Skip to content

องครักษ์เสื้อแพร 97

ตอนที่ 97 ภายนอกสยบใช่ว่าใจยอมสยบ

เช้าวันรุ่งขึ้นเมื่อช่วยลุงเถียนกวาดพื้นเสร็จ หวังทงรู้สึกง่วงเล็กน้อย การตอบสนองต่อคำถามของลุงเถียนก็เชื่องช้าลงไปบ้าง

ในหัวของเขายังคงสับสน เสนาถานกวนแห่งกรมทหารมีท่าทางหมดแรงราวกับตะเกียงหมดน้ำมันมาตั้งแต่ตอนได้คุยกันเมื่อหลายวันก่อนแล้ว เห็นว่าพอคุยจบก็ไม่ได้สติอีกเลย อาศัยคนที่บ้านดูแลหยอดซุปโสมเพื่อยื้อชีวิตเอาไว้ แต่ก็ยื้อได้ไม่กี่วัน

ตอนหวังทงรีบมาถึง จวนเสนาถานกวนเต็มไปด้วยบรรยากาศเศร้าโศก อาการของถานกวนเช่นนี้ คนในจวนถานต่างก็เตรียมใจไว้นานแล้ว ข้าวของเครื่องใช้สำหรับจัดงานก็เตรียมไว้พร้อมแล้ว ผู้ที่ไปรายงานในวังก็ออกเดินทางไปแล้ว

พอมาถึงห้องโถงไว้ทุกข์ หวังทงคุกเข่าลงคำนับหน้าป้ายวิญญาณเสนาบดีถานกวนที่เคยพบกันเพียงแค่ครั้งเดียว พ่อบ้านถานเจียงแม้ว่าน้ำตายังนองหน้าแต่ก็ยังจัดงานได้อย่างเรียบร้อย

หลังจากปักธูป บรรดาญาติของเสนาบดีถานกวนทั้งผู้ใหญ่และเด็กก็คำนับขอบคุณ ดึกดื่นค่ำคืน ทั้งบ้านสวมชุดไว้ทุกข์ร้องไห้คำนับตอบเช่นนี้ หวังทงก็รู้สึกเต็มตื้อไปหมด รู้สึกเศร้าใจไปด้วย ทำให้เขาคิดถึงสถานการณ์ตอนที่หวังลี่ บิดาเขาจากไป ก็ยิ่งเศร้าเสียใจ

พอรับการคำนับตอบกลับเสร็จ หวังทงก็ไม่อยากอยู่ที่นี่นานนัก แต่ยังไม่ทันได้กล่าวอำลา ถานเจียงกลับเรียกเอาไว้ ผู้ชายทั้งบ้านที่สวมชุดเหมือนกันทั้ง 17 คน ในนั้นก็มีถานเจียงและถานปิงกับถานเจี้ยนที่คอยจดบันทึกที่ได้พบกันครั้งก่อน หันไปโขกศีรษะคำนับป้ายวิญญาณของถานกวนสามครั้ง จากนั้นก็โขกศีรษะคำนับคนในบ้านตระกูลถานอีกสามที

ผู้ชายที่ดูเข้มแข็งเหล่านี้หลายคนก็ร้องไห้คร่ำครวญไม่หยุด ผู้ชายเข้มแข็งแก็มีเวลาหลั่งน้ำตาเช่นกัน หวังทงเห็นแล้วก็ซึ้งในนัก 17 คนนี้หันมาทางเขาแล้วก็โขกศีรษะคำนับสามที

เรื่องอะไรกัน? หวังทงรู้สึกงงไปหมด ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งที่อยู่บนเสื้อหน้าโลงศพก็ลุกขึ้นสะอื้นกล่าวว่า

“ใต้เท้าหวัง บิดาที่จากไปได้มอบถานเจียงและคนอื่นๆ รวม 17 คนให้ใต้เท้าช่วยดูแล รอให้เสร็จงานแล้ว ข้าน้อยทั้งครอบครัวก็จะนำร่างบิดาไปส่งยังบ้านเกิด ถานเจียงและคนอื่นๆ รวม 17 คนนี้ก็เป็นคนของใต้เท้าแล้ว ทุกคนดูและตระกูลถานเรามาหลายปี ขอใต้เท้าโปรดเมตตาทุกคนด้วย”

