Skip to content

องครักษ์เสื้อแพร 94

ตอนที่ 94 คลื่นลมที่คงอยู่ยังไม่สงบ

“เฝิงกงกง ส่งคนเฝ้าหน้าประตูสองด้าน จากนั้นนำคนเข้าไป นี่ไม่เท่าไร มือปราบคนไหนก็ทำแบบนี้ แต่การส่งคนรออยู่ด้านนอก ความคิดเช่นนี้หายากมาก สามารถคิดได้แบบนี้ ก็สามารถนำกองทัพล้อมเมืองแล้ว”

เฝิงเป่านั่งค่อยๆ จิบน้ำชาอยู่ จางเฉิงนั่งอยู่ด้านข้างของโต๊ะ ด้านหน้าโต๊ะมีนายทหารสำนักอาชาหลวงยืนอยู่สองนาย กำลังอธิบายด้วยกิริยานอบน้อม

พอทั้งสองกล่าวจบ ก็ออกคำสั่งให้ถอยออกไป เฝิงเป่าหันหน้ามายิ้มพลางคุยกับจางเฉิงว่า

“จางกงกง ดูท่าแล้วเป็นของล้ำค่าจากสวรรค์จริงๆ วันหน้าท่านทางนี้ต้องให้การดูแลมากหน่อยถึงจะดี”

ต่อหน้าเฝิงเป่า จางเฉิงที่มีบารมีน่าเกรงขามกลับมีท่าทีนุ่มนวลอ่อนโยนราวกับญาติสนิท พอได้ยินดังนี้ก็รีบตอบอย่างนอบน้อมว่า

“เฝิงกงกงโปรดวางใจ ฮ่องเต้มักจะทรงเล่าเรื่องที่ได้ยินได้ฟังจากลานฝึกอยู่เสมอ คนเช่นนี้ ย่อมได้รับการดูแลอย่างดี”

สองฝ่ายคุยกันเรื่องสัพเพเหระอีกสักครู่ จางเฉิงก็ลุกขึ้นกล่าวอำลา เฝิงเป่าพูดราวกับเป็นเรื่องทั่วไปขึ้นว่า

“เราอายุไม่น้อยแล้ว ก็ไม่อาจคอยรับใช้ฮ่องเต้ได้ตลอดไป หากสามารถมีเพื่อนวัยเดียวกันก็ย่อมเป็นเรื่องดี”

จางเฉิงอึ้งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะยิ้มรับ

พอออกจากสำนักของเฝิงเป่า เดินมาตามระเบียงไม่นาน โจวอี้ก็รีบวิ่งตามมา เข้ามากระซิบใกล้ๆ ว่า

“พ่อบุญธรรม เด็กที่หวังทงส่งมานั้นรักษาตัวที่ห้องจัดการร่างกายหายแล้ว ท่านพ่อว่าควรจัดให้ทำงานอะไรดี?”

“เจ้าจินเลี่ยงที่จัดการตนเองผู้นั้นหรือ?”

“เรียนท่านพ่อ ใช่แล้วขอรับ”

“พรุ่งนี้ข้าจะเขียนคำสั่ง ส่งไปเรียนหนังสือที่ห้องอักษรฝ่ายใน ดูก่อนว่าควรค่าแก่การส่งเสริมหรือไม่ การจัดการเช่นนี้นับว่าสมควรแก่การฝากฝังของหวังทงแล้ว”

จางเฉิงกล่าวจบ โจวอี้ก็รีบขอบคุณและถอยหลังไป รอจนจางเฉิงไปไกล โจวอี้ก็ยืนครุ่นคิดอยู่ตรงนั้น พึมพำขึ้นว่า

“โชคดีจริง”

