ตอนที่ 78 ขอรับผิดเพื่อเอาตัวรอด
“กราบทูลไทเฮา เมื่อวานสำนักบูรพาส่งรายงานประจำวันมาว่า พวกลัทธิไตรสุริยันนอกวังร่วมมือกับโจรร้าย ปล่อยเงินกู้บีบคั้นให้ผู้อื่นถึงแก่ชีวิต ศาลซุ่นเทียนกำลังสืบ…”
ณ เรือนที่ประทับในวังหลวงของฉือเซิ่งไทเฮาที่เดิมมาจากตระกูลหลี่ เฝิงเป่าหัวหน้าสำนักส่วนพระองค์รายงานด้วยท่าทีนิ่งสงบ แม้ว่าเขาจะดูแลทั้งสำนักส่วนพระองค์และสำนักบูรพา และยังเป็นหัวหน้าวังหลวงฝ่ายใน แต่ความจริงแล้วเฝิงเป่ากลับไม่ยึดถือธรรมเนียมมากนัก ตอนมากล่าวรายงานเรื่องนี้ก็เหมือนกับคุยเรื่องสัพเพเหระทั่วไป
ท่าทีไทเฮาที่มีต่อเฝิงเป่าผู้นี้ต่างจากผู้อื่น พอได้ยินดังนั้น ไทเฮาก็ครุ่นคิดครู่หนึ่ง ก่อนจะถามกลับว่า
“ลัทธิไตรสุริยัน คนในวังเราก็มีน่านับถือบ้างไม่ใช่หรือ?”
เฝิงเป่าพยักหน้า มีนางกำนัลผู้หนึ่งอยู่ที่ประตูทางออก เข้ามากระซิบทูลว่า
“ไทเฮาเพคะ ฮ่องเต้เสด็จมาถวายคำนับ”
สีหน้าไทเฮาพร้อมด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน พยักหน้ารับ ด้านนอกก็ถ่ายทอดคำสั่งต่อไป เฝิงเป่ายิ้มกล่าวว่า
“หลายวันนี้ฮ่องเต้ทรงตื่นเต้นมากนัก ทรงคิดแต่เรื่องลานฝึกนอกวังนั่น”
ไทเฮาทรงพยักหน้าตอบว่า กล่าวต่อ
“อย่างไรก็ไม่ใช่ในวัง การเตรียมการทุกอย่างต้องพร้อม ฝึกกำลังพระวรกายให้ดีหน่อย จะได้ไม่ต้องเหมือนกับอดีตฮ่องเต้ นี่ก็ถือเป็นรากฐานของแผ่นดินราชวงศ์หมิงเรา”
“ไทเฮาโปรดวางพระทัย กองกำลังสำนักบูรพา สำนักองครักษ์เสื้อแพรและสำนักอาชาหลวงเตรียมการอารักขาไว้พร้อม หวังทงเป็นคนตั้งใจทำงานจริงจัง รู้จักผ่อนหนักเบา ทุกอย่างไม่มีช่องโหว่แม้แต่น้อย”
ขณะที่ทั้งสองสนทนากันนั้น ฮ่องเต้ว่านลี่ก็วิ่งเข้ามาอย่างร่าเริง ขาพระองค์ไม่คล่องแคล่วนัก ตอนก้าวข้ามธรณีประตูเกือบจะหกล้ม ทำเอานางกำนัลสองข้างรีบเข้าไปประคองอย่างตกใจ
จางเฉิงมองตามไปด้านหลัง เห็นเหตุการณ์ก็ตกใจ รีบร้องออกไปว่า
“ฮ่องเต้โปรดทรงระวังหน่อยพะยะค่ะ อย่าได้ล้ม…”
ฮ่องเต้ว่านลี่ยืนตัวตรงแล้วก็หัวเราะกำลังจะพูดขึ้น กลับเห็นเฝิงเป่าที่ยืนอยู่ด้านข้าง เฝิงเป่าถวายบังคมลงไปแล้ว ฮ่องเต้ว่านลี่รีบเปลี่ยนท่าทีจริงจังเอาการเอางานขึ้นทันที
แต่เล็กเติบโตมาภายใต้การดูแลของเฝิงเป่า อย่างไรในใจก็รู้สึกหวาดเกรงเฝิงเป่าที่มีท่าทางเข้มงวด ฮ่องเต้ว่านลี่ยืนตรง พยักหน้ารับคำ วางท่าเป็นการเป็นงานกล่าวว่า
