Skip to content

องครักษ์เสื้อแพร 79

ตอนที่ 79 ใกล้เวลาเปิดลานฝึก

พื้นที่ร้านของหอเลิศรสใหญ่โตกว่าเมื่อก่อนเกือบสองเท่า แต่คนก็ยังคงมากมายเหมือนเดิม คนที่นั่งอยู่ในร้านนอกจากขันทีและองครักษ์วังหลวงแล้ว ยังมีประชาชนคนธรรมดาอีกด้วย

หรือจะกล่าวให้ถูกต้องก็คงเป็นคนที่แต่งกายเป็นประชาชนคนธรรมดา คนเหล่านี้ท่าทางเคลื่อนไหวแคล่วคล่องว่องไว ถือสัมภาระสั้นยาว

การแต่งการเช่นนี้ แม้แต่นางหม่าก็มองออกว่าคนเหล่านี้ไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไป หวังทงก็ยิ่งยิ้มไม่ออก ในร้านนอกจากขันทีในวัง ยังมีองครักษ์อารักขา เห็น ‘ประชาชน’ ไม่ปกติเช่นนี้แล้ว ใยจะไม่สอบถามสาเหตุให้กระจ่าง แต่ละฝ่ายกลับทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ยิ่งทำให้เห็นว่ามีปัญหา มีความเป็นไปได้มากว่าสำนักบูรพาและกรมกองอื่นๆ จัดวางกำลังไว้ที่นี่

คนเหล่านี้เพิ่มลูกค้าในร้านไม่น้อย ยังมีบรรดาเด็กๆ ในลานฝึกที่ถูกจัดให้มากินที่นี่ วันที่ 17 เดือนหนึ่งเปิดกิจการวันแรก ลูกค้ามากกว่ายามคึกคักที่สุดของเมื่อปีที่แล้วหลายเท่า

หากทุกวันขายดีเช่นนี้ กำไรสุทธิแปดพันกว่าตำลึงทุกปีก็คงได้แน่นอน แต่เงินก้อนนี้ในยุคสมัยนี้แม้นับว่าเป็นเงินก้อนใหญ่ แต่ก็ไม่ได้อยู่ในสายตาของหวังทงสักเท่าไรแล้ว

ในห้องโถงบ้านหวังทง หม่าซานเปียว ซุนต้าไห่ จางซื่อเฉียงและหลี่เหวินหย่วน ยังมีหลี่ว์วั่นไฉกับหวังซื่อและหลี่กุ้ยอีกสามคน รวมตัวชุมนุมกันอยู่

บนพื้นห้องโถงมีเงินวาววับวางเรียงอยู่ แบ่งออกเป็นสองกอง มีตาชั่งวางอยู่ข้างๆ นอกจากหวังทงและหลี่เหวิน หย่วนแล้ว คนอื่นๆ ต่างก็จับจ้องเงินเหล่านี้อยู่ตลอดเวลา

“เมื่อคืนซานเปียวกับพี่จางนับเงินกันมาทั้งคืน ใช้ตาชั่งชั่งไปหนึ่งรอบ มากกว่าที่พวกเราคาดไว้เล็กน้อย ทั้งหมดราวหกพันสองร้อยสามสิบตำลึง”

หวังทงยืนยิ้มอยู่ตรงนั้นกล่าวว่า ในเมื่อเป็นเงินในช่องลับที่เหอจินอิ๋นสะสมไว้ หวังซื่อยังเก็บซ่อนไว้ ก็เหมือนเป็นเงินที่ส่งมาถึงหน้าบ้าน ไม่มีเหตุผลที่จะผลักออกไป

แต่หากอยากได้ใจคน ก็ต้องทำแบ่งให้ทุกคนรวยเท่าเทียมกัน หวังทงไม่อ้อมค้อม เอาเงินแบ่งออกเป็นสองส่วน

“ใต้เท้าหลี่ว์ พวกเราองครักษ์เสื้อแพร พวกท่านศาลซุ่นเทียน พวกเราแบ่งเท่ากัน คนละสามพันหนึ่งร้อยตำลึงเป็นไง!!?”

