Skip to content

องครักษ์เสื้อแพร 26

ตอนที่ 26 ช่างน่าประหลาด

เบื้องหน้าเจ้าเด็กอ้วนมีหมูสามชั้นน้ำแดงชามใหญ่วางอยู่ เขากำลังกินจนปากมันย่อง เบื้องหน้าชายวัยกลางคนยังมีผักกาดขาวตุ๋นกากหมูกรอบชามหนึ่งวางอยู่ ก็กินอย่างเอร็ดอร่อยเช่นกัน

กากหมูกรอบคือเนื้อแห้งที่ได้จากการเจียวเอาไขมันออก กลิ่นหอมกรุบกรอบอย่างมาก หอเลิศรสของหวังทงเจียวน้ำมันหมูเอง ดังนั้นจึงมีกากหมูเหลือไม่น้อย เดิมคิดว่าจะเอาไปให้บรรดาลูกจ้างในร้านกินกับข้าวเหมือนเดิม แต่หวังทงคิดอาหารจานใหม่จากกากหมูตุ๋นและผักกาดขาวหั่นฝอยขึ้นมาได้

ผักกาดขาวหั่นฝอยเดิมเป็นของจืดๆ ธรรมดา แต่พอมาตุ๋นรวมกับเนื้อที่มีกลิ่นหอมนี้ ความหวานของผักกาดขาวกับกลิ่นหอมของกากหมูก็เข้ากัน รสชาติของสองอย่างนี้ยังผสมกลมกล่อมกับวุ้นเส้นใสในนั้น รสชาติดีเป็นที่หนึ่ง

ยิ่งตอนนี้ลมหนาวด้านนอกพัดแรง เมื่อเดินเข้ามาในร้านและได้ซดน้ำซุปร้อนรสหอมหวานสักชาม ความอุ่นวาบจากลำคอลงไปถึงท้อง ทำให้รู้สึกสบายอย่างบอกไม่ถูก

ลูกค้าก็คือลูกค้า วันก่อนถึงแม้ว่ามีเรื่องกัน แต่วันนี้อีกฝ่ายมาถึงร้าน ก็คงไม่อาจขับไล่ หวังทงพยักหน้าทักทายลูกค้าทั้งสอง

หากขุนนางนอกราชการผู้นั้นแม้หลายวันก่อนยังท่าทางใหญ่โต แต่วันนี้กลับเข้ามาพูดด้วยก่อนว่า

“น้ำซุปนี้หอมหวาน พ่อครัวร้านเจ้าก็พอมีฝีมืออยู่บ้าง ไม่เลวเลยจริงๆ !”

“นายท่านกล่าวผิดแล้ว อาหารหอเลิศรสล้วนคิดปรุงขึ้นโดยเถ้าแก่ของเรา ซุปนี้ก็เช่นกัน”

พ่อครัวของร้านได้ยินคำพูดนี้ก็เอ่ยปากกล่าวตอบ และเป็นโอกาสประจบเถ้าแก่ของตนจึงไม่อาจปล่อยให้ผ่านไปง่ายๆ ได้ยินดังนั้น ขุนนางนอกราชการผู้นั้นก็มีสีหน้าประหลาดใจ

บรรยากาศอึดอัดผ่อนคลายลงไปมาก ใบหน้าหวังทงเผยรอยยิ้มขึ้น ทันใดนั้นก็พบว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง หนวดแพะของขุนนางนอกราชการผู้นี้เอียงไปหน่อย

การจ้องหน้าอีกฝ่ายเช่นนี้ไม่ค่อยสุภาพนัก หวังทงยังไม่ทันได้เพ่งมองอย่างถี่ถ้วน เจ้าเด็กอ้วนนั้นก็กลืนก้อนเนื้อลงท้องไป ใบหน้าพึงพอใจ พูดอู้อี้ขึ้นว่า

“ห้องเครื่องพวกนั้นไร้สามารถทำไม่อร่อยเหมือนของท่านที่นี่ มากินที่นี่อร่อยกว่า”

หวังทงพยักหน้ายิ้มรับ คู่อาฆาตนั้นเป็นกันง่าย เลิกราต่อกันนั้นยาก ลูกค้าท่านนี้ไม่โกรธก็ดีแล้ว

ท่าทางเกินจริงของเจ้าเด็กอ้วนนั้นก็ไม่น่าแปลกอะไร สำหรับเด็กแล้ว ของในบ้านล้วนอร่อยสู้ของข้างนอกไม่ได้เสมอ วันนี้อากาศยังหนาวเย็น การฝ่าลมฝ่าหิมะมากินอาหารร้อนๆ ที่นี่สักมื้อ แน่นอนย่อมทำให้รู้สึกอุ่นสบาย