“ต้าปั้นลุกขึ้น ไม่ต้องถวายบังคมเช่นนี้”
เฝิงเป่าลุกขึ้นยืน ฮ่องเต้ว่านลี่จึงได้คุกเข่าลงถวายคำนับไทเฮาอย่างนอบน้อม เดิมคิดจะมาอ้อนพระมารดาสักหน่อย จะมาเล่าเรื่องของตน แต่ตอนนี้ได้แต่ทำตามจารีตเป็นทางการเช่นนี้
“ฝ่าบาท อีกไม่กี่วันก็จะเสด็จไปที่ลานฝึกแล้ว ถึงเวลานั้นอย่าได้บ่นว่าลำบาก”
“ทูลเสด็จแม่ ลูกจะต้องฝึกฝนร่างกายให้สูงใหญ่ให้ได้ ลูกได้สั่งกำชับจางเฉิงไปแล้ว ที่นั่นนอกจากหวังทงก็ไม่มีใครรู้ฐานะฮ่องเต้ของลูก…”
ฮ่องเต้ตรัสอย่างตื่นเต้นดีใจ ไทเฮากับเฝิงเป่าสบตากัน ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม การจัดการเช่นนั้นไม่ต้องให้ฮ่องเต้ทราบ มิเช่นนั้นจะทำให้เสียอารมณ์ ไทเฮาตรัสอย่างอ่อนโยนว่า
“ทรงไปเข้าเฝ้าไทเฮาเฉินแล้วหรือยัง?”
ตั้งแต่ฮ่องเต้ว่านลี่ขึ้นครองราชย์ ผู้ที่ถูกเรียกว่าไทเฮามีสองพระองค์ หนึ่งคือพระมารดาผู้ให้กำเนิด ไทเฮาฉือเซิ่ง อีกพระองค์คือไทเฮาเหรินเซิ่งเดิมมาจากตระกูลเฉิน ฮองเฮาในอดีตฮ่องเต้หลงชิ่งที่ทรงมีพระวรกายไม่แข็งแรง แต่ทรงดีกับฮ่องเต้ว่านลี่และไทเฮาฉือเซิ่งมาโดยตลอด ฮ่องเต้ว่านลี่ก็ทรงกตัญญูยิ่งนัก
“กำลังจะไปพะยะค่ะ ลูกทูลลา คืนนี้จะมาเข้าเฝ้าเสด็จแม่อีก”
ตามธรรมเนียมปกติ นางกำนัลตำแหน่งสูงจะนำฮ่องเต้ว่านลี่ออกไป ให้จางเฉิงอยู่ต่อ ฮ่องเต้อายุยังน้อย ไทเฮาเฉินก็พระวรกายไม่แข็งแรง แต่ไรมาก็มีแต่ไทเฮาหลี่ที่เข้าร่วมรับฟังงานแผ่นดินมากมายด้วยพระองค์เองร่วมกับเฝิงเป่าและจางจวีเจิ้ง เป็นเสมือนรถม้าหลักสามคันแห่งราชวงศ์หมิงที่ทรงอำนาจที่สุด
ทุกวัน เฝิงเป่ากับจางเฉิงจะมาถวายรายงานเรื่องในราชสำนักและเรื่องใหญ่ในแผ่นดิน ไทเฮาหลี่ส่วนใหญ่ก็รับฟังเงียบๆ ออกความเห็นบ้างครั้งคราว
“เมื่อวานเถียนอันขันทีประจำห้องทรงงานบอกว่าสุขภาพอ่อนแอ ต้องการพักรักษาสุขภาพ ขอย้ายไปสำนักวัดหลวงใช้ชีวิตยามชรา”
จางเฉิงถวายรายงานสีหน้าเรียบเฉย ผู้ที่ขึ้นถึงตำแหน่งนี้ได้ย่อมรู้จักรุกรู้จักถอย จางเฉิงกล่าวหนักเช่นนั้นต่อหน้าธารกำนัล หากเถียนอันยังไม่ยอมถอย อาจต้องเจอกับวิธีการที่โหดร้ายยิ่งกว่า ในตำแหน่งสำนักส่วนพระองค์นั้นการถูกชี้ความผิดก็ไม่ใช่เรื่องยากอันใด
ไทเฮาหลี่ทรงฟังแล้วก็ตรัสราวกับเป็นเรื่องธรรมดาทั่วไปว่า
“เช่นนั้นก็จัดไปตามนั้น จะหาใครมาทดแทนก็ตามแต่เฝิงเป่าเห็นชอบ!”
