ตอนที่ 95 จิ้งจอกอาศัยบารมีพยัคฆ์อวดเบ่งก็น่ากลัวเช่นกัน
ในความทรงจำของโจวหลินปิ่ง หวังทงเป็นแค่เด็กที่โชคดีไม่เลวเท่านั้น ด้วยอาศัยความสัมพันธ์จากผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพรหลิวโสวโหย่ว
ต่อมาข่าวก็มีมาเรื่อยๆ โจวหลินปิ่งพอจะเดาออกว่า หวังทงอาจมีผู้อยู่เบื้องหลังเป็นถึงมหาขันทีในวังคนใดคนหนึ่ง ไม่น่าเป็นไปได้ว่าจะเป็นเฝิงเป่า ถ้าใช่ก็คงไม่เป็นเพียงแค่นายกองธงใหญ่แค่นี้
คิดถึงตรงนี้ นายกองพันโจวหลินปิ่งก็ขี้เกียจคิดต่อ ตระกูลเขาอยู่ในเมืองหลวงมานาน ตำแหน่งองครักษ์เสื้อแพรสืบทอดต่อกันมา ก็รู้ดีว่าเรื่องอะไรสืบข่าวได้ เรื่องอะไรควรแกล้งไม่รู้ไม่เห็น รู้ธรรมเนียมเช่นนี้อย่างนี้
หวังทงผู้นั้นเป็นเพียงแค่นายกองธงใหญ่ ห่างชั้นกับตนมากนัก ไม่ต้องสมาคมกันน่าจะดี นี่เป็นการวิธีการรักษาตัวรอดของโจวหลินปิ่ง
แต่วันนี้นายกองร้อยหยางแห่งกองเอกสารกลับมีเรื่องกับหวังทง โจวหลินปิ่งก็ไม่อาจไม่ข้องเกี่ยว หากไม่ไปตรวจสอบ เอกสารก็ไม่ออกไป ตนเองก็ต้องเสียงานอยู่ดี หากไปตรวจสอบ ล่วงเกินเอาเบื้องหลังหวังทงก็ไม่ได้
โจวหลินปิ่งออกมาจากกองเอกสารด้วยท่าทางนอบน้อม จากนั้นมุ่งหน้าไปยังสำนักองครักษ์เสื้อแพร ผู้บัญชาการ รองผู้บัญชาการล้วนอยู่ที่นั่น
ไปถึงอย่างเร็ว สำนักองครักษ์เสื้อแพรกับกองเอกสารองครักษ์เสื้อแพรเป็นเรือนใหญ่สองหลังในพื้นที่เดียวกัน สำนักองครักษ์เสื้อแพรมีคนมีฝีมือการต่อสู้อยู่มาก ทุกคนคุ้นหน้ากันดี คนเฝ้าหน้าประตูก็นำโจวหลินปิ่งเข้าไปอย่างนอบน้อม
ผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพรหลิวโสวโหย่วกำลังปรึกษาหารือกับนายกองพันผู้หนึ่งที่กลับมาจากกองกำลังพิทักษ์เทียนจิน ในเมืองหลวงมีนายกองพันแค่แปดนาย หลิวโสวโหย่วจึงต้อนรับอย่างเกรงอกเกรงใจ มิได้รอนานนั้น ด้านในก็ให้เข้าพบได้
พอโจวหลินปิ่งเข้ามก็ยืนเล่าเรื่องท่าทางนอบน้อม พูดกันตามจริง ที่เขารู้ก็ไม่มากนัก ที่โจวหลินปิ่งรู้มานั้นก็แค่เมื่อคืนหวังทงนำคนไปลงมือกับหยางซื่อฝ่าท่ามกลางผู้คน เหตุจากอะไร ลงมือที่ไหน ล้วนไม่แน่ชัด
“หยางซื่อฝ่าบอกให้ลงโทษหวังทงให้หนัก?”