“ใต้เท้าหวัง ข้าขอกล่าวล่วงเกินสักคำ ท่านทำเช่นนี้ไม่ยุติธรรมหรือเปล่า!”

หลี่ว์วั่นไฉอยู่ๆ ก็จริงจังขึ้น หวังทงอึ้งไป หม่าซานเปียวและซุนต้าไหก็เบิกตาจ้องมอง หลี่เหวินหย่วนเดินไปด้านข้างอีกสองก้าว ที่นั่นมีไม้พลองยาววางพิงอยู่

“หากไม่ได้ใต้เท้าหวัง พี่น้องเราไหนเลยจะหาเงินได้มากมายเพียงนี้ แบ่งเท่ากันแม้ว่าใต้เท้ายอม พวกเราพี่น้องก็ไม่อาจยอมรับได้ แบ่งเจ็ดต่อสามละกัน!!”

หวังซื่อกับหลี่กุ้ยล้วนเห็นด้วย ตอนนี้พวกเขารู้ดีว่าตนเองได้เข้ามาสู่หลุมดำที่ตนเองแบกรับเองไม่ไหว คิดจะมีชีวิตรอด ตอนนี้ความหวังที่เห็นได้ก็คือใต้เท้าหวังที่ดูเหมือนจะมีหูตากว้างไกล เบื้องหลังน่าตกใจ เงินเหล่านี้ก็เหมือนกับเก็บได้มาเปล่าๆ มอบเป็นน้ำใจ ใยต้องรีรอ

“เห็นทุกท่านเป็นดังพี่น้อง จึงได้แบ่งเท่ากัน วันหน้าข้ายังต้องพึ่งพาทุกท่าน จะว่าไป วันนั้นที่พี่น้องมากันหลายสิบท่านหากต้องมาเก้อ วันหน้าจะคบหากันอย่างไร”

พอเห็นหลี่ว์วั่นไฉสีหน้าอึกอักลำบากใจ หวังทงก็ยิ้มกล่าวว่า

“พี่หลี่ว์ ตอนแบ่งเงินก็อย่าลืมกล่าวถึงความดีของข้าสักคำ พวกเราไม่รีบ วันหน้ายังมีค่อยๆ ไหลมาอีกมาก!!”

คำว่า ‘พี่หลี่ว์’ ของหวังทงที่กล่าวออกไป ใบหน้าดำของหลี่ว์วั่นไฉก็ยิ้มแก้มปริ ใต้เท้าหวังผู้นี้รับตนเองไว้แล้ว ก็รีบพยักหน้าหงึกหงัก และยังเอ่ยชมอีก บอกว่าหวังทงคุณธรรมน้ำใจล้นฟ้า

ให้พวกเขาปฏิบัติหน้าที่อย่างวางใจ หากมีเรื่องใดตนเองออกหน้าให้ หวังทงเร่งให้หลี่ว์วั่นไฉและสองมือปราบกลับแล้ว ตอนนี้ในห้องก็มีแต่คนกันเองแล้ว

“พี่หลี่ พี่เอาไปสามร้อย ซานเปียวสองร้อย ซุนต้าไห่สามร้อย พี่น้องเจ้าคนละหนึ่งร้อย อีกประเดี๋ยวจะให้ซานเปียวไปส่ง”

ได้ยินคำสั่งหวังทง เมื่อรับการขานชื่อก็ตอบรับคำอย่างยินดีปรีดา เอาตาชั่งมาชั่งแบ่งกัน หวังทงหันหน้าไปทางหลี่เหวินหย่วนกล่าวว่า

“พี่หลี่ รู้ว่าบ้านพี่ยากลำบาก แต่วันหน้าพวกเราลำบากได้ แต่ไม่อยากให้หลี่หู่โถวลำบาก เด็กคนนี้วันหน้าจะต้องมีอนาคตแน่นอน…”

