Skip to content

องครักษ์เสื้อแพร 93

ตอนที่ 93 เอาคืนแสดงอำนาจ ทั้งได้เงินทองร่ำรวย

สถานที่อย่างหอรับวสันต์เป็นที่รวมของบรรดาพวกเกกมะเหรกเกเรและบรรดาคนหลายระดับ จึงต้องจ้างพวกมีฝีมือไว้คอยป้องกันดูแลความปลอดภัยของสถานที่ ตอนกลางคืนก็มีผู้ชายเฝ้าประตูอยู่สองสามคน

แต่คนเหล่านี้ไม่มีประโยชน์อันใดเลย ประตูหน้าเดิมนั้นแขกของตนได้สั่งสอนองครักษ์เสื้อแพรไป ทำให้พวกเขารู้สึกหอรับวสันต์ของตนนั้นใหญ่โตนัก กำลังวิจารณ์กันสนุกราวกับตนเองเป็นคนลงมือสั่งสอนเอง

ใครจะคิดว่าถนนปากทางมีเสียงดังอื้ออึงมา เพ่งมองไปท่ามกลางความมืด ก็เห็นชายแต่งกายแบบองครักษ์เสื้อแพรเดินมุ่งมา ด้านหลังมีกลุ่มคนแข็งแรงกำยำ ทุกคนถือไม้พลองในมือ มุ่งตรงมาท่าทางองอาจห้าวหาญ

ชายเฝ้าประตูพวกนั้นมีปฏิกิริยาต่างกัน สองคนหันหน้าวิ่งออกไปทางถนนอีกด้าน มีคนหนึ่งมุดกลับเข้าไปรายงาน อีกคนกลับตกใจจนยืนทื่ออยู่ตรงนั้นยกสองมือกางกั้นไว้ ปากก็พูดแต่ว่า

“มีอะไรค่อยๆ คุยกัน มีอะไรค่อยๆ คุยกัน…”

ใครจะไปค่อยคุยกัน ไม้พลองพุ่งใส่ท้องเขา พร้อมที่ขาอีกสองสามทีก็ล้มลงลุกไม่ขึ้น คนอื่นๆ ก็พากันตะโกนกรูกันเข้าไป

ในมือหวังทงถือไม้พลองสั้น เดินก้าวยาวๆ เข้าไปด้วยสีหน้าโมโห ซุนต้าไห่กับคนอื่นๆ ก็ตามมาด้านหลัง คนอื่นๆ ก็พากันเปิดทางให้

เสียงเอะอะโครมครามในหอรับวสันต์ดังราวกับผึ้งแตกรัง แขกที่มาหาความสุขพวกนั้นจะไปมีปัญญาขัดขืนได้อย่างไร จะว่าไป แม้แต่เสื้อผ้ายังไม่ทันได้สวมด้วยซ้ำไป จะไปสู้กับอีกฝ่ายที่ถือไม้พลองในมือได้อย่างไร

เสียงร้องอย่างเจ็บปวดของผู้ชาย เสียงกรีดร้องของผู้หญิง ชั่วพริบตาก็ดังลั่นไปทั่วหอ หวังทงเดินไปถามไปว่า

“ต้าไห่ คนที่ลงมือกับเจ้าอยู่ไหนกัน!?”

ซุนต้าไห่ตอบว่าไม่รู้เช่นกัน หวังทงก็เดินต่อไปไม่หยุด ไม่สนใจคนข้างๆ หากมีคนขวางทางก็จะแทงไม้พลองใส่ แผ่รัศมีไอสังหาร

“นายท่านท่านนี้ มีเรื่องอะไรไม่พูดกันดีๆ ใยต้องลงมือหนักเช่นนี้ด้วย?”

สุดท้ายก็มีคนขวางหน้าหวังทง ผู้หญิงวัยกลางคนอายุราว 30 ปี ท่าทางพอนุ่มนวลบ้าง แต่วาจากลับไม่ได้มีความเคารพแม้แต่น้อย กลับแฝงความนัยกระทบกระเทียบ

“เจ้าเป็นใคร!”