คนเรียนหนังสือในสมัยราชวงศ์หมิงหากคิดจะเดินเส้นทางรับราชการ ก็ต้องเริ่มสอบเรียนแต่เล็กมาสอบระดับซิ่วไฉ จากระดับซิ่วไฉสอบระดับจวี่เหริน จากระดับจวี่เหรินสอบระดับจิ้นซื่อ เดินมาทีละก้าวเช่นนี้ ระหว่างนั้นก็ใช้เงินไม่น้อยเพื่อให้ได้ตำแหน่งบัณฑิตสำนักหลวงหลันเซิงก่อน การสอบมาแต่ละขั้นเช่นนี้จึงจะได้รับการยอมรับว่ามาด้วยเส้นทางตรง แม้ว่าระดับจวี่เหรินก็มีคุณสมบัติรับราชการแล้ว แต่ขุนนางระดับสูงในหน่วยงานส่วนกลางแต่ละแห่งและตำแหน่งสำคัญต่างๆ ก็มีแต่ระดับ จิ้นซื่อเท่านั้นที่เป็นได้

ขุนนางส่วนนอกเป็นเช่นนี้ ฝ่ายในก็มีระบบไม่แตกต่างกันนัก ขันทีผู้น้อยเข้าวันแต่เล็ก หากสามารถได้เข้าเรียนที่ห้องอักษรฝ่ายในได้ ก็นับว่าเป็นเส้นทางตรงแล้ว หากเรียนจบแล้วมีความสามารถโดดเด่น ก็มักจะถูกส่งไปรับตำแหน่งที่ 12 สำนักขันที 4 ส่วนงาน และ 8 หน่วยงานย่อยที่เรียกว่า ‘อาลักษณ์’ หากทำงานนี้ได้ดีหรือมีขันทีใหญ่ดูแล ก็จะได้เข้าไปทำงานที่ 12 สำนักขันที จากนั้นก็เป็นเรื่องของแต่ละบุคคลแล้ว แน่นอนว่าหากได้เข้าสู่สำนักส่วนพระองค์ได้ ก็เทียบเท่ากับได้เข้าสู่คณะเสนาบดีใหญ่ หากได้เข้าสำนักอาชาหลวงก็เทียบเท่ากับได้เข้ากรมทหาร

นี่ก็คือเส้นทางตรงเห็นการรับราชการในหน่วยงานฝ่ายใน ในวังหลวงมีเด็กเข้าวังแต่เล็กหลายร้อยหลายพัน แต่มีคุณสมบัติได้เข้าเรียนที่ห้องอักษรฝ่ายในนั้น หากไม่ใช่ฉลาดเฉลียวมากหรือรู้ความมาก ก็ต้องเป็นลูกหลานบุญธรรมของบรรดามหาขันทีใหญ่ เจ้าจินเลี่ยงผู้นี้ไร้ญาติในวัง เพราะหวังทงฝากมาจึงได้เข้าเรียนที่ห้องอักษร ช่างเป็นโชควาสนายิ่งใหญ่

หลังจากเจ้าจินเลี่ยงหายดี โจวอี้ก็ส่งเข้าวังด้วยการฝากฝังจากหวังทง เด็กน้อยลงมือตอนตัวเองนั้นก็เพียงแต่ตัดส่วนนั้นทิ้ง แต่บางส่วนตรงนั้นยังคงต้องจัดการอีกครั้ง เจ้าจินเลี่ยงอย่างไรก็ต้องเจ็บอีกครั้งอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ยังดีที่มีคนคอยดูแล ไม่ถูกทิ้งให้ต้องดิ้นรนในห้องมืดตามลำพัง ค่อยๆ ฟื้นตัวขึ้น

เด็กคนนี้เป็นที่พอใจของโจวอี้ ความเจ็บปวดจากการจัดการร่างกายนั้น ผู้ใหญ่หลายคนยังทนไม่ได้ แต่เจ้าจินเลี่ยงกลับไม่ร้องแม้แต่คำเดียว กัดฟันทนมา พอฟื้นตัวมาก็ว่านอนสอนง่าย ไม่เคยก่อความเดือดร้อนให้คนรอบตัว