พอเล่าจบ ผู้บัญชาการหลิวโสวโหย่วก็ขมวดคิ้วถามเพียงแต่ประโยคนี้ กลับไม่ถามว่าใช้อะไรลงมือ และไม่ถามถึงสาเหตุที่ลงมือ ถามกลับเพียงเท่านี้
“เรียนใต้เท้า หยางซื่อฝ่ากักเอกสารของข้าน้อยเอาไว้ บอกว่าข้าน้อยต้องลงโทษให้หนัก ไม่งั้นก็ไม่ส่งเอกสารออกไป”
โจวหลินปิ่งท่าทางหยาบกระด้าง แต่จริงๆ แล้วเป็นคนฉลาดเฉลียวนัก การถามเช่นนี้แสดงให้เห็นว่าผู้บัญชาการหลิวโสวโหย่วเอนเอียงไปทางนั้น ท่าทีอย่างไรก็แน่ชัดแล้ว
พอได้ยิน หลิวโสวโหย่วก็โมโหมากตบโต๊ะดังเปรี้ยง หลิวโสวโหย่วผู้นี้เกิดในตระกูลขุนนางภักดี ตระกูลขุนนางภักดีอย่างไรก็ดำรงตำแหน่งได้แค่ขุนนางฝ่ายบู๊ ทว่าต้นตระกูลร่ำรวย จึงไม่มีกลิ่นอายนักต่อสู้หลงเหลืออยู่นานแล้ว การแสดงออกก็มักจะอ่อนโยนละมุนละไมแบบบัณฑิตมีความรู้ เน้นเรื่องการรักษาภาพลักษณ์
ยากที่จะได้เห็นอาการโมโหเช่นนี้ของเขา พอได้เห็นเช่นนี้ โจวหลินปิ่งก็ยิ่งระวังตัว ในใจก็ยิ่งมั่นใจมาก
“สมองเสื่อมไปแล้วหรือไง หาเรื่องใครไม่หา กล้าหาเรื่อง…”
นายกองพันโจวหลินปิ่งรู้สึกตกใจ เงยหน้าเหลือบมองหลิวโสวโหย่วก่อนจะก้มหน้าลง หลิวโสวโหย่วมีท่าทางแบบพวกคุณชายใหญ่โต พวกองครักษ์เสื้อแพรหลายคนล้วนไม่เห็นเขาอยู่ในสายตา รู้สึกว่าคนผู้นี่ทนรับอะไรไม่ได้ รับภาระอะไรไม่ได้ทั้งสิ้น แต่คนผู้นี้ไม่มีความคิดลึกซึ้งอะไรก็เป็นที่รู้กัน จึงได้หลุดปากออกมาเช่นนี้ได้
หวังทงเป็นใครกันแน่ ในใจโจวหลินปิ่งก็ยิ่งอยากรู้ แต่ก็เอาแต่ก้มหน้าอยู่อย่างนั้น ผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพรหลิวโสวโหย่วบ่นอยู่สองสามประโยคก็เงยหน้าขึ้นกล่าวว่า
“เผ่ามองโกลก่อความวุ่นวายในแถบเมืองต้าถง เมืองเซวียนฝู่และเมืองจี้โจว ทางชายแดนและกรมทหารส่งคนมาเร่งหลายครั้งว่าให้เราส่งคนไปชายแดนสืบข่าววงใน หยางซื่อฝ่าจากกองเอกสารเป็นคนซื่อสัตย์รอบคอบ ข้าว่าเหมาะสมมาก นายกองพันโจวเห็นว่าอย่างไร?”
