Skip to content

องครักษ์เสื้อแพร 28

ตอนที่ 28 คัดเลือกผู้มีความสามารถอย่างตรงไปตรงมา

องครักษ์เสื้อแพรในเมืองหลวงตามกฏแล้วจะมีนายกองพัน 14 นาย หากที่อยู่ในเมืองหลวงจริงๆ มีไม่ถึง 8 นาย แม้ว่าลำดับชั้นขุนนางจะไม่เกินระดับห้า แต่ทุกนายล้วนเป็นขุนนางสำคัญ

นายกองพันโจวหลินปิ่งเป็นผู้บัญชาการรักษาการเขตทักษิณ อย่าได้เห็นว่ายามอยู่ในเขตพื้นที่ของตนนายกองร้อยเถียนที่มีท่าทางใหญ่โตวางอำนาจน่าเกรงขาม หากเมื่อไปอยู่หน้าประตูจวนโจวหลินปิ่ง ก็ยังต้องนอบน้อมถึงที่สุด

เถียนหรงหาวรู้สึกร้อนใจ แท้จริงแล้วมีเรื่องอะไรจึงได้เรียกตนมาแต่เช้าเช่นนี้ ตอนเหนือของเขตทักษิณยังนับได้ว่าสงบเรียบร้อย ผู้ใต้บังคับบัญชานับว่ารู้จักวางตัวไม่ก่อเรื่อง ระยะนี้ก็ไม่มีเรื่องอะไรสำคัญนัก ที่สำคัญยิ่งกว่านั้นก็คือ เงินส่วยรายเดือนส่วนของตนนั้นก็มิเคยนำส่งลดลง

และหลังจากตรวจพบส่วนที่หลิวซินหย่งอมไป ตอนนี้ก็ล้วนให้บรรดาหัวหน้าหน่วยเก็บรายเดือนมามอบให้เขาโดยตรง จากนั้นค่อยแบ่ง แม้จะวุ่นวายไปบ้าง แต่รายได้ก็สูงถึงสามเท่า อาจกล่าวได้ว่า เงินทองที่มอบให้กับโจวหลินปิ่งนั้นก็มากขึ้นไม่น้อย

นอกจากนี้ตนเองยังทำอะไรผิดอีกหรือ ที่โถงรับแขกจวนนายกองพันโจว เถียนหรงหาวมีสีหน้านอบน้อมกว่าปกติ แต่ในใจใคร่ครวญไม่หยุด

หากทุกอย่างปกติ ทุกอย่างเป็นปกติแล้ว เช้าตรู่ในเดือนสิบสองเช่นนี้จะส่งม้าเร็วไปตามมาทำไมกัน? พอคิดถึงตรงนี้ ชายท่าทีซื่อตรง ความสูงปานกลางผู้หนึ่งก็เดินออกมา เถียนหรงหาวรีบคารวะ เรียกขานใต้เท้าโจว

โจวหลินปิ่งเป็นตระกูลองครักษ์เสื้อแพรของแท้ ว่ากันว่าบรรพบุรุษเคยออกรบเคียงบ่ากับอดีตฮ่องเต้จูตี้[1] กล้าหาญไม่กลัวตายจนทำให้ลูกหลานได้ดิบได้ดีเช่นนี้ ในเมืองหลวงนี้ก็สืบทอดกันมาเกือบ 200 ปีแล้ว ความสัมพันธ์ซับซ้อนหลายชั้น นับว่าเป็นเจ้าของพื้นที่ และเป็นผู้นำในเมืองหลวง

บุคคลสำคัญเช่นนี้ แม้แต่ผู้บัญชาการสูงสุดขององครักษ์เสื้อแพรยังต้องเกรงใจ ให้เกียรติกันอยู่หลายส่วน

ใบหน้าโจวหลินปิ่งมีหนวดเคราชี้แหลม ศีรษะใหญ่ราวเสือดาว ดวงตายาวรีดุดัน หากคำพูดกลับอ่อนโยนนุ่มนวล พอเข้ามาในโถงรับแขกก็ยิ้มกล่าวว่า

“พี่น้องคนกันเอง พี่เถียนนั่งลงเถอะ ไยยังยืนอยู่ล่ะ รีบนั่งๆ !!”

ความเกรงใจของหัวหน้าทำให้เถียนหรงหาวยิ่งเป็นกังวล นั่งลงตรงขอบเก้าอี้ โจวหลินปิ่งใบหน้าผ่อนคลาย แต่ในใจกลับแอบยิ้มเยาะ บิดาของเถียนหรงหาวเป็นบ่าวรับใช้ขุนนางผู้ใหญ่ บิดาเป็นบ่าว ผู้เป็นลูกชายก็ย่อมต้องมีท่าทางเช่นนี้

แต่คำพูดยังคงอ่อนโยน กล่าวทักทายตามมาว่า

“วันนี้ต้อนรับเร่งรีบ พี่เถียนยังไม่ได้กินมื้อเช้ากระมัง พอดีข้าก็ยังไม่ได้กิน มาๆ ๆ พวกเราดื่มชาน้ำมันกัน…”

เหงื่อเย็นบนแผ่นหลังของเถียนหรงหาวซึมออกมา หวาดกลัวถึงขีดสุด

“พี่เถียน ได้ยินพี่น้องใต้บังคับบัญชากล่าวว่า มีพลทหารผู้หนึ่งชื่อว่า หวังทง ขยันขันแข็งมาก?”