****

เช้าวันรุ่งขึ้น จางซื่อเฉียงก็นำป้ายสงบสุขที่เตรียมไว้นานแล้วมานั่งรอพร้อมกับคนเขียนหนังสือ ที่เขาคิดไว้ก็คือว่าเมื่อว่าได้แสดงอำนาจไป วันนี้อย่างไรก็คงมีคนได้ยินข่าวแล้วรีบมาซื้อหาป้ายนี้เพื่อซื้อความสงบสุข

ใครจะคิดว่าเช้าถึงบ่ายไม่มีคนมาเลยสักคน กลับเป็นหลี่เหวินหย่วนที่มาบอกว่า มีคนบางคนท่าทางแปลกๆ หลบๆ ซ่อนๆ อยู่ตรงปากทาง

นี่น่าจะเป็นพวกที่บ่อนพนันและหอคณิกาส่งมาสืบข่าว หวังทงเดิมยังคิดว่าจะมีคนมาถึงที่มากมาย คิดไม่ถึงว่าทุกคนยังคงไม่ไว้หน้า พอได้ยินว่าด้านนอกมีคนมาคอยแอบดูลาดเลา ก็รู้สึกโมโหอย่างมาก จึงได้ตะโกนเรียกองครักษ์เสื้อแพรหยิบอาวุธออกไปด้วยกัน

พอออกมา สถานการณ์ก็ยิ่งทำให้เขาคาดไม่ถึง บนถนนทักษิณแถบบ้านหวังทง ไม่มีร้านค้าสักร้าน ตั้งแต่ลานฝึกหู่เวยตั้งขึ้นมา บ้านเรือนรอบๆ ก็ถูกในวังซื้อเอาไว้หมด

ที่นี่ปกติเป็นสถานที่กึ่งปิดแล้ว คนเดินไปมาบนถนนทักษิณส่วนใหญ่ก็จะมาทำการค้าและเดินเล่น ตั้งแต่หอเลิศรสต้อนรับเฉพาะพวกองครักษ์และขันทีฝ่ายในแล้วก็ไม่มีคนมา เป็นสถานที่สงบเงียบมาก

วันนี้ตอนออกมาด้านนอกก็เห็นความคึกคักอย่างไม่ค่อยจะได้เห็นนัก น่าจะสองคนรับมือหนึ่งคน มีคนถูกกดไว้ที่พื้นราวกับอินทรีใหญ่จับนกน้อย ลากตัวเข้าไปในเรือนด้านข้าง ไม่มีเสียงอะไรดังขึ้นอีกเลย

หลายคนหน้าประตูพากันตะลึง หลี่เหวินหย่วนจึงได้หันหน้ามากล่าวเสียงเรียบๆ ว่า

“พวกที่ถูกจับนี่ เหมือนว่าตามข้ามา…”

คนที่ถูกจับทุกคนจะถูกอุดปากไว้ พูดไม่ได้ หวังทงปฏิกิริยาฉับไว้ หัวเราะแล้วก็หันหน้าไปตอบว่า

“ดูแล้วเป็นพวกคนร้าย ไม่สนใจดีกว่า เราเข้าไปคุยกันด้านในว่าเอาไงต่อดี”

บริเวณรอบนอกพื้นที่นี้รับผิดชอบดูแลโดยคนสำนักบูรพา พวกชาวยุทธ์ทั่วไปพวกนี้ดูแล้วก็ไม่เหมือนคนดีอะไร มีที่นี่สืบข่าวก็ย่อมโชคร้ายกันไป

หวังทงคิดแล้วก็รู้สึกสงสารพวกเขาอยู่บ้าง ถูกคนสำนักบูรพาจับไป ชีวิตนี้เกรงว่าอย่าได้คิดออกมา จะมีชีวิตนี้หรือไม่ยังพูดยาก

