ตอนที่ 27 เผยปริศนา
“พ่อบุญธรรมขอรับ ไอ้ลูกหมานั่นมันแย่งงานถนนทักษิณของลูกไป ยังทำให้ลูกโดยนายกองร้อยเถียนตำหนิ ส่วยของปีนี้น้อยไปสักหน่อย ลูกเองก็ลำบาก!”
“เจ้ามิได้กินตำแหน่งนายกองธงใหญ่หรือ เถียนหรงหาวนั้นก็รู้ว่าเจ้าเป็นลูกบุญธรรมข้าไม่ใช่หรือ?”
“พ่อบุญธรรมขอรับ ไอ้ลูกหมาหวังทงนั้นเป็นพวกเดนตาย ถนนสายนั้นเล่ากันว่ามันเป็นลูกหลานของกงกงคนหนึ่งในวังหลวง ผู้ใดจะกล้าล่วงเกินมัน!!”
ขันทีในวังที่นั่งอยู่ด้านหน้าดูแล้วอายุมากกว่าหลิวซินหย่งไม่กีปี ท่าทางผอมแห้งแบบนั้น ดูแล้วก็คล้ายกันอยู่บ้าง ผู้สวมชุดขันทีผู้นี้พอได้ยินเสียงสะอึกสะอื้นของหลิวซินหย่ง ก็โกรธขึ้นมาทันที กล่าวเสียงแหลมขึ้น
“ญาติของกงกงผู้ใดกัน!? ไยข้าไม่รู้ รอให้ข้าสอบถามให้แน่ชัดก่อน ค่อยออกหน้าแทนเจ้า!!”
พอผ่านวันที่ 20 เดือนสิบสอง ถนนทักษิณยามเช้าเงียบสงบยิ่งนัก เมื่อคืนหิมะตกเล็กน้อย ร้านค้าที่หยุดก็หยุดกันก่อนหน้านี้นานแล้ว หน้าร้านแต่ละร้านก็ไม่มีรอยเท้าผู้คนแม้แต่รอยเดียว
มองกลับไปยังกำแพงเมืองที่ปกคลุมไปด้วยหิมะ และมองถนนทักษิณที่ขาวโพลนไปด้วยหิมะ บอกไม่ถูกว่ารู้สึกอย่างไร หวังทงขยับหมวกบนศีรษะให้แน่น รีบก้าวเดินไปข้างหน้า
เกือบจะ 10 วันแล้วที่ไม่ได้ไปจวนนายกองร้อยเถียน แม้ว่าจะส่งของกำนัลปีใหม่ไปที่จวนแล้ว ของไม่ได้ขาดตกบกพร่อง แต่ก็ยังไม่ได้ทักชายชราผู้นั้นเลย
สำหรับวันนั้นที่พลิกวิกฤตเผชิญหน้ากับหลิวซินหย่ง หวังทงคิดไปคิดมาแล้ว ก็ไม่เห็นเหตุอันใดนัก ดูเหมือนมีเพียงว่าตนสนิทกับชายชราจวนนายกองร้อยเถียนผู้นั้น กับเงินหนึ่งพันตำลึงที่ควักเนื้อจ่ายไปเท่านั้น
เงินหนึ่งก้อนช่วยงานหนึ่งงาน ตั้งแต่อดีตมาจนถึงปัจจุบันก็เป็นเช่นเดียวกัน หวังทงไม่รู้สึกว่าเงินนั่นจะมีส่วนช่วยอันใด ส่วนที่ช่วยพลิกวิกฤตแปดเก้าส่วนนั่นต้องมาจากชายชราผู้นั้น
หากถามต่อหน้าก็แล้ว แอบถามอ้อมๆ ก็แล้ว ชายชรารับใช้ที่เฉลียวฉลาดผู้นั้นก็เลี่ยงไปได้ อีกฝ่ายยังตอบได้สมจริง ไม่เหมือนโกหก
จะว่าไป หากมีความเกี่ยวข้องอันใดกับนายกองร้อยเถียน ไยต้องออกมาราดน้ำกวาดพื้นแต่เช้าตรู่ แม้ในฤดูหนาวนั้นก็ไม่เห็นจะเว้นว่าง งานนี้น่าจะเรียกได้ว่าหนักเกินไป มีแต่ให้คนรับใช้ระดับล่างทำ
หวังทงไม่ได้รุกถามต่อ บางเรื่องต้องรู้จักพอประมาณ ไม่ว่าผู้ใดช่วยเหลือตน ไม่ช้าก็เร็วย่อมจะปรากฏ หากต้องเหินห่างจากชายชราผู้นั้นด้วยเหตุนี้ล่ะก็ เกรงว่าจะไม่ดีนัก รักษาสายสัมพันธ์ของผู้ที่เกี่ยวข้องกับนายตนเองไว้ อย่างไรก็น่าจะเป็นประโยชน์ แต่จะว่าไป ดูเหมือนจะเป็นสหายเพียงคนเดียวที่พอจะคุยด้วยได้โดยที่ลืมเรื่องอายุไป
เขาถือกล่องข้าวไว้ ข้างในมีผักกาดขาวตุ๋นกากหมูกับสามชั้นน้ำแดง แม้ว่าเมื่อไปถึงอาหารจะเย็นแล้ว แต่อาหารสองอย่างนี้หากอุ่นร้อนอีก กลิ่นหอมและรสชาติก็ยังคงเดิม นำมามอบให้เหมาะที่สุด
ตื่นเช้ามาก็เดินไปอย่างรวดเร็ว ตอนมาถึงประตูจวนนายกองร้อยเถียนพอดีกับที่ชายชราออกมา ตอนเห็นหวังทงมาถึงก็อดอึ้งไปไม่ได้ หวังทงยิ้มทักทายว่า
“ลุงเถียน ยังตื่นเช้าเหมือนเดิมเลยนะ!”