ทั้งสองน้อมกายรับคำสั่ง ยามนั้นเองด้านนอกก็มีนางกำนัลกราบทูลขึ้นว่า
“ไทเฮาเพคะ หลินกงกงขันทีรับใช้ใกล้ชิดท่านอ๋องลู่ขอพบ กล่าวว่ามีเรื่องขอพระราชทานอภัยโทษ…”
ไทเฮาหลี่ทรงมองไปทางเฝิงเป่าและจางเฉิงด้วยสีหน้าสงสัย เฝิงเป่าส่ายหน้าอย่างแปลกใจ แต่จางเฉิงพอจะรู้ว่าเรื่องใด แต่ก็ทำเป็นส่ายหน้าเช่นกัน
ไทเฮาประทานอนุญาต ไม่นานนางกำนัลก็นำคนเข้ามา หลินกงกงพอก้าวผ่านประตูเข้ามาก็รีบคุกเข่าลงกับพื้นร้องไห้ ค่อยๆ คลานเข่าเข้ามา
ห่างจากไทเฮาไม่ไกลนัก หลินกงกงก็หยุดลง โขกศีรษะร่ำไห้กล่าวว่า
“ข้าน้อยทำผิดใหญ่หลวง…”
พูดไปได้แค่ครึ่งเดียว ไทเฮาหลี่ก็ทรงขมวดคิ้ว อดตัดบทไม่ได้ว่า
“เล่ามาก่อนว่าเรื่องอะไร หลินซูลู่เจ้าทำงานในวังมาหลายปี ใยจึงไม่อาจควบคุมตนเองเช่นนี้!!”
หลินซูลู่ผู้นั้นโขกศีรษะลงอีกทีหนึ่ง ก่อนจะสะอื้นไห้ กล่าวขึ้นว่า
“ลูกบุญธรรมข้าน้อย หูต้าเฉวียน ขันทีปฏิบัติงานในสำนักดูแลพระราชฐานผู้นั้น ละโมภไม่รู้จักพอ ข้าน้อยสอนสั่งไปหลายครั้ง เดิมคิดว่าจะแก้ไขได้ คิดไม่ถึงว่ากลับร่วมมือกับคนชั่วช้านอกวัง ปล่อยกู้สร้างสถานการณ์บีบคั้นให้คนดีๆ ต้องตาย ทำเรื่องที่ผิดต่อฟ้าดินยิ่งนัก”
จางเฉิงยืนอยู่ตรงนั้นเอาแต่ก้มหน้า พอได้ยินหลินซูลู่ว่ามา ก็อดไม่ได้เงยหน้าขึ้นเล็กน้อยเหลือบมองไปทางไทเฮาและเฝิงเป่า ทั้งสองตั้งใจฟัง จางเฉิงขยับปากจะกล่าวอะไร แต่ก็กลับก้มตาลงตามเดิม
“เมื่อคืนวานสำนักดูแลพระราชฐานมารายงานว่าหูต้าเฉวียนผูกคอตายแล้ว เจ้าหน้าที่ไปตรวจศพพบสมุดบัญชีในห้อง จดบันทึกการติดต่อกับคนนอกวัง ข้าน้อยละเลยสอนสั่ง ถึงได้ทำเรื่องเลวร้ายเช่นนี้ได้ ข้าน้อยมีโทษ ข้าน้อยมีโทษ ขอไทเฮาทรงลงอาญา!!”
