Skip to content

องครักษ์เสื้อแพร 77

ตอนที่ 77 เข้าสู่ความขัดแย้ง

ขวาน 20 เล่มไม่มีอะไรน่าสนใจ ชาวบ้านต่อสู้กันส่วนใหญ่ก็มีอาวุธ แต่หอกยาวกับธนูนั้นต่างกัน ชาวบ้านมีไว้ครอบครอง มีโทษถึงตัดหัว

ในยามสงคราม ทหารราบและทหารม้าส่วนใหญ่ใช้หอกยาว และธนูก็เป็นอาวุธระยะไกลที่ทรงประสิทธิภาพในสมัยนี้ ชาวบ้านมีไว้ครอบครอง คิดก่อกบฏแน่นอน

หอรวมคุณธรรมปล่อยกู้ดอกสูง เรื่องถึงเบื้องบนแต่ก็เป็นเพียงหัวหน้านักเลงหัวไม้ชั้นล่าง แม้แต่ผู้เก่งกล้าในยุทธภพ หากทางการเอาจริงเอาจังขึ้นมา ก็สู้อะไรไม่ได้

แต่การขุดพบหอกยาวและธนูออกมาได้นั้น เรื่องนี้ย่อมแตกต่างออกไป คิดดูแล้วนี่อาจจะเกี่ยวข้องกับการก่อกบฏ คิดโยงไปถึงบรรดาคนที่ออกหน้าแทนเหอจินอิ๋น ตนเองเข้ามาข้องเกี่ยวกับเรื่องใหญ่อันใดกันแน่ จะหาภัยเดือดร้อนมาสู้ตนถึงเพียงใด ประตูร้านน้ำชาเปิดอยู่ ด้านในไม่ร้อน

แต่แผ่นหลังหลี่ว์วั่นไฉกลับชุ่มไปด้วยเหงื่อ เจ้าหน้าที่ที่อยู่ด้านข้างสีหน้าหนักใจ เห็นชัดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องยุ่งยากใหญ่หลวงนัก

“เถ้าแก่ เก็บเงิน!”

เสียงแหลมบาดหูที่โต๊ะเก็บเงินปลุกหลี่ว์วั่นไฉให้รู้สึกตัว เขาสะบัดหัวไปมา ก่อนจะกวักมือเรียกมือปราบให้เข้ามาใกล้ ก่อนจะกระซิบว่า

“บอกคนด้านล่างว่า ตอนนี้ข้าจะไปอยู่ที่หอเลิศรส พวกเจ้าค้นหาต่อไป มีเรื่องอะไรอย่าวิพากษ์วิจารณ์กันดังไป ให้มารายงานที่หอเลิศรส เข้าใจไหม!!”

ลูกน้องพยักหน้าหงึกๆ รีบวิ่งออกไปทันที หลี่ว์วั่นไฉปาดเหงื่อเดินไปจ่ายเงิน เบื้องหน้ากลับมีขันทีน้อยผู้หนึ่งที่มาดื่มชากำลังค้นหาเศษเงินอยู่ ดูท่าทางใจร้อนยิ่งนัก

*****

บนถนนตรวจค้นกันวุ่นวาย แต่หอเลิศรสทางนั้นกลับไม่มีเรื่องอะไร หลี่เหวินหย่วนกำลังฝึกสอนหลี่หู่โถวกับหม่าซานเปียวอยู่

ซุนต้าไห่กับจางซื่อเฉียงพอรู้เรื่องของที่ขุดได้จากบ่อน ก็รีบนำคนไปทันที เมื่อตอนใกล้ถึงเวลาอาหารกลางวัน โจวอี้ก็มา ดึงหวังทงไปดูเด็กที่มาใหม่ด้วยกัน

เจ้าหน้าที่และมือปราบลงมือตรวจค้นกันวุ่นวายบนถนน ความเคลื่อนไหวนี้สามารถปิดบังการมาถึงของเด็กเหล่านี้ หวังทงกำลังเพิ่งจะนึกถึงเรื่องนี้อยู่พอดี ว่าตัวเองควรจะอยู่ในสถานะนักเรียนของลานฝึกหรือครูฝึก อย่างไหนจะดีกว่ากัน