หวังทงนั่งอยู่ที่มุมร้านเช่นเดิม การค้าหอเลิศรสของเขานั้นสามารถไปส่งอาหารให้กับบรรดานักพนันที่หอรวมคุณธรรมได้สำเร็จ แผนการในตอนแรกนั้นนับว่าสำเร็จแล้ว

ต่อมาก็ต้องรุกขึ้นไปอีกขั้น ฝึกพนักงานให้ดี รอบคอบในการจัดซื้อวัตถุดิบและด้านอื่นๆ ให้มากขึ้นอีกหน่อย เพิ่มรายได้และกำไรให้มากขึ้น สั่งสมทุนของตนเอง และเมื่อมีสถานที่ฝึกฝนอย่างหอรวมคุณธรรมเช่นนี้ พนักงานของเราก็จะชำนาญการอย่างรวดเร็ว ตอนหยิบดินสอถ่านออกมาจะขีดเขียน ขุนนางนอกราชการผู้นั้นก็เอ่ยปากถามว่า

“น้องชาย ธรรมเนียมองครักษ์เสื้อแพรข้าก็พอทราบมาบ้าง ทุกปีมีเงินประจำใช้ชีวิตระดับกลางๆ ได้อย่างสบายๆ ไยจึงต้องลำบากเช่นนี้?”

“หึๆ กล่าวตรงๆ วันเวลาเหล่านั้นมันว่างเปล่าเกินไป ข้าน้อยอายุน้อย อย่างไรก็ยังคงต้องขยัน…”

ขุนนางนอกราชการผู้นั้นพยักหน้ายิ้ม เห็นชัดว่าเป็นการตอบรับแสดงความเห็นด้วย เจ้าเด็กอ้วนข้างๆ ก็บ่นพึมพัมเบาๆ ว่า

“ว่างๆ ไม่ดีตรงไหน ยังดีกว่ายุ่งทุกวัน”

ขุนนางนอกราชการผู้นั้นยกชามซดน้ำซุปลงไป พอวางลงก็กล่าวด้วยท่าทางไม่ใส่ใจนักว่า

“น้องชายอายุเจ้าแม้ว่ายังน้อย แต่ก็เป็นองครักษ์ที่ดี เวลานี้ฮ่องเต้ยังดำรงอยู่ บ้านเมืองสงบสุข เป็นช่วงเวลาที่ต้องการบุคลากร ไยไม่ไปสอบขุนนางฝ่ายบู๊[1] การเดินเส้นทางนี้จักถือได้ว่าเดินบนเส้นแทนแห่งการแทนคุณแผ่นดิน…”

“ขอบคุณคำแนะนำของท่าน ข้าน้อยขอหาเงินเลี้ยงชีพให้ได้ก่อน แล้วค่อยไปสอบ หากจะว่าไป งานองครักษ์เสื้อแพรก็เป็นงานดี ไม่รีบๆ”

หวังทงรู้สึกมีบางอย่างผิดไป ขุนนางนอกราชการผู้นี้ดูเหมือนผู้ติดตามของเจ้าเด็กอ้วนนั่น เหตุใดพูดจาเหมือนพวกขุนนางใหญ่ ไม่ธรรมดาเลย

เรื่องราวไม่ธรรมดาก็คืออาเพศ สองคนนี้เดิมก็ไม่ค่อยธรรมดานัก อย่างไรก็ป้องกันไว้ก่อนดีกว่า ไยจะมากังวลถึงอนาคตของตนเองอย่างไร้เหตุผลเช่นนี้ ตนเป็นแค่องครักษ์เสื้อแพรตัวเล็กๆ จะไปมีอนาคตอันใด

ตอบกลับอย่างสุภาพไปสองประโยค หวังทงก็ไม่คุยต่อ ขุนนางนอกราชการผู้นั้นก็รู้สึกได้ถึงความเย็นชาของหวังทง หากวันนี้กลับอ่อนโยนมาก และก็รู้สึกว่าไม่รีบไม่ร้อน เขาเรียกหาผักกาดขาวตุ๋นกากหมูอีกชาม ค่อยๆ ละเลียดกินต่อ

ไม่นานนัก จางซื่อเฉียงกับนางหม่าและคนต่อเติมร้านที่เชิญมาก็ปรากฏตัวอยู่หน้าโต๊ะของหวังทง ซ้ายขวาในร้านไม่มีคน ทุกคนจึงร่วมวางแผนการขยายต่อเติมและการฝึกฝนคนงานหลังปีใหม่

หวังทงเมื่อชาติก่อนทำงานเริ่มจากระดับล่าง ค่อยๆ ก้าวสู่ระดับกลาง สำหรับการคิดงบก่อสร้าง คำนวณล่วงหน้า วางแผนแบ่งงานอะไรพวกนี้ก็ทำได้อย่างชำนาญ หากจะพูดว่าเชี่ยวชาญก็ว่าได้