แม้ว่าโจวหลินปิ่งจะไม่เห็นหยางซื่อฝ่าอยู่ในสายตา แต่ยามนี้ก็รู้สึกเห็นใจราวกับจิ้งจอกโศกยามกระต่ายจากไปเลยทีเดียว ประจำการในเมืองหลวง ภัยมักเกิดยามเผอเรอไม่ระวังตัว หยางซื่อฝ่าอยู่ๆ ก็ถูกย้ายไปชายขอบอย่างไม่ทันรู้ตัวเลยทีเดียว
องครักษ์เสื้อแพรที่ถูกส่งไปทำงานในที่ๆ สงบสุขนั้นก็เป็นงานกินหมู คนในพื้นที่ก็ย่อมมอบสินน้ำใจอย่างเอาใจใส่ระมัดระวัง แต่หากถูกส่งไปเก้าเมืองชายแดนตอนเหนือ นั่นก็ไม่ต้องหวังอะไรอีกแล้ว
เก้าเมืองชายแดนตอนเหนือนั้นเป็นพื้นที่ทหารนิสัยหยาบกระด้าง ไม่เห็นองครักษ์เสื้อแพรอยู่ในสายตา พูดไม่เข้าหู ไม่แน่ก็อาจจะอ้างเหตุผิดพลาดอะไรบางอย่างลงมือสังหารเอาได้ กอปรกับชายแดนยังเป็นพื้นที่ลำบาก ตัวเองก็จะลำบากมากแล้ว เมื่อไปอยู่นอกเมือง จะติดต่อสื่อสารกับคนในเมืองหลวงก็ย่อมจะไม่สะดวกนัก คิดจะย้ายกลับมาก็ยากยิ่งกว่ายาก
ถูกส่งไปที่นั่น ว่าเป็นงานลำบากยังไม่สู้บอกว่าถูกเนรเทศเสียดีกว่า เท่ากับถูกทอดทิ้งอย่างแน่นอนแล้ว นี่เป็นการลงโทษภายในที่หนักหนาสาหัสมาก
“งานด่วนกองทัพ เมืองสำคัญชายแดนขอร้องมาย่อมเป็นเรื่องสำคัญอันดับหนึ่ง หยางซื่อฝ่าคิดการรอบคอบ ทำงานตั้งใจ เหมาะสมที่จะไปที่แบบนี้พอดี”
อย่างไรก็เป็นการคุยกันภายใน โจวหลินปิ่งก็ไม่กังวลอะไรนักกับคนที่จะถูกทอดทิ้งเช่นนี้
รอจนนายกองพันโจวหลินปิ่งจัดการงานที่ควรต้องจัดการเสร็จสรรพ ก็ราวครึ่งชั่วยามกว่า ก่อนจากไปยังได้พบกับ หยางซื่อฝ่าที่จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวโดยบังเอิญ โจวหลินปิ่งเดิมยังคิดจะคำนับทักทาย แต่สายตาของหยางซื่อฝ่านั้นไม่ได้สนใจเขาแม้แต่น้อย
คิดไม่ถึงว่าจะเร็วเพียงนี้ โจวหลินปิ่งก็ยิ่งรู้สึกประหลาดใจ หวังทงเป็นใครกันแน่ ตนเองทำเป็นมองเหมือนไม่เห็นเช่นนี้ แท้จริงแล้วเป็นเรื่องไม่เหมาะหรือไม่ ก่อนจะขี่ม้าออกไปด้วยอาการลังเลสงสัย
*****
สีหน้ารองเจ้ากรมอาญากงเถี่ยชวนไม่ดีนัก ตอนไปที่กรมอาญายังกระฉับกระเฉง ยังผู้ติดตามไปบอกที่หอรับวสันต์เป็นพิเศษว่าคืนนี้จะไปค้างบ้านเล็ก
คิดไม่ถึงว่าไม่นานนัก ผู้ติดตามวิ่งกลับมาบอกว่านายหญิงที่ร้านในเขตทักษิณถูกองครักษ์เสื้อแพรกวาดล้าง กำลังร้องไห้อยู่ด้วยความตกใจอย่างมาก ขอใต้เท้าช่วยออกหน้าระบายอารมณ์เคืองแค้นนี้ให้ด้วย
กงเถี่ยชวนพอได้ยิน ก็ออกอาการโมโหใหญ่ขึ้นมาทันที องครักษ์เสื้อแพรจอมละโมบ กล้าแตะต้องหอรับวสันต์ ไม่มีลูกกะตาหรืออย่างไรกัน คิดถึงเงินทองที่หอรับวสันต์หามาให้ตนทุกเดือน คิดถึงความงามของแม่นางเซี่ยผู้นั้น รองเจ้ากรมอาญาก็เขียนสารตำหนิไปยังสำนักองครักษ์เสื้อแพรทันที
กรมงานทั้งหกไม่ห่างไกลจากสำนักองครักษ์เสื้อทองนัก ใช้เวลาไม่นาน เจ้าหน้าที่ที่ไปส่งสารก็กลับมา ผู้บัญชาการหลิวโสวโหย่วไม่ยอมรับสารฉบับนี้ ยังว่ากันต่อหน้าว่า ‘องครักษ์เสื้อแพรเป็นขุนนางรับใช้ใกล้ชิดองค์ฮ่องเต้ ขุนนางรอบนอกจะมาออกคำสั่งอะไรกัน!’