จุดประสงค์ทั้งหมดก็เพื่อทำให้ฮ่องเต้พอพระทัย และใกล้ชิดฮ่องเต้มากขึ้น…

“สิบกว่าครอบครัวฝั่งตรงข้ามของถนน ทุกครอบครัวจัดเด็กไปสองสามคน ให้เงินและเสบียงพวกเขาตามกำหนด เด็กๆ จะได้มีคนดูแล นัดเดียวได้นกสองตัว!!”

โจวอี้รู้สึกภูมิใจกับการจัดการของตน สิบกว่าวันมานี้ เขาหลบหน้าหวังทง การจัดการลานฝึกหู่เวยนี้ ช่วงแรกจัดการไปตามที่หวังทงต้องการ ช่วงหลังไม่มีใครเสนอแนะอะไร โจวอี้จึงได้แต่ทำตามความคิดของตัวเอง คิดไม่ถึงว่าหวังทงจะส่ายหน้า เอ่ยอย่างนอบน้อมว่า

“โจวกงกง ซื้อบ้านสองสามหลัง เปิดลานบ้าน กินและอาศัยอยู่รวมกัน จะได้เป็นเอกเทศ แต่ห้ามเกินสิบคน”

โจวอี้ฟังแล้วก็งง หวังทงรู้ว่าอธิบายให้อีกฝ่ายเข้าใจแนวคิดการใช้ชีวิตแบบหมู่คณะไปก็คงไม่ได้เรื่องอะไร ได้แต่ส่งยิ้มเน้นย้ำไปว่า

“ฟังข้าน้อย ไม่พลาด…”

มองเด็กๆ ที่กำลังแบกสัมภาระเข้าบ้านของชาวบ้านไป หวังทงก็อึ้ง จ้องมองอยู่นานก่อนจะเอ่ยถามขึ้นว่า

“นี่เป็นเด็กที่คัดเลือกมาจากที่ใดกัน เกรงว่าไม่ใช่เด็กจากครอบครัวประวัติดีธรรมดาทั่วไปกระมัง!”

คำว่าโจวกงกงในประโยคเมื่อสักครู่นั้นทำเอาโจวอี้กลุ้มใจไปพักใหญ่ ก้าวผิดไปหนึ่งก้าว ก็พลันผิดไปหมด ตอนนี้เขากังวลว่าหวังทงไม่อยากให้เขามาดูแลลานฝึกแห่งนี้ หากเป็นเช่นนั้น โอกาสเข้าใกล้ฮ่องเต้ก็คงหลุดลอยไป

หากตอนนี้หวังทงยังคุยกับเขาได้ และท่าทางนับว่าน่าเกรงใจอยู่ ยังคงพอมีทางแก้ไข หวังทงแปลกใจกับบรรดาเด็กเหล่านี้มาก เขามีความสูงใกล้เคียงกับผู้ใหญ่ หนึ่งเพราะหวังลี่รักลูกมาก อาหารการกินก็จะให้อย่างเต็มที่ที่สุด สองเพราะหวังทงรู้สึกถึงสภาวะอันตราย ตั้งแต่เริ่มเดินได้ก็จะเริ่มออกกำลังกาย แต่เขานับเป็นส่วนน้อย ไม่อาจนับเป็นตัวอย่างได้

แต่ตอนนี้เด็กเหล่านี้แม้ไม่ได้น่าแปลกมากนัก ร่างกายแข็งแรงกำยำกันทุกคน แม้สู้หวังทงไม่ได้ แต่ก็สูงกว่าคนรุ่นราวคราวเดียวกันอยู่เล็กน้อย

และการขยับเคลื่อนไหวร่างกายก็มีท่วงท่า ฝึกกับหลี่เหวินหย่วนได้สองสามวัน หวังทงก็มองออกว่า ‘เด็กจากครอบครัวประวัติดี’ ร้อยกว่าคนเหล่านี้เคยฝึกมาก่อน

“น้องหวังมองออกหรือ?”