“ไม่ตื่นเช้า พระอาทิตย์ขึ้นมา หิมะก็ละลายกลายเป็นน้ำแข็งแล้วสิ!”
อย่างไรคนในจวนเถียนนี้ก็ใช้แซ่ตามเจ้านายในจวน ลุงเถียนเห็นหวังทงมาใบหนาพลันมีรอยยิ้มบางปรากฏเล็กน้อย หวังทงรีบเดินเข้าไป ตอนไปถึงขั้นกระไดด้านล่างหน้าลุงเถียนก็รับอุปกรณ์กับถังไม้มา คนแก่จะได้ไม่ลื่นล้ม ลุงเถียนยิ้มพร้อมด่าขึ้น
“ไม่ต้องมารายงานตัวแล้ว อากาศหนาวเช่นนี้ยังมาอีกทำไม?”
“นี่ไม่ใช่ใกล้ตรุษจีนหรือ ข้าเอาอาหารขึ้นชื่อของร้านข้ามาให้ท่าน ชั้นแรกเป็นหมูสามชั้นน้ำแดง อีกชั้นหนึ่งเป็นผักกาดขาวตุ๋นกากหมู อุ่นหน่อยก็กินได้แล้ว เจ้านายฉลองตรุษจีน ลุงเถียนท่านก็อย่าได้ทำตัวเองให้ลำบากเลย”
ลุงเถียนรับกล่องอาหารมาแล้วพยักหน้าเงียบๆ เห็นหวังทงเริ่มกวาดพื้น กำลังจะเอ่ยปาก ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าม้าเร่งรีบดังเข้ามา ปากทางฟากหนึ่งมีผู้ขี่ม้าอย่างรีบร้อนตรงมา
ทั้งสองรีบผละออกจากกัน ผู้ขี่ม้ามานั้นแต่งกายเหมือนองครักษ์เสื้อแพร จุดหมายก็คือจวนใต้เท้าเถียน เขาหยุดม้าที่หน้าประตู มองเห็นประตูจวนเปิดออก ก็ไม่รอให้คนไปรายงาน รีบวิ่งเข้าไปด้านในทันที
ผู้ที่มานี้หน้าไม่คุ้น ไม่ใช่พลทหารนายกองร้อยเถียน ในจวนที่เงียบอยู่นั้นพลันมีเสียงดังเซ็งแซ่ขึ้น หวังทงส่งสายตามองไปยังลุงเถียน เห็นสีหน้าเต็มไปด้วยความกังวลใจ หากองครักษ์เสื้อแพรผู้นั้นเข้าไปไม่นานก็ออกมา ขึ้นม้าจากไป
“คนนอกเห็นท่าทางอวดเบ่งเช่นนี้ ก็ไม่รู้ว่าจะต้องหวาดกลัวเพียงไร…”
ลุงเถียนพูดพึมพัมขึ้นมาทันที ใบหน้าหวังทงยังคงเดิม แต่ก็มั่นใจได้อย่างหนึ่งแล้วว่าท่านลุงผู้นี้ไม่ใช่คนธรรมดา
ไม่นานนัก นายกองร้อยเถียนที่สวมชุดขุนนางก็รีบร้อนออกมาจากประตูจวน ข้างหลังยังมีคนจูงม้าตามออกมา ขณะนายกองร้อยเถียนกำลังจะขึ้นม้า ก็หันมาเห็นลุงเถียนและหวังทงที่ยืนอยู่ ก็ลังเลครู่หนึ่ง อดบ่นขึ้นไม่ได้ว่า
“ท่านพ่อ อากาศหนาวขนาดนี้ ท่านก็อย่าได้ออกมาเลย จะหาเรื่องใส่ตัวเช่นนี้ทำไมกัน!!”
ลุงเถียนไม่ได้รับคำ เพียงแต่ถามด้วยความเป็นห่วงว่า
“มีงานด่วนอันใด!?”
“นายกองพันโจวเรียกพบ เห็นว่าไปก็จะรู้เอง งานพวกนี้ให้หวังทงทำไป ท่านพ่อรีบกลับเข้าจวนเถอะ!”