พูดจบ ก็ประสานมือคำนับอย่างหนักแน่น คนอื่นๆ ในครอบครัวที่คุกเข่าอยู่บนเสื่อก็ก้มลงคำนับเช่นกัน ตอนเริ่มพูดนั้นหวังทงก็พอเดาได้แล้ว

ตอนแรกก็ว่าจะไม่สนใจ แต่พอเกิดขึ้นก็รู้สึกเก้กัง แต่มาบัดนี้ก็ไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธแล้ว ได้แต่ก้มหน้ารับปากไป พูดจากันถึงตอนนี้ก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องอยู่ต่ออีก จึงรีบกล่าวอำลากลับ

ถานเจียงมาส่งหวังทงที่ประตูด้วยตนเอง หวังทงขึ้นม้าแล้วก็เพิ่งคิดได้กล่าวว่า

“จัดการงานศพเสร็จ ตระกูลถานไม่ต้องการพวกเจ้าช่วยงานแล้วก็มาหาข้า ถึงตอนนั้นจะจัดสรรงานที่เหมาะสมให้แล้วกัน”

ถานเจียงใบหน้าโศกเศร้า ได้แต่ประสานมือรับคำ ไม่ได้กล่าววาจาเคารพอะไรมากนัก ความซื่อสัตย์ต่อนายของบ่าวนักมิใช่ว่าบ่มเพาะกันได้เพียงคืนหนึ่งวันหนึ่ง

นี่เป็นการมอบบุคคลที่ใช้งานได้แก่ตนกลุ่มหนึ่ง หรือว่าสร้างความเดือดร้อนมาให้ตนกัน ทุกอย่างยังไม่แน่ชัด ตอนนี้ก็ไม่ใช่เวลาพูดอะไร หวังทงได้แต่ทอดถอนใจกล่าวว่า ‘ระงับความเศร้าบ้าง’ แล้วจึงขี่ม้าจากไป

****

คนค่อยๆ ทยอยกันมามากขึ้น องครักษ์เสื้อแพรทุกคนที่ถึงก็จะคำนับทักทายหวังทงด้วยความสุภาพนอบน้อมอย่างที่สุด หวังทงยิ้มประสานมือพยักหน้ารับ พอทักทายจบก็ไม่มีใครยอมถอยออกไป พากันหาเรื่องพูดคุยกับคนของซุนต้าไห่ ทั้งจางซื่อเฉียงและหลี่เหวินหย่วนก็ดูเหมือนจะพยายามหาเรื่องคุยดีกันอย่างสุดชีวิต

ตั้งแต่หวังทงดำรงตำแหน่งนายกองธงใหญ่ประจำกองร้อยนี้เป็นต้นมา ทุกคนก็ได้เงินมากขึ้น นี่ยังไม่สำคัญเท่ากับการที่นายกองธงใหญ่อายุน้อยผู้นี้กลับทำการใหญ่เช่นนั้นได้ ทำให้ทุกคนรู้สึกชื่นชมไร้คำติเตียน

ตอนนี้ไม่ใช่เรื่องที่ว่าจะได้ผลประโยชน์อะไรบ้าง แต่เป็นเรื่องที่ว่าข้างกายมีองค์เทพที่ยิ่งใหญ่เพียงนี้ ไยจะไม่หาทางเอาอกเอาใจสร้างความสนิทสนมกัน แม้ว่าจะไม่ได้แบ่งอะไรให้ ก็ขอแค่อย่าได้ล่วงเกินก็พอ