โจวอี้ยิ้มหยอกล้อ เขาเขยิบเข้าใกล้หวังทงอีกนิดก่อนจะกระซิบว่า

“ความปลอดภัยฮ่องเต้เป็นเรื่องสำคัญอันดับหนึ่งในใต้หล้า ข้างนอกป้องกันหลายชั้น ข้างในนี้ก็ต้องจัดด้วย แม้ว่าไทเฮาทรงต้องการเด็กจากครอบครัวสามัญชนทั่วไปที่มีประวัติดี แต่ใต้เท้าหลายท่านให้ความเห็นร่วมกันว่า เลือกเอาจากครอบครัวทหารในเมืองหลวงและในเขตตอนเหนือมาเลยแล้วกัน ถ้ามาจากกองกำลังพิทักษ์ชาติก็เลือกครอบครัวระดับนายกองร้อยขึ้นไป จากกองทัพก็เอานายกองพันขึ้นไป ยังเลือกจากสำนักอาชาหลวงในวังมาอีกหลายสิบคนจึงได้ครบพอดี”

หวังทงยิ้มฝืดๆ ส่ายหน้า เด็กเหล่านี้รวมตนเองแล้ว ยังมีบรรดาครูฝึกอีกสองสามคนนั้น เกรงว่าในยามฉุกเฉินคงเป็นด่านป้องกันสุดท้ายแล้ว

แต่ปัญหาไม่ใช่ตรงนี้ หากเป็นฮ่องเต้ว่านลี่ที่ค่อนข้างเตี้ยกว่าบรรดาคนรุ่นราวคราวเดียวกัน มารวมกับบรรดาลูกหลานนายทหารกลุ่มนี้เข้า เกรงว่าจะเข้ากันไม่ได้ ดูท่าแล้วคงต้องเพิ่มหลี่หู่โถวเข้ามาจริงๆ อย่างน้อยความสูงก็ใกล้เคียงกัน

“น้องหวัง ครั้งนี้เป็นเพราะเรื่องเหอจินอิ๋น จางกงกงโกรธมาก หากไม่เช่นนั้นเจ้าว่าคนศาลซุ่นเทียนใยจึงได้ทำงานกันแคล่วคล่องว่องไวกันถึงเพียงนั้น!”

“น้ำใจของจางกงกง ข้าน้อยย่อมจดจำไว้…”

กล่าวถึงตรงนี้ หวังทงกับโจวอี้ก็หยุดนิ่ง เพราะเห็นหลี่ว์วั่นไฉวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามา มีบางอย่างไม่สะดวกจะกล่าวให้ผู้อื่นได้ยิน

ได้ยินเรื่องหอกยาวและธนู สีหน้าโจวอี้ก็จริงจังขึ้นมา เรียกหวังทงไปดูด้วยกัน พอไปถึงที่นั่น ก็ให้ทุกคนที่ไม่เกี่ยวข้องถอยออกไป มีเพียงสามคนเดินเข้าไป

ช่องลับนี้มีความสูงเท่ากับคน ด้านล่างของช่องลับแทบจะว่างเปล่า หวังทงและทั้งสามคนถือตะเกียงไต่บันไดลงไป มีดดาบและลูกธนูถูกห่อไว้อย่างเรียบร้อย ที่มุมหนึ่งมีห่อที่มีรูขาดเพราะบรรดาเจ้าหน้าที่ศาลเพิ่งฉีกขาดไปตอนลงมาเมื่อครู่

แต่อาวุธทางการทหารเหล่านี้เป็นเพียงแค่มุมเดียว หวังทงถือตะเกียงเดินตรวจรอบหนึ่ง ช่องลับว่างเปล่าไม่มีรูหนูและขยะ พื้นห้องราบเรียบ

เดิมทีในนี้วางอะไร หวังทงอดคิดไม่ได้ แต่โจวอี้และหลี่ว์วั่นไฉกลับนั่งยองลงตรวจสอบอาวุธ มองดูหอกยาวทั้งสองและธนูอีกหนึ่งคันแล้ว โจวอี้ก็กล่าวงึมงัมขึ้นว่า