ในห้องเงียบครู่หนึ่ง ไทเฮาหลี่กับเฝิงเป่าสีหน้ายังคงเป็นปกติ ไทเฮามองไปที่เฝิงเป่า เฝิงเป่าก็คำนับกราบทูลว่า
“ไทเฮาก็ทรงทราบ บรรดาบ่าวในวังร่างกายพิการ ยากที่จะก้าวข้ามเรื่องเงินเรื่องทอง เรื่องปล่อยกู้ก็เป็นเรื่องไม่แปลกอันใด”
เฝิงเป่าว่ามาก็เป็นเรื่องจริง จางเฉิงก็ได้แต่ก้มตัวแสดงความเห็นด้วย ไทเฮาทรงพยักหน้ากล่าวเสียงนิ่งเรียบว่า
“ตอนอยู่ที่จวนอ๋องอวี้ก็มีเรื่องแบบนี้ ข้าก็พอรู้มาบ้าง ศาลซุ่นเทียนสืบคดีพัวพันมาถึงหูต้าเฉวียน หลินซูลู่เจ้ารู้ว่าผิดก็ดีแล้ว วันหน้าต้องดูแลคนของเจ้าให้ดี อย่าได้ทำอะไรเกินเลย เฝิงเป่า จางเฉิง พวกเจ้าทราบใช่ไหม?”
ทั้งสองน้อมกายรับ ไทเฮาหลี่ตรัสถามขึ้นว่า
“หลินซูลู่ หลายปีมานี้เจ้าตั้งใจปฏิบัติหน้าที่ ทำภารกิจต่างๆ ได้อย่างดี ตอนนี้สำนักส่วนพระองค์มีตำแหน่งขันทีประจำห้องทรงงานว่างอยู่ เจ้าอยากไปไหม”
คณะเสนาบดีขาดคน ก็ต้องหาคนมาทดแทน สำนักส่วนพระองค์ขาดคน ก็มีความสำคัญเช่นกัน เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญระดับแผ่นดิน แต่กลับพูดจากในห้องเล็กๆ นี่
สีหน้าเฝิงเป่ายังคงไม่เปลี่ยน แต่จางเฉิงกลับรู้สึกชาไปทั้งตัว ไทเฮาหลี่ตรัสเช่นนี้ หลินซูลู่กลับแอบเงยหน้ามองไปคนอื่นๆ และโขกศีรษะลงอีกพลางร่ำไห้กล่าวว่า
“ข้าน้อยขอบพระทัยในพระมหากรุณาธิคุณของไทเฮา แต่ข้าน้อยไม่อาจละทิ้งอ๋องลู่นายของข้าน้อยได้ ขอไทเฮาโปรดทรงเมตตาให้ข้าน้อยได้รับใช้ท่านอ๋องลู่ไปชั่วชีวิต”
ขอคืนสิ่งที่ไทเฮาพระราชทาน จางเฉิงถอนหายใจโล่งอกอยู่ด้านข้าง แต่ฮองเฮาหลี่กลับมีสีหน้าชื่นชม พยักหน้าช้าๆ ก่อนจะตรัสว่า
“อ๋องลู่ยังทรงเยาว์วัย ข้าเต็มใจให้ออกไปรับตำแหน่งอ๋องครองบรรดาศักดิ์นอกวังหลวงไม่ได้ หลินซูลู่เจ้าจงรักภักดีเช่นนี้ เมื่อถึงตอนนั้นย่อมไม่ลืมเจ้า เรื่องหูต้าเฉวียนนั้นก็ไม่ใช่ความผิดเจ้า วันหน้าระมัดระวังให้มากก็พอ!”
