Skip to content

องครักษ์เสื้อแพร 96

ตอนที่ 96 ผู้ใดท่าทีไม่เหมือนเดิม

คนมาบ้านหวังทงหากมิใช่คนมีฝีมือก็จะเป็นขันที ตอนนี้คนละแวกนี้ย้ายออกไปหมดแล้ว ยิ่งไม่มีเพื่อนบ้านผู้หญิง นอกจากนางหม่า ผู้หญิงที่ทำงานในร้านทุกคนก็จะกลับบ้านกันไป

ดังนั้นเสียงอ่อนหวานหยดย้อยเช่นนี้ ทำเอาหม่าซานเปียวที่กำลังขนฟืนอยู่ในบ้านรีบเปิดประตูบ้านตนออกมาดู มองอย่างไม่เกรงใจ

จางซื่อเฉียงหันไปทางห้องข้างในตะโกนบอกหวังทงว่า

“ใต้เท้า เถ้าแก่เซี่ยหอรับวสันต์มาเยี่ยมคารวะ!!”

ปล่อยหญิงผู้นี้ให้เข้าไปหรือไม่ ให้หวังทงตัดสินใจ เสียงนี้ไม่เบานัก นางหม่าก็สวมเสื้อคลุมเดินออกมาจากในบ้าน พอเห็นสายตาหยาดเยิ้มของหม่าซานเปียวก็โมโหลงมือตีไปสองสามที ขณะกำลังจะปิดประตู

คิดไม่ถึงว่าแม่นางเซี่ยผู้นี้กลับรวดเร็วฉับไว อาศัยแสงโคมไฟมองเห็นนางหม่าที่ประตูอย่างชัดเจน รีบยิ้มคำนับอย่างอ่อนช้อย กล่าววาจาประจบเอาใจว่า

“น้าหม่าใช่หรือไม่? ขาของท่านไม่ค่อยดี อากาศหนาวเช่นนี้ อย่าได้ถูกไอเย็นกระทบเอาเชียว ข้ามีโสมภูเขาเก่าแก่ซื้อมาจากเมืองเหลียวตอนเหนือ มอบให้ท่านเอาไปบำรุงร่างกาย”

ด้านหลังแม่นางเซี่ยมีผู้ติดตามหน้าตาหมดจดสองสามคน พอได้ยินก็รีบเปิดตะกร้าหยิบกล่องแพรออกมากล่องหนึ่ง ส่งให้แม่นางเซี่ย

หญิงผู้นี้เดินขึ้นหน้าไปอีกสองก้าว แทบจะยัดใส่มือหม่าซานเปียว วาจาทักทายสนิทสนมเป็นมิตรเอาอกเอาใจตามมาอีกหลายคำ หม่าซานเปียวถูกประชิดเช่นนี้ ความกล้าหาญชาญชัยก็มลายหายไปสิ้น หน้าตาแดงก่ำไปหมด นางหม่าเดิมทีเป็นคนจิตใจดี ความหวังดีของแม่นางเซี่ยกับของกำนัลทำให้นางรู้สึกเกรงใจอยู่บ้าง พอเห็นหวังทงออกมา ก็รีบกล่าวขอบคุณและปิดประตูลง

หวังทงเห็นความพยายามเช่นนี้ของแม่นางเซี่ย ความไม่พอใจในตอนกลางวันก็หายไปสิ้น เขาได้แต่ยืนคอยอยู่อย่างเงียบๆ ดูท่าแล้วแม่นางเซี่ยจากหอรับวสันต์น่าจะทำการบ้านมาดี แม้แต่คนรอบกายตนก็ยังรู้จักว่าควรเอาใจอย่างไร

แม่นางเซี่ยหันมามองหวังทงที่ยืนอยู่ใต้โคมไฟ รูปร่างสูงใหญ่ หน้าตาเหมือนเด็กน้อยที่ยังโตไม่เต็มที่ยืนอยู่ตรงนั้นด้วยท่าทีนิ่งเงียบที่ไม่สมกับวัย มองมาที่นางด้วยท่าทีสงบนิ่ง