ได้รู้เรื่องที่หวังทงได้ทำไป เพียงแค่ขยับนิ้วมือก็สามารถบี้คนให้ตายได้เลย แต่ก็มีคนแปลกใจว่า หวังลี่เป็นคนซื่อ ดวงดีได้งานไปเมืองกวางตุ้งมาครั้งหนึ่ง สุดท้ายก็ป่วยตาย ดูไม่เหมือนว่าจะมีที่พึ่งพิงสนับสนุนเบื้องหลังอันใด หวังทงตอนแรกก็ยังมีคนคิดจะฮุบเอาทรัพย์สมบัติไปด้วยเลย ช่วงเวลาพริบตาเดียว ทำไมจึงได้เปลี่ยนแปลงไปมากเช่นนี้ แน่นอน ที่ไม่ควรจะรู้ก็อย่าได้อยากรู้ ที่ควรเอาอกเอาใจก็ต้องเอาอกเอาใจให้ดีก็พอ

หลิวซินหย่งนายกองธงใหญ่อีกคน ตั้งแต่ขันทีหูต้าเฉวียนบิดาบุญธรรมจัดการตัวเองจากไป ก็ป่วยเป็น ‘ไข้หวัด’ อยู่บ้าน ‘รักษาตัว’ อย่างไรเขาก็ได้ไปไม่น้อยแล้ว ก็ย่อมไม่คาดหวังกับเงินประจำตำแหน่งเล็กน้อยพวกนี้ ทุกคนพากันลืมเขาไปหมด ราวกับว่าไม่มีคนผู้นี้อยู่

วาจาทักทายสุภาพนอบน้อมยิ่ง ราวกับว่ามีใครจัดงานมงคล หวังทงเมื่อคืนที่ไปร่วมงานศพไม่นาน แต่ตอนเช้าก็มีภาพสถานการณ์เช่นนี้ ความแตกต่างราวฟ้ากับเหวเช่นนี้ทำให้รู้สึกตั้งรับไม่ทัน รู้สึกมีนงงอยู่บ้าง

ตอนคุยกันนั้น ประตูจวนนายกองร้อยเถียนก็เปิดออก แต่ความสนใจทุกคนยังคงอยู่ที่หวังทง ช่วงเวลาชุลมุนอยู่นั้นจึงไม่มีใครสนใจ

นายกองร้อยเถียนหรงหาวยืนอยู่หน้าประตูกำลังจะกล่าวขึ้น ก็เห็นคนด้านล่างทั้งหมดกลับไม่สนใจตน สีหน้าก็เย็นเยียบขึ้นทันใด กำลังจะโมโหก็เหลือบเห็นหวังทงที่ถูกล้อมอยู่ตรงนั้น ก็ลังเลไปครู่หนึ่ง นายกองร้อยเถียนสีหน้าก็เปลี่ยนเป็นรอยยิ้ม ทักทายเสียงดังว่า

“นายกองหวัง มาเช้าจริง!”

ถูกทักทายเช่นนี้ ทุกคนก็รีบหันหน้ามามอง พอได้ยินการทักทายสนิทสนมของนายกองร้อยเถียนเช่นนี้ ก็ยิ่งเข้าใจกันดีว่านายกองธงใหญ่หวังทงอยู่ในสถานะอันใด

“อรุณสวัสดิ์นายกองร้อยเถียน ข้ามีเรื่องรายงานพอดี!!”

ตอนนี้หวังทงพูดอะไรก็ใส่ใจมารยาทอย่างยิ่ง พอสถานะสูงแล้ว ก็ยังต้องนำมารยาทที่เหมาะสมออกมาใช้ ตอนนี้เขากับนายกองร้อยเถียนพูดคุยกัน สองฝ่ายก็ต้องใช้ท่าทีเสมอภาคเท่าเทียมกัน ไว้หน้าให้เกียรติกันและกัน พอทางนี้กล่าวเช่นนี้ นายกองร้อยเถียนก็รีบหัวเราะเสียงดังกล่าวว่า

“มาๆๆ มาพูดตรงนี้ ห่างกันไกลอย่างนั้นทำไม”

พอหวังทงให้สัญญาณ คนของซุนต้าไห่ก็แบกหีบมาไว้หน้าขั้นกระได หวังทงกระซิบเบาๆ ไปสองสามประโยค นายกองร้อยเถียนก็พยักหน้า หวังทงขึ้นไปยืนบนขั้นกระได หันหน้ามาพูดเสียงดังก้องว่า

“พี่น้องทุกท่าน ทราบเรื่อง ‘ป้ายสงบสุข’ กันใช่ไหม!?”

