ตอนที่ 25 ไม่ตั้งใจปักชำกลับเขียวขจี
พ่อครัวคนงานในร้านพอจะเดาออกว่าเหตุใดหวังทงจึงโมโห นายท่านอายุน้อยผู้นี้ก็คงนึกถึงตนเองขึ้นมา โกรธไฟลุกเช่นนี้ก็ใช่ว่าจะไร้สาเหตุ กตัญญูรู้คุณ คือคุณธรรมอันดับแรก หวังทงมักโกรธตนเองที่มิได้มีโอกาสกตัญญูให้ถึงที่สุด พอได้พบกับเหตุการณ์เช่นนี้ ย่อมมิอาจทนได้
นี่เป็นแค่เรื่องเล็กน้อยในวันแห่งการทำการค้าปกติทั่วไป ลูกค้าทยอยมามากขึ้น เลยทำให้ลืมเรื่องนี้กันไป
คืนวันที่ 17 เดือนสิบสอง ณ เรือนที่เงียบสงัดแห่งหนึ่ง
ที่นี่ดูเหมือนห้องโถงของเรือนที่มีระดับค่อนข้างสูง ทุกอย่างเรียบง่ายเป็นอย่างมาก ผู้ที่นั่งอยู่ตรงกลางก็คือสตรีสวมเสื้อผ้าธรรมดาปักปิ่นไม้ผู้หนึ่ง กำลังใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดน้ำตา พลางกล่าวอย่างซาบซึ้งว่า
“คิดว่าจะเอาแต่ใจเหมือนเดิม คิดไม่ถึงว่าจะมาคารวะด้วยตนเองเช่นนี้ เด็กผู้นี้โตแล้วจริงๆ ออกไปปล่อยอารมณ์เสียหน่อยกลับดีจน…”
ชายสวมชุดขุนนางนอกราชการผู้นั้นกลับไม่ได้วางท่าทางน่าเกรงขามเหมือนยามอยู่ข้างนอก หากก้มหน้านอบน้อมยืนอยู่ข้างๆ พอได้ยินคำพูดดังกล่าว อดยิ้มแห้งๆ ไม่ได้ พลางเล่าเรื่องที่พบเจอในหอเลิศรสรอบหนึ่ง ปิดท้ายด้วยคำพูดว่า
“…บางทีคนที่ไม่เกี่ยวข้องพูดขัด อาจกระทบจิตใจ…”
สตรีผู้นั้นเงยหน้าขึ้น ใบหน้าอายุไม่ถึง 40 ปี เต็มไปด้วยบารมีน่าเกรงขาม กล่าวเสียงเข้มงวดขึ้น
“ตอนนี้ข่าวอะไรที่นี่ก็ปิดไม่มิด ข้างนอกข่าวสารไวมาก องครักษ์ผู้น้อยนั่นอาจมีคนตั้งใจจัดส่งมาใกล้ชิด ไปตรวจสอบมา!”
ชายวัยกลางคนข้างๆ รีบประสานมือกล่าวรับคำ แต่ไม่กล้าเงยหน้าขึ้น เพิ่งกล่าวคำอำลาจะออกไป กลับได้ยินสตรีผู้นั้นกล่าวสำทับต่อว่า
“เรื่องนี้ มิต้องบอกท่านอาจารย์จาง…”
คืนวันที่สอง ในคฤหาสน์หนึ่งที่เงียบสลัดเช่นเดิม
“…ปีนี้อายุ 13 ปี บิดาเสียชีวิตแล้ว ไม่มีญาติในเมืองหลวง เปิดร้านอาหารนี้ด้วยตัวเอง ทำการค้าได้ดี แต่อารมณ์มุทะลุดุดัน เคยลงมือกับองครักษ์ร่วมสังกัดและผู้ที่มาก่อเรื่อง แต่ก็มิได้โดนเอาเปรียบ…”
ชายกลางคนผู้นั้นกล่าวอย่างละเอียด สตรีผู้นั้นตั้งใจฟัง รอจนรายงานจบ ก็ยิ้มพลางพยักหน้ากล่าวขึ้น
“…ในเมื่ออายุพอกัน อืม เด็กกำพร้าสามารถกล่าวคำเช่นนี้ออกมาได้ น่าจะไม่มีแผนการอันใดในใจ น่าจะเป็นความรู้สึกที่เกิดขึ้นจากใจ…เป็นผู้มีความกตัญญูผู้หนึ่ง…”
วันที่ 19 เดือนสิบสองวันนั้น ลูกค้าที่ร้านตอนบ่ายไม่ได้ลดลง ที่ร้านมีลูกค้านั่งอยู่ครึ่งร้านตลอดเวลา