ลานฝึกหู่เวยถือเป็นเรื่องลับสุดยอด ศาลซุ่นเทียนยังไม่รู้ องครักษ์เสื้อแพรก็ไม่รู้ ขุนนางในราชสำนักหลายคนก็ไม่รู้เช่นกัน ที่นี่ปกติเป็นสถานที่ลับหูลับตา คนในเมืองก็ยิ่งไม่สนใจ รู้แค่ว่ามีร้านอาหาร ทำการค้ากับขันทีและองครักษ์ในวัง

ไม่ว่าผู้ใดก็ย่อมคิดไม่ถึงว่าที่นี่เป็นถ้ำเสือ เข้ามาแล้วจะถูกกิน แม้แต่กระดูกก็ไม่คายออกมาให้เห็น

ขอเพียงหวังทงอยู่ในบ้าน ก็ไม่ต้องกังวลว่าคนภายนอกจะทำอันตรายอะไร มีทั้งสำนักบูรพาและสี่กองกำลังประจำพระองค์คอยอารักขา!

แต่ไม่ว่าเขาทำอะไร ขยายงานอะไร กองกำลังเหล่านี้ก็ไม่ช่วยเหลือแม้สักนิด แต่คนในยุทธภพเข้ามาก็ย่อมเหมือนกับรนหาที่ตาย วิธีการเก็บเงินด้วยอาศัยการออกใบอนุญาตนั้น ตอนนี้หวังทงก็ไร้หนทางเช่นกัน หรือว่าการแสดงอำนาจเมื่อวานไม่ได้ผล

เมื่อวานตอนกลับมาจากหอรับวสันต์ ไปเอาคืนแทนพี่น้อง ไม่เพียงแต่ได้หน้า หากยังปรับเงินมาได้เกือบห้าร้อยตำลึงเชียวนะ

คนที่สามารถไปหอรับวสันต์ได้ก็นับว่ารวยพอตัว หลายคนยังมีชื่อเสียง แต่ก็ต้องลงชื่อเป็นหลักฐาน หวังทงปรับเงินหนักมาก ทุกคนรู้สึกปวดหัวแต่ไม่มีใครกล้าไม่ให้ ไม่เช่นนั้นองครักษ์เสื้อแพรและมือปราบศาลซุ่นเทียนจะไปนำหลักฐานส่งไปที่บ้าน ที่บ้านมีเรื่องไม่เท่าไร แต่หน้าตาสิจะหมดกัน จึงได้แต่กลั้นใจจ่ายเงิน หากไม่มีเงินมากเช่นนั้นก็ลงชื่อใบแจ้งหนี้เอาไว้แทน

พวกหวังทงเดินหน้าบึ้งเข้ามาในห้อง พอนั่งลง หวังทงก็ตบโต๊ะเปรี้ยง กล่าวเสียงเย็นเยียบว่า

“รออีกวัน หากป้ายพวกนี้ส่งมอบไม่หมด พวกเราก็จะไปตรวจค้นกวาดล้างทีละร้าน ไม่เชื่อว่าคนพวกนี้จะไม่ยอมสยบ!!”

****

หวังทงกำลังโมโหอยู่ที่บ้าน นายกองพันโจวหลินปิ่งแห่งกองพันที่ 6 สำนักองครักษ์เสื้อแพรก็กำลังจะไปจัดการการงานที่สำนักองครักษ์เสื้อแพร ปลายเดือนสามย่างเดือนสี่ การงานที่เกี่ยวข้องกับกองพันที่ได้รับมอบหมายจากเบื้องบนมา ก็ต้องไปจัดการที่สำนักองครักษ์เสื้อแพรให้เรียบร้อย เพื่อเตรียมส่งมอบ

บังเอิญมาก คนที่นายกองพันโจวหลินปิ่งต้องติดต่อด้วยก็คือนายกองร้อยหยางซื่อฝ่า สองแก้มบวมแดงของหยางซื่อฝ่าทายารักษาบาดแผลไว้ทั้งคืนก็ดีขึ้นไม่น้อย

