดตายพื้นที่นี้ไว้ ให้พี่น้องเราคนหนึ่งกับพี่น้ององครักษ์เสื้อแพรเฝ้าเอาไว้”
ทุกคนทำงานกันมานาน ใยจะไม่เข้าใจแผนของหวังซื่อ คนจำนวนหนึ่งพากันแบกไหกระเบื้องออกมาจากบ้านอย่างทุลักทุเล และยังแปะกระดาษคำสั่งปิดตายประตูบ้าน องครักษ์เสื้อแพรและมือปราบยืนเฝ้าประตูไว้ ใบหน้าปิดบังความยินดีไว้ไม่มิด
“…ร้านขนมเคยยืมเงินเหอจินอิ๋นไปสิบห้าตำลึง ตอนนี้เพิ่มเป็นห้าสิบ…”
“…หอรุ่งเรืองเคยยืมเงินเหอจินอิ๋นไปห้าสิบตำลึง ตอนนี้ทุกเดือนต้องคืนห้าตำลึง คืนมาได้สองปี……”
“…ตระกูลหลิวสามคนยืมเงินมาสามตำลึงรักษาลูก เดือนสิบเอ็ดปีที่แล้วขายบ้านไป จึงใช้หนี้หมด…”
“…ตระกูลซุนที่ตรอกโบตั๋น ผู้ชายแพ้พนัน ของในบ้านทั้งหมดคืนเหอจินอิ๋น ผู้หญิงถูกขายซ่อง อุ้มลูกโดดบ่อ…”
หลี่ว์วั่นไฉใช้ฝาถ้วยชาปาดปากถ้วยก่อนจะซดชาร้อนอย่างระมัดระวัง สีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง ก็แค่พวกปล่อยกู้ดอกสูง ไม่มีอะไรน่าตกใจ
“ใต้เท้าๆ บ่อนพนันและเรือนด้านหลังขุดพบช่องทางลับ มีเงินหนึ่งพันตำลึงที่เรือนด้านหลังนั้น…ที่นั่นขุดพบขวาน 20 หอกยาว 11 ยังมีธนูอีก 2 !!”
หลี่ว์วั่นไฉมือสั่น ถ้วยชาร่วงลงบนพื้น