พอเห็นหวังทง ความเฉลียวฉลาดเจนจัดเรื่องทางโลกอย่างแม่นางเซี่ยก็มลายหายไปสิ้น นางคิดถึงรองเจ้ากรมกงเถี่ยชวนที่โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ และหลังจากโมโหเสร็จก็มีความสิ้นหวังและพังทลายซ่อนอยู่ในสีหน้า ตอนก่อนออกไปนั้น คนงานไปสืบข่าวมาได้ว่า นายกองร้อยหยางจากกองเอกสารนั้นได้ถูกย้ายไปเมืองต้าถงแล้ว

เบื้องหลังของเด็กน้อยยังไม่โตผู้นี้มีอำนาจเพียงใดกัน เป็นใต้เท้าท่านใดกัน ตนเองกลับมีตาหามีแววไม่ คิดถึงตรงนี้ ก็รู้สึกหนาวเหน็บขึ้นมา

เหมือนยังไม่ทันสบตา แม่นางเซี่ยผู้นี้ก็คุกเข่าลงกับพื้นทันที กล่าวน้ำเสียงสั่นว่า

“ผู้น้อยไม่รู้จักกาลเทศะ ไม่พังคำเตือนใต้เท้า เหมือนผีร้ายบดบัง ครั้งนี้ขอให้ใต้เท้าให้โอกาสข้าน้อยสักครั้ง ให้ข้าน้อยได้แก้ไข ขอรับป้ายนั้นกลับไป จะได้แบ่งปันกลิ่นอายแห่งโชควาสนาไปบ้าง ขอใต้เท้าเมตตา…”

ยังกล่าวไม่ทันจบ ก็คุกเข่าโขกศีรษะกับพื้นทันที หวังทงยิ้มมุมปากเล็กน้อย ตอนนี้เขารู้แล้วว่าเบื้องหลังเขานั้นมีผู้ใดให้การสนับสนุนอยู่ คนเองสามารถทำเรื่องอวดเบ่งเพียงใดก็ได้ การโขกศีรษะของสตรีผู้นี้ เขาไม่รู้สึกอะไร ได้แต่กล่าวน้ำเสียงเย็นเยียบว่า

“ไปลงชื่อในเอกสารที่นายกองจาง แขวนป้ายสงบสุขนี้ไว้ที่หน้าประตูใหญ่ที่หอของเจ้า วันหน้าหากมีคนไปหาเรื่องเจ้า ไม่ว่าขุนนางหรือชาวบ้าน ก็ให้มาหาข้าที่นี่ ข้าจะต้องออกหน้าจัดการให้!”

พอได้ยินเช่นนี้ ตัวแม่นางเซี่ยที่คุกเข่าอยู่นั้นก็สะดุ้ง ดูท่าแล้วเรื่องนี้ใช่ว่าไม่มีข้อดี อย่างน้อยก็เท่ากับว่าเชิญองค์เทพไปประทับที่ร้าน วันหน้าก็ไม่ต้องกลัวมีเรื่อง”

“เงินหนึ่งพันตำลึง แบ่งจ่ายสามปี ให้ปีแรกมาก่อนละกัน!!”

เงินจำนวนนี้เรียกได้ว่ามากอยู่ ควักออกมาก็รู้สึกเจ็บปวดใจนัก แต่การที่นายกองร้อยผู้หนึ่งจากกองเอกสารถูกขับไล่ไป รองเจ้ากรมอาญาถูกมหาอำมาตย์เรียกไปอบรมสั่งสอนเช่นนี้ หากสามารถใช้เงินหนึ่งพันตำลึงจ่ายในสามปีมาแก้ปัญหาได้ ก็นับเป็นเรื่องดีที่เหนือความคาดหมาย

แม้ว่าแม่นางเซี่ยยังคงตัวสั่นอยู่ แต่ก็อดยิ้มไม่ได้ กำลังจะลุกขึ้นกล่าวขอบคุณและส่งมอบของกำนัลที่นำมาด้วย ก็ได้ยินหวังทงกล่าวว่า