จางซื่อเฉียงกับนางหม่าเดิมทีเป็นรากหญ้าในเมือง การก่อสร้างนั้นก็แค่ซ่อมแซมบ้านธรรมดา พวกเขาแม้ว่าอายุมากกว่า แต่ศูนย์กลางก็คือหวังทง ได้ยินแต่เสียงหวังทงพูดว่าร้านควรต่อเติมอย่างไร คนงานควรจัดอย่างไร ใครควรทำอะไร เงินควรจ่ายให้กับสิ่งใดบ้าง จะทำโฆษณาอย่างไร

ทุกสิ่งทุกอยางล้วนมีหลักการแบบแผนมากมายและเป็นระเบียบ ไม่ต้องกล่าวถึงสมาธิของคนที่นั่งฟังอยู่ที่โต๊ะของหวังทง แม้แต่ขุนนางนอกราชการและเจ้าเด็กอ้วนที่กินข้าวอยู่นั่นก็ยังตั้งใจฟัง

บรรดาคนงานพอเห็นเจ้าของกับเถ้าแก่คุยงานกันก็มีทีท่าผ่อนคลายลง ในร้านสะอาดสอ้าน ลูกค้าสองท่านดูแล้วก็ไม่น่าใช่คนทำธุรกิจร้านอาหาร หวังทงจึงไม่ต้องระวังตัว พูดคุยเสียงดังได้

“เริ่มวันที่ 5 หลังปีใหม่ งานนี้เพิ่มให้ทุกท่านสามเท่า ข้าจะตรวจสอบตามกำหนด มีอะไรไม่เข้าใจรีบถามข้ามา”

ทุกคนต่างรีบพยักหน้ารับคำ การมอบหมายที่ชัดเจน ใครก็ไม่มีคำถามสงสัย แค่เชื่อฟังทำตามก็พอแล้ว คนสร้างเป็นคนนอก ตอนมาก็แอบคิดกลอุบายอยู่บ้าง หวังทงอายุยังน้อย เรื่องการซ่อมแซมต่อเติมสร้างบ้านก็ไม่ใช่ผู้ชำนาญการ ตนเองอาจจะมีโอกาสได้ตกเงินตกทองสักหน่อย ระยะนี้กิจการหอเลิศรสก็ดีเช่นนี้ จะไม่หากำไรจากเขาได้อย่างไร

พอหวังทงกล่าวจบ กลอุบายของบรรดาช่างก่อสร้างเหล่านั้นก็มลายหายไปสิ้น อีกฝ่ายไม่เพียงรู้ว่าต้องทำอย่างไร ยังรู้ว่าจะเหลือเงินกำไรที่พอเพียงให้พวกเขาได้อย่างไร ต่อหน้าผู้ฉลาดเฉียบแหลมเช่นนี้ เช่นนั้นก็ทำงานกันอย่างซื่อสัตย์ดีกว่า!

“ปัง!”

ทุกคนพลันตกใจ มองไปที่ขุนนางนอกราชการผู้นั้นตบโต๊ะทีหนึ่ง กำลังมองจ้องมาทางนี้ด้วยใบหน้านิ่งสุขุม เจ้าเด็กอ้วนข้างๆ ก็นิ่งเงียบจ้องมองมา

สายตาของทั้งสองฝ่ายปะทะกัน ท่าทีสุขุมของขุนนางนอกราชการท่านนั้นก็เปลี่ยนเป็นรอยยิ้มทั่วใบหน้า ดึงเจ้าเด็กอ้วนนั่นลุกขึ้นยืน จ่ายเงินแล้วจากไป ตอนที่กำลังจะออกไป หยุดหันมามองและกล่าวว่า

“เห็นจากเรื่องเล็กน้อยนี่ น้องชายเจ้ามีอนาคตไกลแน่นอน!”

พอพูดจบ เจ้าเด็กอ้วนข้างๆ ก็พยักหน้าหงึกๆ หวังทงสีหน้างุนงง ตามองตามพวกเขา ลูกค้าสองท่านนั้นไม่ได้อธิบายอันใด ก็ตรงออกไป เดินจากไปอย่างสง่างาม

เครานั่นทำไมยิ่งเอียง หนวดนั่นก็ย้ายตำแหน่ง หรือว่าเปลี่ยนรูปร่างเพราะซดน้ำซุป เมื่อครู่หวังทงเอาแต่จ้องหน้าขุนนางนอกราชการผู้นั้น แปลกมากๆ หรือว่าหนวดเครานั่นเป็นของปลอมกัน

…………………………

[1] ขุนนางในราชสำนักแบ่งออกเป็นขุนนางฝ่ายบุ๋นที่ใช้วิชาความรู้ในการทำงาน กับขุนนางฝ่ายบู๊ที่ใช้วิชการการต่อสู้ในการทำงาน

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version