“นี่เป็นอาวุธจากร้านลับ…”

โรงอาวุธทางการล้วนเป็นบรรดาช่างที่ทำงานราวกับทาส อาวุธที่ทำออกมาก็มักจะคุณภาพย่ำแย่ อาวุธที่ทำได้ปราณีตจริงๆ มักมาจากร้านลับผิดกฎหมายทางการ

โจวอี้มองแล้วมองอีกก็ลุกขึ้นทันที น้ำเสียงเอาจริงเอาจังว่า

“อาวุธผิดกฎหมายจากร้านลับ แล้วยังใกล้กับวังหลวงถึงเพียงนี้ เดี๋ยวข้าจะให้ทหารจากกองกำลังมังกรมาเฝ้าที่นี่เอาไว้ ขออำลาก่อน ข้าต้องกลับเข้าวังไปรายงาน!!”

เพิ่งจะปืนขึ้นกระไดไปได้สองก้าว หลี่ว์วั่นไฉก็อดไม่ได้เอ่ยเตือนว่า

“โจวกงกง อาวุธจากร้านลับผิดกฎหมายในยุทธภพก็ไม่ใช่ว่าจะน้อย พวกโจรนอกเมืองนั่นก็มีปืนไฟ เพียงแต่ขุนนางแต่ละระดับล้วนปิดบังกันเอาไว้เท่านั้น”

โจวอี้ได้ยินดังนี้ก็ลังเลอยู่บนกระไดครู่หนึ่ง แต่ก็ยังคงกล่าวว่า

“อย่างไรก็ต้องรายงานให้จางกงกงทราบ ขออำลาก่อน”

หวังทงตรวจสอบโครงสร้างช่องลับอย่างละเอียด ในใจก็คิดว่าวันหน้าที่บ้านตนนั้นจะสร้างของแบบนี้ไว้ด้วยดีหรือไม่ หลี่ว์วั่นไฉเขยิบเข้าใกล้กล่าวว่า

“ใต้เท้าหวัง พวกเราขึ้นไปกันเถอะ”

เดินออกจากบ้านมาไม่กี่ก้าว หลี่ว์วั่นไฉก็เข้าไปกระซิบเบาๆ ว่า

“ไม่อาจปิดบังใต้เท้า เหอจินอิ๋นตอนนี้เป็นเพียงแค่นักเลงเปิดบ่อนพนันล่อลวงทรัพย์สินและปล่อยกู้โหด อาวุธพวกนี้นอกจากคิดจะสร้างให้เป็นเรื่อง มิเช่นนั้นก็ไม่กระไรนัก”

หวังทงพยักหน้า ยังคงก้าวฝีเท้าต่อไป หลี่ว์วั่นไฉทำเหมือนกับที่ปรึกษา เดินตามไปกระซิบไปว่า

“ข้าน้อยเป็นเจ้าหน้าที่สืบคดีมาเกือบสิบปี ช่วงสี่ห้าปีมานี้ คดีในเมืองที่เกิดขึ้น คดีปล่อยกู้โหดล่อลวงทรัพย์พวกนี้ เบื้องหลังส่วนมากก็มีเงาของลัทธิไตรสุริยันนี้ แต่ก็ถูกปิดบังเอาไว้…เมื่อครู่ที่ร้านน้ำชาได้ยินเจ้าหน้าที่ศาลรายงานมา พร้อมของที่ตรวจพบมาได้ ก็เกือบแปดพันตำลึง”

เป็นเงินก้อนใหญ่จริง หวังทงถึงกับอึ้งไป หลี่ว์วั่นไฉกล่าวถึงตรงนี้ก็มีท่าทีลังเลอย่างเห็นได้ชัด มองหวังทงที่สีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง กัดฟันก้าวตามเข้าไปพูดต่อว่า