หลี่เหวินหย่วนพยักหน้าด้วยสีหน้าภาคภูมิใจ หวังทงกล่าวต่อว่า

“ทุกมื้อให้เขากินเนื้อวัวเนื้อแพะ ข้าวขาวหมี่ขาว บำรุงร่างกาย พี่หลี่นี่ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น ความแข็งแรงของข้าก็มาด้วยวิธีนี้ ขอกล่าวสักคำ พี่หลี่อย่าได้เห็นเป็นอื่น ค่าใช้จ่ายจากนี้ไปของหู่โถวขอให้ข้ารับผิดชอบ กล่าวให้อีกสักหน่อย หู่โถวจากนี้ไปก็เหมือนญาติสนิทของข้า”

วาจากล่าวได้ชวนขนลุกไปสักหน่อย แต่นึกถึงหลี่หู่โถวอายุสิบขวบกล้าดักซุ่มข้างนอกทั้งคืน ใกล้รุ่งจึงลงมือสังหาร ความกล้าหาญเช่นนี้ ความโหดเช่นนี้ ความคิดเช่นนี้ เด็กทั่วไปไม่สามารถเทียบได้ แม้แต่ผู้ใหญ่ก็ห่างไกลนัก นิสัยนิ่งเงียบและวิธีการที่เยี่ยมยอดของหลี่เหวินหย่วนล้วนเป็นกำลังสำคัญของตนในยามนี้ พ่อลูกสองคนพิเศษเพียงนี้ คำพูดชวนขนลุกเพื่อซื้อใจมีอะไรไม่ถูกต้องกัน

หลี่เหวินหย่วนที่เป็นคนนิ่งเงียบอยู่เสมอพอได้ยินกลับยิ้ม พยักหน้ากล่าวว่า

“ใต้เท้าเห็นคุณค่า เป็นวาสนาของหู่โถว หู่โถวไม่มีอะไรทำก็ชอบมาที่นี่ ก็ให้หู่โถวอยู่ที่นี่เป็นบ้านของตัวเองก็แล้วกัน”

“เยี่ยมมากๆ ซานเปียว เจ้าเอารถม้าส่งเงินไปให้ต้าไห่กับพี่หลี่ แล้วค่อยมาเอาส่วนของเจ้า”

แต่ต้นจนจบ หวังทงไม่ได้บอกว่าจะให้จางซื่อเฉียงเท่าไร จางซื่อเฉียงก็ไม่ได้พูดอะไร สีหน้านิ่งสงบ ยืนนิ่งอยู่ด้านข้าง

รอให้ทุกคนออกไป หวังทงก็ถอนหายใจยาว นั่งลงบนเก้าอี้ เจ้าจินเลี่ยงถูกส่งตัวไปรักษาที่บ้านน้าหม่า ในบ้านก็มีแค่เขาสองคน

จางซื่อเฉียงเดินไปเทน้ำชามาวางไว้บนโต๊ะอย่างนอบน้อม หวังทงกล่าวอย่างเหนื่อยอ่อนว่า

“พี่จาง เรื่องรับคนลานฝึกเรานั้นไปถึงไหนแล้ว?”

ความสัมพันธ์แบบเจ้านายกับบ่าวรับใช้ระหว่างหวังทงและจางซื่อเฉียงตอนนี้ก็เป็นธรรมชาติมากขึ้น พอได้ยินคำถามหวังทง จางซื่อเฉียงก็มีสีหน้าฝืดเฝื่อน เอ่ยขึ้นว่า

“ใต้เท้าหวัง เมื่อวานข้าน้อยนำเงินออกไปที่เขตบูรพา ไปที่กองกำลังพิทักษ์ชาติ เกือบถูกคนเล่นงานหาว่าเป็นพวกต้มตุ๋น ต้องแสดงป้ายตำแหน่งต่อนายกองพันจึงรอดกลับมาได้”

หวังทงอึ้งไปเล็กน้อย รีบถามว่า

“พี่จาง พี่ไปบอกว่าอะไร ทำไมถึงต้องเล่นงานพี่?”

“ก็ทำตามธรรมเนียมของเรา มีอาหารและที่อยู่ ปีละห้าตำลึง…”

“พี่พูดอย่างไร?”