ฮองเฮาหลี่ตรัสจบก็หันไปสั่งเฝิงเป่าว่า
“บอกให้ศาลซุ่นเทียนไม่ต้องสืบแล้ว และกำชับคนในวังอย่าทำให้วังหลวงต้องเสื่อมเสีย”
บุคคลระดับไทเฮามองเรื่องการปล่อยกู้โหดของหูต้าเฉวียนและการฆ่าตัวตายของเขา ยังมีเรื่องการตายของคนนอกวัง ล้วนเป็นเรื่องเล็กน้อยในสายตาพระองค์ทั้งสิ้น
****
พระประสงค์ของไทเฮาและยังมอบให้เฝิงเป่ามาดูแลเรื่องนี้ หลังจากทรงมีพระประสงค์ไม่ถึงหนึ่งชั่วยาม เรื่องก็มาที่ศาลซุ่นเทียน
เจ้ากรมหวงและรองเจ้ากรมเฉินพากันตัวชา ไม่รู้ว่าคดีเล็กๆ เรื่องการสร้างสถานการณ์มุ่งเอาทรัพย์สินบีบคั้นให้คนต้องตายนั้นกระทบถึงความสนใจของคนมากมายเพียงนี้
ตอนนี้พวกเขาขี้เกียจสนใจแล้ว ในเมื่อเป็นความต้องการของเบื้องบน ทำตามก็แล้วกัน เจ้ากรมและรองเจ้ากรมตัดสินใจไม่สนใจหลี่ว์วั่นไฉไปสักพัก เผื่อมีการเปลี่ยนแปลงอะไรอีก จะทำให้ตนเองต้องพลอยหน้าแหกไปด้วย
เมื่อเทียบกับอาการตัวชาของเจ้ากรมและรองเจ้ากรมแล้ว หลี่ว์วั่นไฉที่เพิ่งจะรู้สึกคึกคะนอง พอมีพระประสงค์เช่นนี้ ก็รู้สึกเหมือนลื่นล้มในถ้ำน้ำแข็ง หวังซื่อกับหลี่กุ้ยมีวันดีๆ แค่วันเดียว ความรู้สึกก็ไม่แตกต่างมากเท่าไร
หลี่ว์วั่นไฉเดินเตร่ที่ศาลครู่หนึ่ง ตอนบ่ายก็พาหวังซื่อกับหลี่กุ้ยไปที่หอเลิศรส ตอนพวกเขาไปถึง หอเลิศรสได้เปิดร้านแล้ว
หวังทงยืนอยู่ที่มุมร้านเหมือนเดิม หลี่ว์วั่นไฉสีหน้าเคร่งเครียดเดินเข้ามาเอ่ยน้ำเสียงทุ้มต่ำว่า
“ใต้เท้าหวัง ในวังตอนเช้าส่งคนมาที่ศาลซุ่นเทียนถ่ายทอดคำสั่งว่า คดีนี้ไม่ต้องสืบต่อ ใต้เท้าหวัง ชีวิตพวกข้าพี่น้องล้วนขอพึ่งบารมีใต้เท้าแล้ว ท่านจะต้อง…”
“เรื่องนี้ข้ารู้แล้ว ก่อนหน้าที่เคยรับปากดูแลเจ้า ตอนนี้ก็เหมือนเดิม!!”
หวังทงก็แค่โบกมือตามเรื่องตามราวกับความหวาดหวั่นของหลี่ว์วั่นไฉ กล่าวไปเรื่อยๆ ท่าทางไม่สนใจนัก แต่กลับทำให้หลี่ว์วั่นไฉและมือปราบสองคนนั้นสงบลง ความมั่นใจของหวังทงทำให้พวกเขาพลอยรู้สึกวางใจไปด้วย
ตอนที่รับสั่งยังถ่ายทอดมาไม่ถึงศาลซุ่นเทียน โจวอี้ก็มาบอกกล่าวแก่หวังทงแล้ว คำพูดที่นำมาบอกกล่าวก็ง่ายๆ แค่ว่า
“รอดูไปก่อน อย่าได้วางมือ”
ความจริงการหยุดสืบคดีอย่างละเอียดในตอนนี้นั้น ทำให้หวังทงรู้สึกดีใจมาก ตอนนี้ตนเองและกำลังลังของตนเองยังอ่อนแออยู่มาก สิ่งที่ซ่อนเร้นเกี่ยวข้องพัวพันกับเรื่องของเหอจินอิ๋นนั้นก็ยิ่งใหญ่เกินไป หวังทงต้องการเวลา รอวันที่ตนเองเข้มแข็งขึ้น