“แม่นางเซี่ย มาที่ห้องข้าสักครู่”

อะไรกัน เด็กน้อยยังไม่โตคิดจะเอาเปรียบข้า สิ่งแรกที่แม่นางเซี่ยคิดก็คือเรื่องนี้ แต่นางมีฐานะอะไร เรื่องพวกนี้ใช่ว่าไม่เคยพบ จึงยิ้มหันไปสั่งผู้ติดตามให้เอาของมอบให้จางซื่อเฉียง ตามไปดำเนินการให้เรียบร้อย จากนั้นตนเองก็เดินส่ายสะโพกตามหลังหวังทงไป

คิดไม่ถึงว่าจะมีจางซื่อเฉียงดำเนินการอยู่ด้านนอกห้องโถง ยังมีคนเขียนหนังสืออีก พอหวังทงนำแม่นางเซี่ยเข้าไปในห้องนอนและปิดประตูลง แม้แต่แม่นางเซี่ยที่คิดตกแล้วก็ยังเอ่ยกระซิบขึ้นว่า

“นายท่าน ข้างนอกยังมีคนอยู่!”

คำเรียกขานได้กลายเป็นคำเรียกในอาชีพของหอคณิกาไปอย่างไม่ทันรู้ตัว หวังทงยังไม่ทันรู้สึกอะไร หยิบไม้มาปรับไส้เทียนให้สว่างขึ้น หันหน้ามากระซิบถามว่า

“ถามเจ้าเรื่องหนึ่ง เจ้ารู้จักลัทธิไตรสุริยันหรือสำนักไตรสุริยันหรือไม่?”

แม้ว่าแม่นางเซี่ยจะเตรียมใจพร้อมแล้ว แต่ก็คิดไม่ถึงว่าใต้เท้าหวังจะถามเรื่องนี้ อึ้งไปนานก่อนจะได้สติ กล่าวด้วยสีหน้าดูถูกว่า

“เรียนใต้เท้า ข้าน้อยรู้บ้างเล็กน้อย ก็แค่การค้ามนุษย์ของพวกนิรนามที่ตอนตัวเองแล้วเข้าวังไม่ได้เท่านั้น”

พวกนิรนามได้กล่าวถึงก่อนหน้านี้แล้ว บอกว่าเป็นพวกที่ตอนตัวเองแล้วไม่สามารถเป็นขันทีในวังได้ต้องมาร่อนเร่อยู่นอกวังพวกนั้น แม้ว่าไม่มีสถานะชัดเจน แต่กลับถูกจัดให้เป็นชนชั้นต่ำที่ต่ำที่สุด นี่ยังมาทำมาหากินกับการค้าขายมนุษย์อีก มิน่าแม่นางเซี่ยที่มีอาชีพต่ำต้อยยังมีสีหน้าดูถูก

“เพียงแค่ค้าขายมนุษย์?”

“คนพวกนั้นบางทีก็ส่งคนมา หากที่หอมีสินค้าดี พวกเขายังมาซื้อไปด้วย”

หวังทงได้ยินแล้วก็งง การค้าขายมนุษย์เป็นการหาเงิน แต่การซื้อหามนุษย์นี่เอาไปทำไมกัน เดิมเขาไม่ได้เป็นพนักงานสอบสวนมืออาชีพ ถามแต่เรื่องไม่เป็นเรื่อง พอถามถึงตรงนี้จึงคิดขึ้นมาได้ว่า

“เจ้านับถือลัทธิไตรสุริยันหรือไม่?”

“ผู้น้อยไม่เชื่อของแบบนี้หรอกเจ้าค่ะ ไม่ทำให้รวย ไปคบหากับคนไม่มีไอ้นั่น คลื่นไส้จะตายไป ทำการค้าเราเสียหายไปจะว่าอย่างไร!”