พอเห็นจางซื่อเฉียงพยักหน้าหงึกๆ หวังทงก็ยิ้มฝืดพร้อมตบหน้าผาก มองเห็นอีกฝ่ายยิ่งสีหน้ายิ่งฝืดเฝื่อน หวังทงอดที่จะอธิบายเสียไม่ได้ว่า

“พี่จาง เงื่อนไขดีทำให้คนไม่เชื่อถือ พี่น้ององครักษ์เสื้อแพรเราบนถนนหนิวหลันแถบกำแพงวัง มีอาหารและที่อยู่ ยังมีเบี้ยอีกห้าตำลึง พวกเขามองตาเป็นมันกันแล้ว พี่เอาไปพูดกับบรรดาทหารทำไร่ทำนานอกเมืองเหล่านั้น เรื่องที่ฟ้าโปรยเงินลงมาเช่นนี้ใครจะเชื่อ มิน่าถึงได้เล่นงานว่าพี่เป็นพวกต้มตุ๋น”

หากไม่ใช่ว่าหวังทงพูดไปขำไป จางซื่อเฉียงเกรงว่าคงคุกเข่าลงนานแล้ว แม้ว่าเป็นเช่นนี้ก็รู้สึกไม่รู้จะทำอย่างไรต่อดี หวังทงกลับไม่แม้แต่สนใจ เอ่ยขึ้นว่า

“เงินสองร้อยตำลึงนั่นพี่เก็บไว้เอง ถือว่าเป็นเงินแบ่งสรรครั้งนี้ รอซานเปียวกลับมา ให้เขากับพี่นำเงินไปด้วยกัน อย่างน้อยก็ต้องหาผู้ชายร่างกายแข็งแรงมาให้ได้สักสามสิบคน ซานเปียวคล่องอยู่ ไปครั้งนี้ต้องหาคนมาได้แน่นอน แต่คนแบบไหนพี่จางพี่ต้องคอยตรวจสอบ ต้องเป็นผู้ที่มีพ่อแม่พี่น้อง เป็นลูกหลานกองทัพที่มีประวัติขาวสะอาด อย่าให้อายุเกินสิบเจ็ด หากไม่ได้ตามมาตรฐานนี้เรายอมไม่เอา หาคนอย่างไรให้ซานเปียวจัดการ หาคนแบบไหนให้พี่จัดการ!”

จางซื่อเฉียงยอมเป็นบ่าวรับใช้แล้ว คิดไม่ถึงว่าหวังทงไม่เพียงแต่จะไม่ตำหนิ กลับให้เงินมาใช้ รู้สึกซาบซึ้งใจจนพูดไม่ออก

แต่หวังทงกำลังหมกมุ่นกับแผนการณ์ของตน ปากก็พูดไม่หยุดต่อไปว่า

“ตอนแรกข้าจะตั้งสถานที่ฝึกที่นี่ ตอนนี้เห็นว่าไม่เหมาะ แต่ก็ไม่ควรไกลไป ไปหาบ้านสองสามหลังแถวจวนนายกองร้อยเถียน ซื้อแล้วก็ทำให้ผ่านทะลุถึงกันได้ ติดชื่อลานฝึกไว้ ข้ากับพี่หลี่จะไปฝึกสอนทุกวันตอนเช้า อาวุธมีดผายังไม่ต้องซื้อ เตรียมแค่ไม้พลองยาวไว้ก็พอ…”

***

รอหม่าซานเปียวกลับมาถึง ได้ยินความต้องการของหวังทงก็ยิ้มร่า หยิบเงินที่กองอยู่ที่พื้นมาห้าสิบตำลึง ตบอกมั่นใจว่าจะต้องหาคนมาได้ครบแน่นอน

ต่างจากก่อนวันที่ 15 เดือนหนึ่ง หวังทงตอนนี้ยุ่งถึงที่สุด หม่าซานเปียวกับจางซื่อเฉียงเพิ่งจะออกจากบ้านไป โจวอี้สวมชุดดำนำชายรูปร่างกำยำสองสามคนเดินเข้ามา

ชายทั้งห้านี้สวมเพียงแค่เสื้อคลุมสั้นกระดุมหน้าแบบครูฝึกยุทธ์ รัศมีความน่าเกรงขามแสดงให้เห็นว่าไม่ใช่คนรู้ยุทธ์ธรรมดาสามัญ ท่าทางน่าเกรงขามเช่นนี้ มีความเป็นไปได้ว่าจะมีแค่ในกองทัพเท่านั้น และยังเป็นครูที่เก่งกล้าสามารถเสียด้วย

“ใต้เท้าหวัง เหล่านี้คือครูฝึกของลานฝึก ทุกคนทำความรู้จักกันสักหน่อย!”