“เหอจินอิ๋นแค่ตัวเล็กๆ สองปีที่ผ่านมาหาเงินได้มากมายขนาดนี้ ในเมืองหลวงแต่ละแห่งเกรงว่าไม่ได้มีแต่เหอจินอิ๋นผู้นี้ผู้เดียว ที่นั่นมีเงินมหาศาลไหลเข้ามากขนาดไหนกัน ข้าน้อยเสี่ยงตายเรียนใต้เท้าสักหน่อยว่า นี่เหมือนช่องทางลัดที่ไม่ถูกต้องนัก มั่วๆ หาชาวนาหญิงโง่สักคนออกมาหาเงินก็ไม่แปลกอะไร เพียงแต่ส่งคนออกมาหอบเงินโจ่งแจ้งแบบนี้ แล้วยังเป็นเงินที่มากขนาดนี้….”

หวังทงหยุดฝีเท้าลง ในใจเขาตกใจกับคำพูดที่หลี่ว์วั่นไฉกล่าวมา แต่ยามนี้ไม่มีหนทางทำอะไรได้ ได้แต่กล่าวอย่างนุ่มนวลว่า

“เรื่องพวกนี้ที่พี่หวังกล่าวกับข้านั้น ข้าจะจดจำไว้ แต่ตอนนี้ข้าเป็นเพียงแค่นายกองธงใหญ่ จะไปทำอะไรได้…”

กล่าวถึงตรงนี้ หวังทงก็กล่าวสำทับอีกว่า

“ในเมื่อยามนี้ศาลซุ่นเทียนเริ่มสอบสวนถึงที่สุดแล้ว ต่อหน้าจางกงกงมีโอกาสข้าจะช่วยอีกแรง ให้ได้สืบสวนถึงที่สุด”

สองคนสบตากัน จากนั้นก็เดินต่อไปเงียบๆ ถูกดึงมาท่ามกลางความขัดแย้งผิดที่ผิดทางเช่นนี้ เป็นใครก็คงไม่รู้สึกยินดีนัก แต่ตอนนี้ก็ตัดสินใจอะไรเองไม่ได้แล้ว

พอกลับถึงบ้าน นายกองธงเล็กในบังคับบัญชาของหวังทง พร้อมกับหวังซื่อและหลี่กุ้ยอีกสองคนก็อยู่ที่นั่น ทุกคนมีสีหน้าตื่นเต้น บนพื้นมีหีบใหญ่วางอยู่สี่ใบ พอเห็นหวังทงเข้ามา ซุนต้าไห่ก็กระตือรือร้นรีบเข้าไปรายงานว่า

“ใต้เท้า พื้นข้างใต้บ่อนมีเกือบหกพันตำลึง หนึ่งพันตำลึงนำส่งทางการ เมื่อสักครู่พี่น้องเราเอาเงินที่เหลือขึ้นมาจากช่องลับใส่หีบย้ายมานี่ รวยแล้ว พวกเรารวยแล้ว!”

****

ตอนฟ้าใกล้มืด ในวังหลวง ณ ที่พักของหูกงกงประจำสำนักดูแลพระราชฐาน มีเสียงแหลมเล็กผู้หนึ่งกล่าวว่า

“หูกงกง เงินที่เจ้าสะสมเอาไว้จะถูกส่งมอบให้พี่น้องเจ้าที่เมืองเหลียวโจว มณฑลซานซีไม่ให้ขาดสักแดงเดียว หลานเจ้าสองคนนั้นเดือนหกปีนี้ก็จะได้เข้าเป็นผู้ตรวจการสำนักขนส่งเกลือแห่งซานซี…เรื่องนี้หากเป็นเรื่องขึ้นมา หูกงกงต้องแบกรับไว้เพียงผู้เดียว แต่ก็มิใช่ว่าการเสียสละนี้จะสูญเปล่า…”

****

ยามสองคืนนั้น ขันทีน้อยรับใช้หูกงกงก็พบร่างแขวนบนขื่อ สมุดบัญชีกระจัดกระจายอยู่บนพื้น หูกงกงผูกคอตายแล้ว

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version