ต้องอย่างนี้สิถึงจะเป็นสตรีในยุทธภพ หวังทงหัวเราะ ถามต่อเสียงนิ่งเรียบว่า

“หอของเจ้ามีคนเข้าออกมาก สนทนากันหลายเรื่อง มีข่าวสารสำคัญอะไรได้ฟังมาก็รีบมารายงานที่นี่ ย่อมมีผลประโยชน์มอบให้เจ้า ออกไปได้!”

เดิมทีตอนเดินตามเข้ามา แม่นางเซี่ยมีท่าทีไม่สำรวมอยู่บ้าง แต่พอได้สนทนากันไปแล้ว กลับไม่กล้ามีท่าทีไร้มารยาทแม้แต่น้อย โค้งคำนับในฐานะผู้น้อย ถอยออกไปอย่างเคารพนอบน้อม

การดำเนินการด้านนอกก็รวดเร็วมาก มีแค่ขั้นตอนคนเขียนหนังสือที่จัดการเขียนไว้ตามคำสั่งนานแล้ว ลงชื่อปั๊มนิ้ว จ่ายเงินรับป้าย จางซื่อเฉียงพูดอะไรอีกสองสามเรื่องเท่านั้น

แม่นางเซี่ยก็ตรงไปตรงมา แม้ว่าจะบอกว่าเงินหนึ่งพันตำลึงแบ่งจ่ายสามปี แต่ครั้งนี้ก็มอบไว้ถึงหนึ่งพันสองร้อยตำลึง กองเงินสีขาววาววับจับตา

หวังทงครุ่นคิดเรื่องนี้บางทีอาจมีส่วนที่รองเจ้ากรมอาญากงเถี่ยชวนมอบให้ด้วย หวังทงไม่รู้ว่ากององครักษ์เสื้อแพรและคณะเสนาบดีใหญ่ทางนั้นเกิดอะไรขึ้น แต่ได้เห็นการระมัดระวังหวาดกลัวของแม่นางเซี่ยเช่นนี้ ก็เดาพอได้บ้าง

“แบ่งออกมาหกร้อยตำลึง พรุ่งนี้เช้านำไปมอบให้นายกองร้อยเถียน”

จางซื่อเฉียงกำลังนับเงินอยู่ ก็รีบคำนับรับคำ ไม่ว่าจะเป็นคนซื่อสัตย์เพียงใด หากได้เห็นเงินวาววับมากมายเช่นนี้ จิตใจก็ยังคงพองโตปลื้มปริ่มเช่นกัน

หวังทงนั่งอยู่ตรงนั้น หมุนเงินสองก้อนในมือไปมา คิดอยู่ครู่หนึ่งก็วางเงินลงบนโต๊ะ ออกคำสั่งว่า

“พี่จาง อีกสักครู่ไปที่หอรับวสันต์บอกพวกเขาว่า ป้ายสงบสุขนี้ต้องแขวนโคมไฟผูกผ้าแพร ตอนแขวนขึ้นไปให้จุดประทัดด้วย ไม่งั้นก็ไม่ต้องแขวน!!”

จางซื่อเฉียงรับคำเสร็จก็ได้ยินมีคนมาเคาะเรียกอยู่ด้านนอก และยังเคาะอย่างเร่งร้อน จางซื่อเฉียงรีบลุกไปเปิดประตู ตะโกนเสียงดังว่า

“ผู้ใดกัน!”

ด้านนอกก็มีเสียงพูดกลั้วเสียงหัวเราะอย่างนอบน้อมดังขึ้นทันทีว่า

“นายท่าน พวกข้าน้อยมาขอรับป้ายขอรับ ดึกเช่นนี้แล้วมารบกวนท่านรู้สึกเกรงใจยิ่งนัก แต่เรื่องเร่งด่วนเช่นนี้ จึงต้องรีบเร่งมากัน ขอท่านเปิดประตูให้พบสักครู่ นอกจากมอบเงินรับป้ายแล้ว พวกข้าน้อยยังมีส่วนอื่นแสดงน้ำใจอีก”