“ข้าน้อยเป็นเจ้าของหอ…”

ผู้หญิงคนนี้ยังกล่าวไม่ทันจบ ไม้พลองสั้นในมือหวังทงก็ตีลงไป เสียงกรีดร้องของนางดังขึ้น รู้สึกกลัวขึ้นมาทันที พบว่าไม้พลองสั้นหยุดตรงปลายจมูกนางพอดี หวังทงกล่าวอย่างรำคาญว่า

“มีคนรายงานว่า หอรับวสันต์เจ้าแอบซ่อนโจรร้าย ข้าพาคนมาค้น ใครขวางทางถือว่าเป็นพวกเดียวกับโจร จับไปสอบสวนพร้อมกัน!”

“เจ้าหนู เจ้ารู้ไหมว่าใครเป็นเจ้านายเบื้องหลังของหอเรา ตอนนี้ยังไม่สายที่จะ…”

หญิงผู้นั้นสีหน้าเปลี่ยนไป ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันกล่าวด้วยน้ำเสียงแค้นเคือง หวังทงยกไม้พลองสั้นในมือดันนางออกไปด้านข้าง กล่าวน้ำเสียงเย็นเยียบว่า

“รองเจ้ากรมอาญากงเถี่ยชวนกระมัง ข้ารู้จัก ต้าไห่ ห้องโถงนี้มีนายกองร้อยหยางหรือไม่!!”

ที่พึ่งพิงเบื้องหลังตนกลับถูกหวังทงเอ่ยชื่อออกมาตรงๆ และน้ำเสียงเหมือนไม่ไยดี หญิงผู้นี้ก็ตกตะลึงไปทันที ยืนงงอยู่ตรงนั้นไม่รู้จะทำอย่างไร

ตอนนั้นเองซุนต้าไห่ก็มองไปเห็นนายกองร้อยหยางที่อยู่อีกข้าง นายกองร้อยหยางดื่มสุราไปมากแล้ว ถึงตอนนี้ก็ยังไม่ยอมปล่อยหญิงสาวในอ้อมกอด หญิงสาวที่เขากอดอยู่นั้นกลับมีสีหน้าตกใจแข็งทื่อไปแล้ว เอาแต่ขดตัวสั่นอยู่อย่างนั้น ไม่กล้าส่งเสียง

เสียง ‘โครม’ ดังขึ้น หญิงสาวที่นายกองร้อยหยางโอบกอดไว้นั้นร่วงตกจากเก้าอี้ สุราดื่มมากไปแล้ว เมื่อครู่ตอนคนกรูกันเข้ามา ลมหนาวก็พัดเข้ามาด้วย

สายลมพัดแผ่ว สุราสำแดงฤทธิ์ คนเมาสลึมสลือ เมาสุราทำเสียการเสียงาน นายกองร้อยหยางเลอะเลือนไปแล้ว ถึงกลับไม่รู้จักหวาดกลัว

หญิงสาวผู้นั้นดิ้นรนออกจากอ้อมกอดของเขา ถูกกันออกไปยืนทื่ออยู่ด้านข้าง หวังทงนายกองร้อยหยางที่มีท่าทางน่าเอน็จอนาถอยู่ที่พื้น ถามซุนต้าไห่เสียงเยียบเย็นว่า

“ผู้นี้หรือ?”

“นายกองร้อยหยางผู้นี้ขอรับ!”

“ยกถังน้ำเขามา ราดเลย!”