ดูท่าลูกค้าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงมากนัก หวังทงวางใจได้อยู่บ้าง กำชับจางซื่อเฉียงสองสามประโยคก่อนจะออกไป
อย่างที่เห็นว่ามีเพียงร้านค้าสองร้านบนถนนทักษิณที่เปิดกิจการ หอรวมคุณธรรมกลับยังคงมีคนคึกคักเช่นเดิม คนที่ปกติเล่นพนันนั้นในเดือนสิบสองก็ยิ่งมีเวลาว่าง พอถึงปลายปี เงินที่ค้างมาหนึ่งปีก็ต้องคืนให้ครบ ไม่งั้นก็ต้องหนีไปหลบหนี้นอกเมือง อาศัยโอกาสนี้เล่นสักตั้ง ไม่แน่อาจจะสามารถใช้หนี้ได้หมด
หวังทงเดินไปที่หน้าประตูหอรวมคุณธรรม ประสานมือด้วยรอยยิ้มกล่าวกับชายสองคนที่เฝ้าประตูทางเข้าว่า
“ข้าน้อยหวังทงเถ้าแก่หอเลิศรส ขอพบเถ้าแก่เหอของท่าน”
หวังทงที่ไม่ค่อยมีเสื้อผ้า ทุกวันสวมแต่ชุดมัจฉาเวหาขององครักษ์เสื้อแพร ชายเฝ้าประตูเห็นแล้วก็มองเขาอย่างระวังตัว พอได้ยิน ก็มองหน้ากัน คนหนึ่งเอ่ยปากขึ้น
“ใต้เท้ารอสักครู่ ข้าน้อยเข้าไปรายงานสักครู่!”
ผู้เฝ้าประตูบ่อนการพนันผู้นี้กลับมีทีท่าเฉยชาต่อองครักษ์เสื้อแพร ไม่เชิญเข้าไปด้านใน กล่าวเพียงว่าจะไปรายงาน จากประเด็นนี้ก็เห็นได้ว่าบ่อนพนันนี้ไม่เกรงกลัวสิ่งใด เบื้องหลังคงจะใหญ่พอดู
คนที่เข้าไปรายงานผู้นั้นไม่นานก็ออกมา ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มสุภาพกล่าวว่า
“เถ้าแก่เราเรียนเชิญ ใต้เท้าตามข้าผู้น้อยมาขอรับ”
อากาศในบ่อนพนันค่อนข้างสกปรก บริเวณรอบโต๊ะพนันแต่ละตัวเต็มไปด้วยผู้คนมุงล้อม พากันตะโกนโหวกเหวก แม้แต่พนักงานเขย่ากระบอกลูกเต๋าประจำโต๊ะก็มองไม่เห็นใบหน้า เห็นแต่สองมือยกกระบอกลูกเต๋าชูขึ้นสูง
มีนักพนันบางคนถือขนมเปี๊ยะในมือกัดไปตะโกนไป ยังด่าทออีกด้วยว่า
“ออกไปซื้อขนมเปี๊ยะกลับมาก็ไม่มีที่เบียดเข้าไปแล้ว เสียเวลาจริงข้ากำลังมือขึ้นแท้ๆ !!”
เหอจินอิ๋นสวมชุดผ้าแพรต่วนยาวสีน้ำเงินรออยู่ห้องด้านข้างหลังบ่อน นั่งจิบสุราอย่างสง่าอยู่บนเก้าอี้ กาเหล้าสีเงินวางอุ่นอยู่บนขอบเตากระเบื้อง
“ใต้เท้าหวังมาเยือน หรือคิดจะเล่นสักสองสามตา?”
เหอจินอิ๋นยืนขึ้นประสานมือกล่าวแล้วจึงนั่งลงต่อ เป็นคำกล่าวหยอกล้อ หากหวังทงไม่ใส่ใจ แค่ระดับพลทหารสังกัดองครักษ์เสื้อแพรเท่านั้น ในเมืองหลวงยังมีคนใหญ่กว่าอีกมากมาย ใครจะเห็นตนอยู่ในสายตากัน เขายิ้มประสานมือคารวะตอบกล่าวว่า
“ขอบคุณน้ำใจพี่เหอ มาเยือนครานี้ก็คิดจะหาเงินเล็กน้อยจากสถานที่ของพี่เหอ?”
พอพูดจบ เหอจินอิ๋งก็ลูบหัวล้านตนเองไปมา สีหน้ามึนตึงขึ้น กล่าวเสียงเย็นชาว่า
“ข้าน้อยตัดสินใจไม่ได้ ใต้เท้าหวัง ท่านรู้หรือไม่ว่าที่นี่เป็นของผู้ใด?”