ตำแหน่งรองเจ้ากรมในหกกรมนี้ ขอเพียงไม่ทำผิดร้ายแรงอะไร หากอายุไม่มากนัก ขั้นต่อไปก็จะได้ขึ้นตำแหน่งเจ้ากรมแล้ว ก็หมายความว่าได้เข้าเป็นหนึ่งในคณะเสนาบดีใหญ่
คนประเภทนี้แต่ไหนแต่ไร องครักษ์เสื้อแพรก็มักให้ความเคารพยำเกรง อย่างไรเสียฮ่องเต้ก็มิได้ลงโทษอะไรทุกวัน นางอาวุโสพวกนี้หรือกำลังจะเป็นขุนนางอาวุโสล้วนไม่อาจล่วงเกิน
รองเจ้ากรมอาญากงเถี่ยชวนปีนี้อายุ 45 ปี กำลังอยู่ในวัยหนุ่มมากบารมี อนาคตอีกก้าวก็จะอาจจะยิ่งใหญ่มาก ปกติทำอะไรก็มันจะไม่ค่อยยำเกรงผู้ใด คิดไม่ถึงว่าวันนี้จะถูกองครักษ์เสื้อแพรหักหน้า จึงรู้สึกโมโหจนควันออกหู
และผู้ชายก็มักจะชอบเอาหน้าต่อหน้าสาวๆ บ้านเล็กขอร้องมา กงเถี่ยชวนอย่างไรก็ต้องแสดงอำนาจบารมี เพื่อจะเรียกเอารอยยิ้มจากสาวงาม กงเถี่ยชวนตัดสินใจอย่างแน่วแน่ว่าคืนนี้จะนัดพบขุนนางระดับสูงที่สนิทสนมกันสองสามคน จะกล่าวโทษพลทหารตัวเล็กๆ ในสำนักองครักษ์เสื้อแพรที่ทำผิดระเบียบ เล่นให้สะบักสะบอมแล้วค่อยว่ากัน
กำลังจะออกคำสั่งไปก็มีเจ้าหน้าที่ผู้หนึ่งวิ่งเข้ามาอย่างเร่งร้อน หอบหายใจกล่าวว่า
อำมาตย์จางขอเชิญพบ รองเจ้ากรมอาญากงเถี่ยชวนที่ยังไม่ทันได้ออกคำสั่งไปก็รีบเรียกผู้ติดตาม มาช่วยจัดชุดขุนนางก่อน แล้วสวมหมวกขุนนางอย่างเรียบร้อย รีบออกเดินทางไปทันที
รองเจ้ากรมอาญาเป็นบุคคลที่ไปไหนก็ยิ่งใหญ่ไม่เบา แต่พออยู่ต่อหน้ามหาอำมาตย์จางจวีเจิ้งแล้วก็ไม่เท่าไร จาง จวีเจิ้งยังเป็นบุคคลอำนาจยิ่งใหญ่ที่สุดในราชวงศ์หมิง ไหนเลยจะกล้าชักช้า
พอขึ้นนั่งเกี้ยว รีบเร่งไปตลอดทาง พอถึงหน้าสำนักคณะเสนาบดีใหญ่ก็จัดดูความเรียบร้อยเครื่องแต่งกายครู่หนึ่ง จึงได้ให้คนไปรายงาน ก่อนจะเดินเข้าไปด้วยความระมัดระวัง
จางจวีเจิ้งนั่งอยู่ตรงกลางห้องโถงอย่างเต็มภาคภูมิ คนอื่นๆ อีกสองสามคนนั่งอยู่ด้านข้างลำดับถัดมา แยกระดับชั้นชัดเจน