ซุนต้าไห่กังวลไม่น้อย แต่พวกชายหนุ่มที่หวังทงพามาด้วยนั้นกลับไม่รู้จักว่านายกองร้อยหยางเป็นใคร ไม่นานก็ยกน้ำเย็นเข้ามาราดใส่อย่างไม่ปราณี

น้ำเย็นกระทบโดนตัวเช่นนี้ ทำเอาหยางซื่อฝ่ารู้สึกตัวขึ้น แต่ก็ยังมึนงงอยู่บ้าง หากแต่ก็รู้สึกว่ามีอะไรไม่ถูกต้องนัก ขยี้ตามองกำลังจะพูด ก็เป็นซุนต้าไห่ที่อยู่ข้างๆ ก็รู้สึกตัวขึ้นมาทันที พอมองไปทีเด็กที่ยังไม่โตแต่งตัวแบบนายกองธงใหญ่ที่ยืนอยู่ข้างซุนต้าไห่ คนระดับนี้ไม่อยู่ในสายตาเขาแม้แต่น้อย ก็ลุกขึ้นยืนตามสัญชาติญาณตะโกนด่าไปว่า

“ซุนต้าไห่ เจ้าพาพวกมา…”

พูดได้ครึ่งเดียว ก็มีเสียงผัวะดังขึ้น คนทั้งคนก็ถูกตีทรุดลงกับพื้น คนในห้องพากันสูดลมหายใจตะลึงมอง เจ้าเด็กยังไม่โตใบหน้าเย็นชาลงมือหนักหน่วงยิ่งนัก ตบหน้าอย่างแรงไปหนึ่งทีทำเอาอีกฝ่ายทรุดลงกับพื้นทันที แรงฝ่ามือหวังทงไม่น้อยเลย ตอนนายกองร้อยหยางลุกขึ้นมาอีกครั้ง ใบหน้าก็บวมไปครึ่งซีก

“พวกเจ้าไอ้พวกบัดซบ พรุ่งนี้จะไปหานายกองร้อย นายกองพันพวกเจ้า จะรายงานเจ้ากรม รองเจ้ากรม…”

หวังทงพลิกฝ่ามือตบไปอีกที เล่นเอาเขาล้มลงกับพื้นอีกครั้ง ใบหน้าสองข้างบวมแดง นายกองร้อยหยางยันแขนทั้งสองกับพื้น จะลุกก็ลุกไม่ขึ้น หวาดกลัวถดตัวถอยไปด้านหลัง ทำไมเจ้าเด็กถึงกล้าเช่นนี้ ไม่รู้ว่ากองเอกสารสำนักองครักษ์เสื้อแพรเป็นหน่วยงานที่ล่วงเกินไม่ได้หรืออย่างไร?

ไม่ว่าในใจเขาอยากจะกรีดเนื้อเถือหนังคนตรงหน้าอย่างไร แต่สถานการณ์ตอนนี้ทำเอาเขาทั้งตกใจทั้งหวาดกลัว พอได้ยินเสียงเย็นเยียบของเจ้าหนุ่มดังขึ้นว่า

“เจ้ามันตัวอะไร กล้าลงมือกับคนของข้า ต้าไห่ เจ้าโดนตบไปกี่ที ตบคืนหนึ่งเท่า!!”

ซุนต้าไห่รู้ดีกว่าคนของกองเอกสารนั้นจัดการยากเพียงใด ใจเต้นโครมคราม แต่พอหวังทงจ้องมา ความกล้ามาจากไหนก็ไม่รู้ จึงได้กล้าด่าออกไปว่า

“ข้าและพี่น้องปฏิบัติงาน เจ้าตัวเน่าเหม็นมาร่วมวงอะไรด้วย พวกเราปฏิบัติงานกันทั้งนั้น เจ้ากลับไม่ไว้หน้าคนกันเอง รู้จักแต่จะแสดงตัวอวดเบ่งให้พวกสาวๆ ดู”

พูดจบประโยคหนึ่งก็ตบไปหนึ่งที ไปๆ มาๆ ตบไปหลายสิบที ใบหน้านายกองร้อยหยางบวมเหมือนหัวหมู เกรงว่าฟันก็คงจะโยกไปด้วย นายกองร้อยหยางผู้นั้นร้องขออยู่หลายครั้ง แต่ทุกคนกลับมองแต่เห็นแววตาอาฆาตของเขา หวังทงไหนเลยจะสนใจคนเช่นนี้ ซุนต้าไห่ลงมือเสร็จ หวังทงก็เดินหน้าเข้าไปกล่าวว่า

“ข้า นายกองธงใหญ่หวังทง สังกัดกองพันที่ 6 กองร้อยที่ 7 นายกองร้อยหยางจดจำได้แล้วใช่ไหม?”