นายกองร้อยเถียนพอดื่มชาน้ำมันหมดก็ได้ยินผู้บังคับบัญชาสอบถาม ในใจก็ตกใจระคนแปลกใจ หากสีหน้ายังคงเดิม รีบตอบว่า

“ขอรับ เดือนเก้าปีนี้เข้าแทนตำแหน่งบิดา อายุไม่มาก หากขยันตั้งใจทำงาน”

ตอนเดือนสิบสองที่ไม่ต้องรายงานตัวและประจำการ แต่เช้าตรู่ส่งม้าเร็วมาเรียกจากบ้าน แน่นอนย่อมไม่ใช่เรื่องง่ายๆ อย่างนี้ เถียงหรงหาวฟังความหมายที่ซ่อนอยู่ของหัวหน้าออก จึงตัดสินใจแล้วว่า กลับไปนี่ต้องเลื่อนหวังทงให้เป็นนายกองธงเล็ก

“ผู้บัญชาการสูงสุด ใต้เท้าหลิวกล่าวหลายครั้งแล้วว่า ยามนี้ฮ่องเต้ทรงมีพระปรีชา เป็นยุครุ่งเรือง องครักษ์เสื้อแพรเป็นองครักษ์ในพระองค์ ก็ต้องขยันขันแข็งเป็นพิเศษ หากพบเห็นผู้ใดปฏิบัติงานได้ดี ก็ต้องส่งเสริม”

“ใต้เท้ากล่าวถูกต้อง หวังทงแม้ว่าจะเข้ามาได้ไม่กี่เดือน เรื่องการงานและการวางตัวทุกคนล้วนเห็นกันอยู่ ข้าน้อยเตรียมจะส่งเสริมให้เป็นนายกองธงเล็ก”

แม้ว่าไม่ได้เตรียมก็ต้องบอกว่าเตรียม เจ้านั่นอย่างน้อยทุกวันนี้ก็ช่วยบิดาตนกวาดพื้น ยังให้เงินตนอีกก้อนใหญ่ นับว่าเป็นผู้ที่รู้ว่าอะไรควรและไม่ควร รอหลังตรุษจีนก็ว่าจัดการเรื่องนี้เสียเลย

ดูท่าข่าวเก่าที่ว่าเจ้าหวังทงนั่นมีสายสัมพันธ์กับกงกงท่านหนึ่งน่าจะเป็นเรื่องจริง นายกองร้อยเถียนแอบด่าในใจ มีสายสัมพันธ์นี้ก็ไม่รีบบอก ต้องให้ข้ามาลำบากเช่นนี้

ได้ยินนายกองร้อยเถียนรับปาก นายกองพันโจวหลินปิ่งก็ไม่ได้พยักหน้า กลับถอนหายใจ กล่าวเนิบนาบขึ้นว่า

“ส่งหวังลี่ไปมาเก๊า ก็เป็นข้าลงนาม คิดไม่ถึงว่าเพียงปีเดียวกลับต้องมาด่วนจากไป ผู้มีความสามารถเช่นนี้จากไป ช่างน่าเสียดาย ขุนนางญี่ปุ่นได้กล่าวกับนายกองพันหลายท่านว่า หวังลี่ผู้นี้กลับมา จักต้องให้เป็นนายกองธงใหญ่จึงจะสามารถตอบแทนความขยันตั้งใจของเขา”

นายกองร้อยเถียนไม่อาจรักษาท่าทีสงบนิ่งได้อีกต่อไป ร่างกายสั่นเทิ้มไปทั้งตัว รีบถามขึ้นว่า

“ใต้เท้า หวังทงปีนี้ยังไม่ถึง 14 ปี ทดแทนตำแหน่งมาแค่สามเดือน…”

นายกองธงใหญ่ไม่เหมือนกับนายกองธงเล็ก นายกองธงใหญ่จัดว่าเป็นตำแหน่งที่มีอันดับในสังกัดองครักษ์เสื้อแพร เทียบเท่ากับรองนายกองร้อย มีอำนาจสั่งการและมีส่วยให้รับ นอกในไม่รู้มีคนเท่าไรจับจ้องตำแหน่งนี้ ปกตินายกองร้อยไม่อาจตัดสินใจเลือกได้ มีเพียงนายกองพันเป็นผู้เลือกเท่านั้น