ตอนกงเถี่ยชวนแหวกม่านเข้าไปก็เห็นมหาอำมาตย์จางจวีเจิ้งกำลังพลิกเอกสารที่แต่ละท้องที่ส่งรายงานมาอยู่หลังโต๊ะหนังสือ จางซื่อเหวยกับเซินสือหังและขุนนางคนอื่นๆ ยืนจดรายงานอยู่ที่นั่น ท่าทางล้วนเป็นพวกขุนนางในสังกัด สถานการณ์เช่นนี้ กงเถี่ยชวนเห็นจนเป็นปกติแล้ว รีบก้าวเข้าไปคำนับจางจวีเจิ้ง
ตามธรรมเนียมวงราชการ ก็มักจะกล่าวตอบว่า ‘ไม่ต้องเกรงใจ รีบนั่งลง’ คำพูดทำนองนี้ แต่ครั้งนี้จางจวีเจิ้งกลับไม่พูดอะไร เวลาที่กงเถี่ยชวนก้มคำนับก็เริ่มนาน รู้สึกปวดเมื่อยอยู่บ้าง กำลังคิดจะยืดตัวตรงขึ้น เบื้องหน้าเหมือนมีอะไรลอยมาทันใด ตามมาด้วยความเจ็บปวดตรงสันจมูก ไม่รู้ถูกอะไรเขวี้ยงใส่
ก้มลงมองอย่างมึนงง พอเห็นว่าเป็นฎีกา รองเจ้ากรมอาญากงเถี่ยชวนรู้สึกงงไม่รู้สาเหตุ เงยหน้ามองไปที่จางจวีเจิ้งไม่รู้ว่าควรพูดอะไรดี จางจวีเจิ้งสีหน้าดำทมึน ถามทีละประโยคว่า
“เจ้าเลี้ยงดูบ้านเล็กข้างนอกหรือ? บ้านเล็กของเจ้ายังเปิดหอคณิกา? หอคณิกาทุกเดือนหาเงินให้เจ้าไม่น้อย? วันนี้เจ้ายังนัดแนะขุนนางคนสนิทไปที่นั่นให้ออกหน้าให้บ้านเล็กของเจ้าอีก!?!”
คำถามเป็นชุดถามจบ กงเถี่ยชวนก็เข่าอ่อนยวบลงคุกเข่ากับพื้นทันที อ้าปากค้างอึ้งสนิท จางจวีเจิ้งเห็นท่าทางเช่นนี้ของเขาก็ยิ่งโมโห ตำหนิสั่งสอนต่อว่า
“คุกเข่าทำไม ลุกขึ้น ไร้ความสำรวม ไร้ศีลธรรมจรรยา ไสหัวออกไป!!”
กงเถี่ยชวนลุกขึ้นยืนอึ้งๆ หันหน้าเดินทื่อออกไป พอเดินออกจากสำนักคณะเสนาบดีใหญ่ก็อึ้งไปนาน ตัวสั่นงันงกไปทั้งตัว รอจนผู้ติดตามที่รออยู่ด้านนอกหันมาเห็น ก็รีบหยิบเสื้อคลุมออกมาคลุมให้นายตน รีบบอกว่าให้เติมเตาให้ความอุ่นในเกี้ยว
แม้เป็นเช่นนี้ แต่กงเถี่ยชวนก็ยังคงนั่งตัวสั่นอยู่ในเกี้ยวไม่หยุด
****
“ขอถามหน่อยว่าใต้เท้าหวังอยู่บ้านไหม?”
ฟ้าใกล้มืดแล้ว บ้านหวังทงมีคนมาทุบประตูเรียก เสียงคล้ายว่าเป็นผู้หญิง จางซื่อเฉียงออกไปเปิดประตู ก็เห็นแม่นางเซี่ย เถ้าแก่หอรับวสันต์ยืนยิ้มแย้มอยู่หน้าประตู
สีหน้าหญิงผู้นี้เต็มไปด้วยความงามหยดย้อย ความอาฆาตและเคืองแค้นเมื่อคืนวานไม่มีหลงเหลืออยู่แม้แต่น้อย