พอพูดจบก็หันไปออกคำสั่งกับซุนต้าไห่และคนอื่นๆ ว่า

“ต้อนคนทั้งหมดนี่ไปรวมกันที่ลานด้านหน้า อย่าให้ตกหล่นแม้แต่คนเดียว!!”

คืนเดือนสาม อากาศหนาวเหน็บ สวมเสื้อบางเบา ชายหญิงที่สวมเสื้อผ้าปิดบังความอายก็มารวมตัวเบียดเสียดกันที่ลานด้านหน้า ทุกคนหนาวสั่นงันงก อยู่ๆ ก็มีผู้หญิงส่งเสียงหวีดร้องขึ้น อาจเพราะถูกลวนลามอะไร

หวังทงก้าวเท้ายาวไปยืนบนขั้นกระได ยกมือขึ้น ชายหนุ่มที่ล้อมรอบสี่ด้านก็ยกพลองสั้นในมือขึ้นตะโกนเสียงดังว่า

“เงียบ!!”

หญิงสาวขี้ขลาดสองสามคนตกใจหวาดกลัวหวีดร้องขึ้น ตามด้วยความเงียบทั่วทั้งลาน หม่าซานเปียวก้าวออกมาหัวเราะเริงร่ากล่าวว่า

“ใต้เท้า หลายคนโดดหน้าต่างปีนกำแพง ถูกพี่น้องด้านนอกเราคุมตัวไว้แล้ว ตีด้วยไม้พลอง จับโยนเข้ามาที่นี่หมดแล้ว หนีไม่รอดแม้แต่คนเดียว ใต้เท้าวางใจ”

หวังทงพยักหน้า กวาดตามองบรรดาผู้ชายและผู้หญิงเหล่านี้ กล่าวเสียงดังกังวานว่า

“มีคนส่งรายงานว่า หอรับวสันต์นี้แอบซ่อนโจรร้าย ข้าพาพี่น้องมาจับตัว ทุกท่านอย่างได้ตกใจไป ขอบอกทุกคนประโยคหนึ่งด้วยว่า หอรับวสันต์นี้ไม่มีหนังสือรับรองดำเนินกิจการ จะเกิดเหตุเภทภัยเช่นนี้ได้ง่าย วันหน้าทุกท่านอยากหาความสำราญกันก็ต้องดูหนังสือรับรองที่ออกโดยราชการให้ดี!”

ขณะที่พูดนั้น จางซื่อเฉียงที่อยู่ข้างๆ ก็ส่องโคมไฟชูแผ่นไม้ขึ้นแผ่นหนึ่ง เป็นพื้นสีดำลงยาสีแดง เขียนอักษรตัวใหญ่คำว่า ‘สงบสุข’

“ทุกท่านอีกสักครู่ไปที่ห้องโถงเข้าแถวลงบันทึกประวัติเป็นหลักฐาน แจ้งชื่อให้กระจ่างแล้วก็กลับได้ ทุกคนเสียเวลาอีกสักครึ่งชั่วยาม”

พอได้ยินหวังทงกล่าวเช่นนี้ ทุกคนก็พากันถอนหายใจผ่อนคลาย หวังทงเดินกลับไปที่ห้องโถง ทางนั้นลูกน้องซุนต้าไห่สองคนได้พาคนเขียนหนังสือได้มาแล้ว จัดเก็บโต๊ะสองตัวมาเตรียมนั่งรออยู่

เถ้าแก่หอรับวสันต์พยุงนายกองร้อยหยางขึ้นมาแล้ว สองคนจ้องมาหวังทงด้วยสายตาอาฆาตมาดร้าย หวังทงไม่สนใจแม้แต่น้อย เอาแต่ออกคำสั่งคนเขียนหนังสือทั้งสองคนนั้นว่า

“วันนี้ท่านทั้งสองคนละห้าตำลึง เอกสารต้องเขียนให้ข้าอย่างชัดเจน ใครทำอะไร บ้านอยู่ที่ไหน ต้องจดให้ละเอียด ใครปิดบังไม่พูด พวกท่านรีบบอกคนทางนี้ ชื่อที่น่าสงสัยทั้งหมดส่งเข้าคุกไป!”