ตามหลักแล้วนายกองร้อยหนึ่งคนต่อนายกองธงใหญ่สองคน เถียนหรงหาวนอกจากมีหลิวซินหย่งแล้ว ยังมีตำแหน่งว่างอยู่อีกหนึ่ง แต่เพราะว่ามีผู้ต้องการส่งคนของตนเข้ามาแทนมากเกินไป หลายฝ่ายจึงยังตกลงกันไม่ได้ โจว หลินปิ่งกดดันลงมาแล้ว ระยะนี้มีข่าวลือว่าตำแหน่งนี้เตรียมจะยกให้กับหลานชายผู้ช่วยผู้บัญชาการสูงสุดแห่งกององครักษ์เสื้อแพร

คิดไม่ถึงว่าจะต้องมายกให้หวังทง ตำแหน่งองครักษ์เสื้อแพรในเมืองหลวงเป็นที่แย่งชิงกันมาก หากยังกล่าวจองกันแค่เจ็ดส่วน แต่คำพูดเมื่อครู่ของโจวหลินปิ่งได้กล่าวจองมาเกือบแปดส่วนแล้ว

เถียนหรงหาวกล่าวเพียงสองประโยค ก็เห็นสีหน้าโจวหลินปิ่งกระด้างขึ้นมาทันใด ในใจเขารู้อารมณ์นายกองพันดี นั่นก็คือไม่ยอมให้ผู้ใดขัดความเห็น ตั้งใจจะส่งเสริมให้ได้ หากก็ไม่ได้ขัดอะไรกับตน หวังทงผู้น้นยังนับว่ารู้จักมารยาท

“ใต้เท้ากองพันกล่าวถูกต้องขอรับ หวังทงขยันขันแข็ง หวังลี่บิดาเขาก็มีคุณต่อสังกัดเรา หลังปีใหม่นี้ข้าน้อยจะนำหนังสือแต่งตั้งส่งขึ้นมารายงาน”

“ไม่ต้องรอหลังปีใหม่ ยิ่งเร็วยิ่งดี เช้านี้ก็เอาหนังสือมาให้ข้า รีบรายงานต่อสำนักองครักษ์ทางนั้นโดยเร็ว!”

โจวหลินปิ่งกล่าวขึ้นอย่างไม่ให้ทางเลือกอื่น นายกองร้อยเถียนอย่างไรก็คิดไม่ตก หากก็รีบลุกขึ้นรับคำ อำลาจากไป เสื้อนอกตัวสั้นของเถียนหรงหาวเปียกชื้นไปด้วยเหงื่อเย็น

ตอนขี่ม้าอยู่นั้น เถียงหรงหาวจึงได้พอมีเวลาใคร่ครวญถึงหวังทงผู้นี้ว่าแท้จริงแล้วเป็นผู้ใดกัน นายกองพันโจว หลินปิ่งจึงได้ดูแลถึงเพียงนี้ เช่นนั้นแล้วการที่ตนเองรับเอาเงินทองมากมายของอีกฝ่ายเอาไว้จะก่อเรื่องโกรธแค้นใดตามมาหรือไม่

หากคิดกลับมาอีกทีก็รู้สึกวางใจลง บิดาตนนั้นดูเหมือนว่าคบหาเป็นสหายกับหวังทง อย่างน้อยก็พอมีน้ำใจกันอยู่บ้าง

นายกองร้อยเถียนกำลังคิดอยู่ทางนี้ นายกองพันโจวหลินปิ่งก็รีบร้อนออกจากจวน ฮูหยินของเขารีบหยิบป้ายคำสั่งและหมวกมาให้พลางบ่นขึ้นว่า

“เห็นกันว่าใกล้จะปีใหม่แล้ว ไยต้องออกไปข้างนอกด้วย ไม่สนใจครอบครัว…”

“สตรีอย่างเจ้าจะเข้าใจอันใด ใต้เท้าหลิวที่เป็นผู้บัญชาการสูงสุดมอบหมายงานมาให้ตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง จะสามารถเป็นเรื่องเล็กได้หรือ? ข้าต้องรีบไปรายงาน ไม่เช่นนั้นคงได้เจอดีแน่!”

นายกองพันโจวหลินปิ่งส่งเสียงตะโกนดังตำหนิ แล้วรีบขึ้นม้าออกไป

เรื่องเลื่อนตำแหน่งพวกนี้ ไม่มีใครไม่ยินยอม จากบนลงล่างเร่งรัดกันรีบด่วนเช่นนี้ นายกองร้อยเถียน นายกองพันโจวและคนอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ก็ต่างรีบร้อนกันจนเหมือนเสือติดจั่น แต่กลับไม่มีคนแจ้งข่าวแก่หวังทง ผลการเลื่อนตำแหน่งเป็นเรื่องที่น่ายินดีอย่างมากเช่นนี้ ไม่มีแม้แต่คนที่จะไปหาหวังทงเพื่อเอาหน้า

หวังทงและบรรดานายกองร้อยกองพันรวมทั้งคนอื่นๆ ต่างก็ไม่รู้ที่มาที่ไปในเรื่องนี้

…………………………

[1] ฮ่องเต้จูตี้ เป็นฮ่องเต้องค์ที่สามแห่งราชวงศ์หมิง ขึ้นครองราชย์ราวปี ค.ศ. 1402-1424

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version