คนในเมืองค่อนข้างไวกับเรื่องการเคลื่อนไหวระดับบน และยังเป็นข่าวที่แพร่สะบัดไปทั่วเมืองหลวงเช่นนี้อีก ถึงเวลาจะมีผู้ใดไม่รู้ข่าวนี้ หรือจะมีผู้ใดบ้างไม่รู้จักให้เกียรตินี้กัน

จางซื่อเฉียงกำลังจะไปเปิดประตู ก็ถูกหวังทงตะโกนให้หยุดอยู่ด้านหลัง หวังทงพูดเสียงค่อยๆ ว่า

“ให้พวกเขามาพรุ่งนี้ ทุกป้ายเจ้าก็แอบเก็บเพิ่มอีกหนึ่งร้อยตำลึง ตอนนี้เรื่องนี้ไม่ใช่เราที่ต้องรีบร้อน”

จางซื่อเฉียงคิดเข้าใจแล้วก็ยิ้มพยักหน้ารับ หันไปตะโกนออกไป ท้ายที่สุดก็เงียบสงบลง แต่คิดจะให้เงียบสงบเลยนั้นเป็นไปได้ยากสักหน่อย

คนกลุ่มนี้ไป ก็มีมาอีกกลุ่ม สุดท้ายบ้านหวังทงและบ้านนางหม่าก็ถูกรบกวนด้วยฝูงชนหลั่งไหลกันมาไม่หยุด ถึงกับให้หม่าซานเปียวเฝ้าประตูไว้ ต้อนให้กลับไป

ดึกมากแล้ว ด้านนอกสงบลงตามไปด้วย คนเขียนหนังสือขอตัวกลับ ก็ถูกหวังทงรั้งไว้ เรื่องที่เขาทำนี้ แม้แต่คนบางคนในวังนอกวังจะรู้ดี ไม่พูดไป แต่ไม่ได้หมายความว่าตนเองจะทำอะไรตามอำเภอใจได้ หรือว่าควรเขียนรายงานสักหน่อย คิดไปคิดว่าสุดท้ายก็ให้พวกเขาจากไป มีบางเรื่องคุยกันต่อหน้าได้ แต่หากเป็นลายลักษณ์ก็จะอันตรายเกินไปหน่อย

ด้านนอกไม่มีคนมาขอรับป้ายอีก จางซื่อเฉียงกล่าวอำลาจากไป หวังทงก็เหน็ดเหนื่อยอยู่บ้าง ในสมองของเขาพยายามรำลึกถึงการบริหารจัดการสถานบันเทิงที่ตนได้ยินได้เห็นมานั้นว่ามีวิธีอะไรที่ตนจะหยิบยืมมาใช้ได้บ้าง

พอเข้าห้องนอนไปก็เดินขมวดคิ้วออกมาอีก กลิ่นแป้งหอมแม่นางเซี่ยนั้นฉุนมาก ในห้องยังมีกลิ่นหลงเหลืออยู่ หวังทงรู้สึกอึดอัดมาก จึงต้องเปิดประตูระบายออก

ยามนี้รอบด้านเงียบสงบ สามารถได้ยินเสียงกลองเสียงระฆังในวังหลวงที่ไกลออกไป หวังทงรินน้ำชาเย็นชืดให้ตัวเอง จ่อไปที่ริมฝีปาก ทันได้ก็ได้ยินเสียงมีคนมาเคาะประตูอยู่ด้านนอก ทำเอาเขาตกใจ

คนผู้นั้นไม่บอกว่าตนเองเป็นใคร เอาแต่เคาะประตู หวังทงโมโหมาก ดึงสลักออกเปิดออกไปก็ด่าเสียงดัง คิดไม่ถึงว่าไม่ใช่พวกที่มารับป้าย แต่เป็นพ่อบ้านถานเจียงของเสนาถานกวนจากกรมทหารที่ได้พบเมื่อหลายวันก่อน ด้านหลังชายร่างสูงใหญ่ผู้นี้ยังมีทหารม้าอีกสองสามนายและม้าไร้คนขี่อีกหนึ่งตัว สีหน้าโศกเศร้าสุดขีด เอ่ยเสียงค่อยว่า

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version