“พี่เหอตัดสินใจได้แน่นอน ข้าน้อยเห็นนักพนันในบ่อนตอนกลางวันต้องออกไปหาเสบียงลงท้อง แล้วค่อยกลับมาเล่นต่อ เวลาที่ออกไปนั้น เสียเวลาการค้าตามโต๊ะพนันไปอย่างแน่นอน มิสู้ให้ร้านอาหารข้าน้อยเอาอาหารมารองรับ หนึ่งจะได้กินสะดวกรวดเร็วขึ้น สองไม่เสียเวลาโต๊ะพนัน พี่เหอเห็นอย่างไร?”
เหอจินอิ๋นอึ้งไป คิดอยู่นานจึงค่อยพยักหน้าช้าๆ ในสายตาคนสมัยนี้ เจ้าหาเงินได้ นั่นก็ต้องมีคนหาได้น้อยลงหรือไม่ก็ขาดทุน หากคำแนะนำของหวังทงนี้ กลับมีประโยชน์ทั้งสองฝ่าย เหอจินอิ๋นตรึกตรองอยู่นาน ในที่สุดก็รู้สึกว่ามีอะไรแฝงอยู่ แต่กลับนึกไม่ออกว่ามีอะไร
หากนี่ก็เป็นแนวคิดที่ดี โดยเฉพาะช่วงเทศกาล เวลานักพนันในร้านออกไปซื้อหาอะไรกิน บ่อนก็เงียบลงทันที เงินทองกำไรลดลงไม่น้อย
เหอจินอิ๋นคิดถึงสถานะของหวังทงว่าเป็นเจ้าของหอเลิศรส มองดูเสื้อคลุมยาวขององครักษ์เสื้อแพรที่สวมอยู่ ข้อเสนอของอีกฝ่ายไม่มีอะไรเสียหายแม้แต่น้อย จึงตกปากรับคำ
ยามหวังทงออกมาจากบ่อนพนัน ใบหน้าก็เต็มไปด้วยรอยยิ้ม บ่อนการพนันเป็นที่มีผู้คนไปมาเยอะที่สุดบนถนนทักษิณสายนี้ นักพนันเหล่านี้ก็ไม่อยากไปไกลจากโต๊ะพนัน หากมีร้านอาหารใกล้ๆ ก็จะตรงตามความต้องการของพวกเขาพอดี
ผู้ที่มาเล่นพนันที่นี่ได้ ส่วนใหญ่ย่อมไม่สนใจเงินไม่กี่อีแปะ ตนเองแค่ทำอาหารได้สะอาดและราคาถูก รสชาติพอใช้ได้ก็ย่อมสามารถเรียกลูกค้าได้
เพราะการค้าในร้านดีมาก หอเลิศรสจึงต้องรับคนเพิ่มขนานใหญ่ แต่ร้านอาหารจานด่วนเช่นนี้ การรักษาคุณภาพการบริการและอาหารนั้นเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ลูกค้าพร้อมจะเปลี่ยนใจไปหาร้านอื่นเช่นนี้ หากคิดจะให้ลูกค้าติดอยู่กับร้าน จะรักษาสถานะเช่นนี้ไว้ ก็ต้องมีการอบรมอย่างเข้มงวด หวังทงวางแผนไว้แล้วว่า พอถึงเวลา อาหารที่ไว้บริการบ่อนพนันและคนที่เอาไปส่งก็อบรมพนักงานพ่อครัวชุดใหม่ขึ้นมาทำ นักพนันไม่สนใจรสชาติอาหาร เป็นโอกาสให้พ่อครัวชุดใหม่ได้ฝึกฝนเรียนรู้
ก่อนกลับหอเลิศรส หวังทงเห็นเจ้าหน้าที่ขันทีและองครักษ์ในวังหลวงเดินเที่ยวอยู่บนถนนไม่น้อยในใจรู้สึกดีอย่างมาก อดไม่ได้ที่จะส่ายหน้าไปยิ้มไป ในวันอากาศหนาวเช่นนี้ ร้านบนถนนส่วนใหญ่ปิดร้าน จะมีอะไรให้เดินเที่ยวกัน
เปิดม่านเข้าไปในร้าน กลับเห็นในร้านว่างเปล่า มีแต่เจ้าเด็กอ้วนที่ถูกตนดุไปว่าเป็นพวกไร้ความกตัญญู และขุนนางนอกราชการวัยกลางคนผู้นั้นนั่งอยู่