ลุงเถียนโบกมืออย่ารำคาญ นายกองร้อยเถียนก็กำลังร้อนใจ จึงได้ขึ้นม้าห้อตะบึงไปอย่างเร่งรีบ
เป็นบิดานายกองร้อยเถียนจริง นี่น่าจะเป็นเรื่องที่เดาถูกเรื่องหนึ่งในบรรดาเรื่องมากมายของหวังทง หากเมื่อเปิดเผยแล้ว อย่างไรก็ต้องวางอุปกรณ์ในมือลง เดินเข้าไปประสานมือคารวะด้วยความ ‘ตกใจ’ พร้อมกล่าวว่า
“เมื่อก่อนข้าน้อยไม่รู้ว่าท่านลุงคือท่านผู้เฒ่า ล่วงเกินไปไม่น้อย ขอท่านโปรดอภัย”
เห็นหวังทงมีท่าทางเช่นนี้ ลุงเถียนที่ผมเผ้าหนวดเคราขาวโพลนก็ขมวดคิ้วมุ่น ใบหน้าเต็มไปด้วยความรำคาญใจกล่าวอย่างไม่สุภาพนักขึ้นว่า
“ท่านผู้เฒ่าอะไรกัน ข้าเป็นเพียงแค่ตาเฒ่าที่เคยรับใช้คนอื่นเท่านั้น น้องชายข้าไม่อยากเห็นท่าทางอย่างนี้ของเจ้า ข้าจึงได้ไม่ได้บอกกับเจ้า”
ลุงเถียนก็รู้สึกอารมณ์เสียไปบ้าง เดิมคิดว่าจะมีเพื่อนต่างวัย เห็นท่าทางอย่างนี้ เกรงว่าวันหน้าจะนอบน้อมเกรงใจ คิดไม่ถึงว่าหวังทงจะเงยหน้าพร้อมรอยยิ้มคิกคัก หยอกล้อว่า
“ข้าก็คิดว่าอย่างนี้มันเหนื่อยเหมือนกัน ขาดอาวุโสผู้รู้ใจที่คุยได้ไปผู้หนึ่ง หรืออย่างนั้นวันหน้าก็เป็นเหมือนเมื่อก่อนดีไหม?”
คำพูดนี้แฝงความหยอกเย้าอยู่บ้าง หากลุงเถียนที่อึ้งไปนั้นกลับระเบิดเสียงหัวเราะออกมา ยกมือชี้หน้าหวังทง ยามนี้หวังทงจึงได้โค้งคำนับเกือบติดพื้น ประสานมือคารวะ กล่าวอย่างเป็นการเป็นงานว่า
“วันนั้นเจ้ากั๋วต้งและหลิวหย่งซินได้มาเผชิญหน้ากับข้าน้อยที่หน้าประตู หากไม่ได้ลุงเถียนยื่นมือเข้าช่วย ข้ายังไม่รู้ว่าวันนี้จะเป็นเช่นไร บุญคุณครั้งนั้นยังไม่ได้กล่าวขอบคุณ ขอท่านโปรดรับการคารวะจากข้า”
หวังทงเพิ่งคารวะเสร็จ ลุงเถียนก็โบกมืออย่างรำคาญ และเอ่ยขึ้น
“รีบกวาดหิมะสิ เดิมคิดว่าเจ้าช่วยข้ากวาดพื้น ข้ายังคิดว่าเจ้ารู้ว่าข้าเป็นใคร น่ามีแผนอะไร จนวันที่สองเกิดเรื่องนั้นขึ้น จึงได้รู้ว่าเจ้าเป็นคนมีคุณธรรม เลยช่วยพูดไปสองสามประโยค ก็มิใช่บุญคุณอันใด อย่างน้อยก็ช่วยข้ากวาดหน้าประตูอยู่หลายวัน ก็นับว่าตอบแทนแล้ว!”
จิตใจดีย่อมได้รับผลดีตอบแทน คนรู้จักกันผิวเผิน กลับคิดไม่ถึงว่าจะนำสิ่งดีๆ มาให้ เพราะการออกหน้าของตนเพียงเล็กน้อย หวังทงอ้าปากเหมือนจะเอ่ยขึ้นต่อ แต่กลับไม่ได้กล่าวสิ่งใดออกมา เพียงแต่ชี้ไปที่กล่องอาหารกล่าวว่า
“เนื้อและผักพวกนี้ต้องอุ่นให้ดีถึงจะกินได้รสชาติที่อร่อย!”
“ตัวข้ายามเป็นคนระดับล่างก็เคยกินเคยเห็นมา อาหารสองอย่างของเจ้านี้จะเข้าตาข้าได้อย่างไร”
การโต้ตอบเมื่อครู่ ทำให้ความสัมพันธ์ห่างเหินเขยิบเข้าใกล้กันอีกครั้ง
หากในเวลาต่อมา ลุงเถียนก็ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวไปบ้าง อดไม่ได้ที่จะมองไปทางถนน เห็นชัดว่าเป็นห่วงลูกชายที่ถูกนายกองพันเรียกหาแต่เช้า