หวังทงเสียงดังขึ้นท่ามกลางความเงียบ เรื่องทุกคนจะไม่รู้ได้อย่างไร พอได้ยินเขาถามขึ้น ทุกคนก็รีบขานตอบรับกันเซ็งแซ่ หวังทงกล่าวต่อว่า

“ป้ายสงบสุขนี้ช่วยเหลือพวกเขามากมาย เถ้าแก่ร้านค้าบนถนนทุกสายต่างรู้สึกเกรงใจ จึงได้มอบเงินเหล่านี้ตอบแทน พวกเขาช่างมีน้ำใจจริง”

พอได้ยินหวังทงกล่าวเช่นนี้ ทุกคนก็เงียบเสียงลง สักพักก็ระเบิดเสียงหัวเราะกันขึ้นมา เรื่องที่ทุกคนรู้อยู่แก่ใจแต่กลับพูดออกมาได้อย่างเปิดเผยเช่นนี้ ทุกคนพากันกุมท้องขำ หวังทงโบกมือขึ้นกล่าวต่อว่า

“เมื่อแขวนป้าย พี่น้องเราก็ต้องรักประกันความสงบสุขปลอดภัยให้พวกเขา วันหน้าอย่าได้ไปที่นั่นหยิบฉวยกัน ไม่อนุญาตให้ไปเศษหาเลยกัน หากกลับต้องตั้งใจดูแลป้องกันภัย ทุกคนจำไว้ให้ดี!!”

เบื้องล่างพากันเงียบงันไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็ขานรับกันเซ็งแซ่ ปกติแล้วบรรดาบ่อนการพนันและหอคณิกาจะไม่ยอมไว้หน้าองครักษ์เสื้อแพรระดับพลทหารธรรมดาแม้แต่น้อย เดิมก็ไม่ได้เงินอะไรอยู่แล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าไปหาเรื่องขอเงินอะไร ตอนนี้มีเงินให้รับ ก็เป็นเรื่องน่ายินดียิ่งนัก ใส่ใจดูแลกันหน่อยก็เป็นการสมควรอยู่

นายกองร้อยเถียนยิ้มพยักหน้าอยู่ด้านหลัง เช่นนี้ก็ยิ่งทำให้บรรดาทหารผู้น้อยรู้สึกสบายใจกัน นายกองร้อยเถียนแน่นอนย่อมไม่มีอะไรจะโต้แย้ง 600 ตำลึงกำลังรอให้เขาแบ่งสรร แม้ว่าจัดสรรอย่างมีน้ำใจมากแล้ว แต่อย่างน้อยก็ต้องมี 200 ตำลึงเข้าบัญชีแน่นอน เท่ากับว่าเป็นเงินทองที่หล่นมาจากฟ้า ใครเล่าจะปฏิเสธกัน

เมื่อผ่านเรื่องนี้มา องครักษ์เสื้อแพรพอเห็นหวังทงก็อยากจะคุกเข่าโขกศีรษะคำนับ หวังทงไม่เพียงแต่มีเบื้องหลังที่น่าตกใจ แต่ยังมีเงินให้ทุกคนได้ร่ำรวย ใต้เท้านายกองร้อยก็สนับสนุน เป็นวีรบุรุษยิ่งใหญ่ระดับไหนกันเนี่ย!!

รอจนเลิกแถวกลับไปถึงหน้าประตูบ้านตน ก็เห็นมีคนหลายสิบคนยืนกันเป็นระเบียบ ถือห่อผ้าเล็กบ้างใหญ่บ้างยืนเข้าแถวคอยอยู่

คนเหล่านี้มีบางคนที่หวังทงจำได้ ก็ตอนที่ไปทำความรู้จักที่กันคราก่อน บรรดาเถ้าแก่บ่อนพนันและหอคณิกา ที่มารอคอยกันอยู่อย่างเป็นระเบียบเช่นนี้ก็คงเป็นเพราะไม่ได้เห็นคนที่มาสืบข่าวคราวกลับอีกเป็นแน่ คิดดูแล้วว่าสองวันนี้เกิดอะไรขึ้นกันแน่ ไม่ว่าใครก็ไม่อาจไม่ระวังตัว