สองฝ่ายประสานมือคารวะตามธรรมเนียม แต่ชายท่าทางองอาจเหล่านั้นพอมองหวังทงแล้ว ความดูถูกในสีหน้าก็ปิดบังไม่มิดเท่าไร เห็นหวังทงเป็นเด็กยังไม่โตเช่นนี้ถูกเรียกว่า ‘ใต้เท้า’ ชายผู้กล้าอย่างตนเองยังต้องคารวะเด็กน้อยเช่นนี้ ก็อดดูถูกไม่ได้

หวังทงรู้สึกตนเองเป็นผู้ใหญ่คนหนึ่ง แต่อายุและท่าทางเช่นตอนนี้ คนนอกหากไม่ได้ใกล้ชิด ไม่ได้ผ่านเรื่องราวอะไรมาด้วยกันก็ย่อมดูถูกเขา เป็นปฏิกิริยาที่ปกตินัก หวังทงไม่ใส่ใจ

หลังจากบ่นจบ ก็กล่าวไปตามตรงว่า

“โจวกงกงโปรดรายงานจางกงกงด้วยว่า ข้าเตรียมจะเป็นนักเรียน แต่มาได้แค่ตอนบ่าย ครูฝึกทุกท่านเชิญนั่ง ข้าจะอธิบายการจัดขั้นตอนการฝึกอย่างละเอียด!”

ตอนเริ่มอธิบาย สายตาบรรดาครูฝึกยังคงฉายแววดูถูกมาก แต่พอพูดสักพัก สีหน้าก็เริ่มรู้สึกประหลาดใจ จากประหลาดใจเป็นตื่นตกใจ จากนั้นก็เป็นการเป็นงานขึ้น

“วิธีนี้ก็คล้ายกับวิธีที่แม่ทัพชีฝึกทหารอยู่บ้าง…”

“…การฝึกที่เหมาะกับวัยช่วงนี้ หากเคยฝึกมา เข้าร่วมกองทัพก็จะเหมือนกับทหารคนหนึ่ง เป็นกลุ่มคนชั้นยอดที่จะเป็นทหาร…”

“…พอกลับไปแล้ว ก็ทำตามวิธีนี้ หาเด็กมาฝึก ไม่ให้ด้อยกว่ากองทหารแม่ทัพชี…”

กองทหารแม่ทัพชีหมายถึงกองรบเก่งกล้าสามารถที่แม่ทัพชีจี้กวงฝึกขึ้นมา ตอนชีจี้กวงไปถึงเมืองจี้โจวแรกๆ กองทหารเมืองจี้โจวที่มาเรียงแถวต้อนรับพากันกระจัดกระจายหลบฝนที่ตกลงมากะทันหัน แต่กองทหารแม่ทัพชีสามพันนาย กลับยืนไม่ขยับท่ามกลางสายฝน ภาพนี้เป็นภาพที่เลื่องลือกันมากในกองทัพราชวงศ์หมิง

บรรดาครูฝึกกล่าวให้ประเมินเช่นนี้ เห็นชัดว่าชื่นชมวิธีการของหวังทงมาก แต่ก็มีบางคนรู้สึกงงว่า หวังทงอายุเพียงเท่านี้ ใยจึงได้รู้การฝึกแบบทหาร

หวังทงไม่เข้าใจ ที่เขากล่าวนั้นล้วนเป็นการสอนที่ใช้ในวิชาพลศึกษาในยุคปัจจุบัน และสิ่งเหล่านี้ก็เป็นสมรรถนะและการฝึกแบบหมู่คณะของกองทัพในยุคใกล้และยุคปัจจุบันทั้งสิ้น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version