คนละห้าตำลึง เขียนหนังสือให้คนอยู่ในตลาดปีหนึ่งยังไม่ได้มากเท่านี้เลย นับประสาอะไรกับเป็นคำสั่งจากองครักษ์เสื้อแพรที่ดูแลพื้นที่ ไยจะไม่ตอบรับกันเล่า

หลี่ว์วั่นไฉพร้อมทั้งหลี่กุ้ยและหวังซื่อที่ดูอยู่ด้านนอกเดินเข้ามา พอเข้ามาก็ยกนิ้วให้หวังทง นายกองหลี่ว์ยิ้มกล่าวว่า

“ใต้เท้าหวังยอดเยี่ยมมาก สถานที่กว้างขนาดนี้ หนีออกไปไม่ได้แม้แต่คนเดียว จับได้หมดทุกคน”

หวังทงโบกมือ ประเมินการตกแต่งของหอรับวสันต์แล้ว ก็หันไปก้มหน้ากระซิบว่า

“เอาคืนแทนพี่น้องก็เรื่องหนึ่ง วันนี้มาดำเนินการเรื่องแสดงหลักฐานวันแรก มาถึงที่แรกที่ถูกขัดขวาง หากไม่แสดงกำลังข่มบ้าง งานนี้จะดำเนินการต่อได้อีกหรือ!”

หลี่ว์วั่นไฉเก็บสีหน้าหยอกล้อ กล่าวชมอย่างจริงจังว่า

“ใต้เท้าหวังไตร่ตรองได้รอบคอบมาก เป็นขั้นเป็นตอน นับถือๆ”

ราวหนึ่งชั่วยาม ผู้ชายในหอรับวสันต์ต่างก็ลงหลักฐานรับรองเรียบร้อย ด้านบนพิมพ์ลายนิ้วมือเสร็จ กระดาษปึกหนึ่งก็ส่งมาที่มือหวังทง

“มีบัณฑิตระดับซิ่วไฉไม่น้อยเลย ยังมีบัณฑิตระดับจวี่เหรินด้วย ถุย ระดับหลันเซิงก็มี!”

หวังทงพลิกดูไปก็อดหัวเราะพูดขึ้นมาไม่ได้ เมื่อครู่กล่าวเกินไป แขกที่มาหาความสำราญเกรงว่าจะถูกสงสัย จึงได้บอกสถานะตัวเองอย่างกระจ่างแจ้ง

“ต้าไห่ เจ้าไปบอกพวกเขาว่า ไม่มีชื่อเสียงอะไรคนละ 10 ตำลึง ซิ่วไฉ 15 ตำลึง จวี่เหรินกับหลันเซิง 20 ตำลึง หากไม่มีก็เขียนใบแจ้งหนี้ หากไม่ให้ก็เอาหลักฐานนี้ส่งพวกเขากลับบ้านไป!!”

หลี่ว์วั่นไฉที่ยืนอยู่ข้างๆ เบิกตากว้างจ้องมองหวังทง รู้สึกนับถืออย่างมาก แม้แต่กล่าวประจบเอาใจก็พูดไม่ออก

เสียงเล่าลือตลอดทั้งคืนไม่ต้องพูดถึง เช้าวันรุ่งขึ้น เรื่องราวก็ถูกรายงานไปยังบรรดาขุนนางผู้ใหญ่ที่ควรทราบ

“จากจุดเล็กมองเห็นภาพใหญ่ ถานจื่อหลี่รู้จักดูคนจริงๆ”

อำมาตย์จางจวีเจิ้งแห่งคณะเสนาบดีใหญ่อุทานขึ้น ม้วนเอกสารทั้งกองโยนเข้ากองไฟไป

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version