ด้วยสถานะที่ต่างกันกับนายกองร้อย โจวหลินปิ่งที่เป็นถึงนายกองพันไม่ควรต้องก้มหัวให้มากนัก ท่าทีสุภาพเช่นนี้ก็เพียงพอแล้ว

แต่วันนี้นายกองร้อยหยางกลับเอาแต่หน้าบึ้ง จัดการแต่ละเรื่องเสร็จ ก็ม้วนเอกสารไปกองไว้ด้านหนึ่ง แค่นยิ้มกล่าวว่า

“ช่วงนี้ข้างานยุ่ง รอหลังเดือนสี่ค่อยส่งมอบให้รองผู้บัญชาการหยางละกัน!”

โจวหลินปิ่งได้ยินสีหน้าก็นิ่งไป ผู้บัญชาการองครักษ์เสื้อแพรมีรองผู้บัญชาการสองนาย หนึ่งในนั้นดูแลงานกองเอกสาร และรองผู้บัญชาการหยางผู้นี้ก็เป็นพี่ชายห่างๆ ของหยางซื่อฝ่า หากส่งมอบเอกสารช้าผิดพลาดก็ย่อมต้องถูกตำหนิ สูงสุดอาจถึงขั้นกระทบกับการเลื่อนตำแหน่ง

แต่ไรมาก็เกรงอกเกรงใจหยางซื่อฝ่าผู้นี้มาโดยตลอด เหตุใดวันนี้อยู่ดีๆ จึงได้เป็นเช่นนี้ ปกติการทำเรื่องให้ยุ่งยากก็มักมีเรื่องขอร้อง โจวหลินปิ่งก็เป็นพวกรู้งาน กล่าวขอร้องด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแต่ในใจนั้นไม่ยิ้มด้วยว่า

“นายกองร้อยหยาง เอกสารพวกนี้เป็นเรื่องที่เบื้องบนเร่งมา ยังไงต้องให้นายกองร้อยหยางช่วยแล้ว”

ตามคาด พอกล่าวจบ นายกองร้อยหยางก็ยิ้มเงยหน้า สองหน้าบวมแดงผิดปกติ พอยิ้มก็กระทบบาดแผล ก็รีบเบ้หน้า กว่าจะเป็นปกติก็นานเอาการ จึงได้เอ่ยปากด้วยเสียงอู้อี้ว่า

“ใต้เท้าโจว กองพันท่านมีนายกองธงใหญ่ชื่อหวังทงทำงานวางอำนาจบาตรใหญ่ เมื่อคืนแสดงอำนาจท่ามกลางผู้คน ข้าน้อยพูดให้ความยุตธรรมเพียงแค่ไม่กี่คำ กลับถูกเขากับลูกน้องลงมือตามอำเภอใจ ใต้เท้าโจว พี่น้ององครักษ์เสื้อแพรลงมือกับขุนนางมีความโทษร้ายแรง เมื่อวานถูกพวกเขาลบหลู่ ข้าเองนั้นเรื่องเล็ก แต่เพื่อหน้าตาขององครักษ์เสื้อแพรเรา ใต้เท้าโจว จะต้องลงโทษให้หนัก ลงโทษให้หนักๆ !”

“หวังทง? หวังทงสังกัดเถียนหรงหาวน่ะหรือ!?”

“ตรวจสอบเอกสารมาวันนี้ เป็นเจ้านี่เลย เถียนหรงหาวเป็นคนซื่อสัตย์สุจริต อย่าได้ต้องการเกี่ยวข้องไปด้วย!”

“ลูกน้องก่อเรื่อง สร้างความวุ่นวานให้นายกองร้อยหยาง ข้ากลับไปต้องลงโทษให้หนัก ต้องมีคำตอบให้นายกองร้อยหยาง!”

นายกองพันโจวหลินปิ่งกล่าวอำลาด้วยเหตุผลคุณธรรมยิ่งใหญ่ หากไม่มีใครได้เห็นรอยยิ้มเย็นเยียบตอนหันหลังกลับ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version