พอเห็นหวังทงกลับมา คนเหล่านี้ต่างก็กรูเข้ามาล้อมอยางไร้ระเบียบ ทุกคนแย่งกันตะโกนเสียงดัง

เรื่องที่พูดก็เป็นวาจาไร้สาระ เหตุผลร้อยแปด มีแต่เรื่องเช่นว่า ตนเองหลายวันนี้ถูกหินร่วงหล่นจากฟ้าทับเอา กำลังยุ่งวุ่นวายกับคนที่บ้านตาย จึงไม่ได้มาขอรับป้ายสงบสุขไป น่าตายเสียจริง ตอนนี้มาแล้วก็อยากจะจ่ายเงินขอป้ายกลับไป ขอให้สงบสุขปลอดภัย ขอใต้เท้าอนุญาต

พูดกันตามตรงก็แค่ประโยคเดียวว่า ยอมจ่ายเงิน ยอมจ่ายเงินมาก ขอแค่ใต้เท้าหวังอย่าได้คิดเล็กคิดน้อย ผู้ไม่รู้ย่อมไม่ผิด

เงินที่ส่งมาถึงที่นั้น หวังทงย่อมไม่ตำหนิ เขายังต้องเก็บคนพวกนี้ไว้คอยหาข่าว จึงได้นักเวลาพบพวกเขาที่ละคน ถึงตอนนั้นจะได้พูดกันส่วนตัว

เหน็ดเหนื่อยมาถึงตอนนี้ พระอาทิตย์ก็ขึ้นสูงแล้ว อีกเพียงครึ่งชั่วยามก็ต้องไปลานฝึกแล้ว แต่หวังทงก็ไม่มีเวลาได้พัก ยังต้องหยิบเอาไม้พลองไปฝึกกับหลี่เหวินหย่วนอีก

ตอนบ่ายต้องไปวิ่งกระโดดโลดเต้นกับหลี่หู่โถว ตอนนี้ก็ต้องไปฝึกร่วมกับหม่าซานเปียวและหลี่หู่โถวอีก การสอนของหลี่เหวินหย่วนก็ไม่ได้สนุกไปกว่าที่ลานฝึกสักเท่าไร ก็แห้งแล้งน่าเบื่อมากเช่นกัน

ต้องใช้ท่าทางที่กำหนดตายตัวฟันดาบที่ไร้คมฟันลงไปหลายรอบ ยามปกติก็ต้องยกไม้พลองที่หนักค้างไว้ช่วงระยะเวลาหนึ่ง บางครั้งบนไม้พลองกับดาบยังผูกกระสอบทรายหรือเหล็กเส้นเอาไว้ด้วย

ช่วงเวลาฝึกสั้นๆ ในตอนเช้านี้ หลี่เหวินหย่วนก็มิได้เกรงอกเกรงใจอย่างเช่นตอนบ่าย มือถือแส้ไม้ไผ่เส้นหนึ่ง ท่าทางผิดไปนิดก็จะลงแส้ หลี่หู่โถวยังดี หวังทงกับหม่าซานเปียวมักจะถูกตีจนเป็นรอยแดงไปทั้งแถบ ฝึกรุนแรงมาก แต่หม่าซานเปียวกำลังดี หวังทงรู้ว่าที่ตนเรียนอยู่นั้นก็เพื่อไว้รักษาชีวิตตน สองคนก็กัดฟันทนต่อไป

****

ดังนั้นทุกวันตอนบ่ายพอหวังทงปรากฏตัวอยู่ท่ามกลางเด็กหนุ่ม ก็แปลกแยกอย่างเห็นได้ชัด คนอื่นๆ มีชีวิตชีวากระโดดโลดเต้น มีแต่หวังทงที่มีท่าทางสงบนิ่งและเหน็ดเหนื่อยผิดกับช่วงวัย

แต่วันนี้ตอนบ่าย คนที่มีท่าทางเช่นนี้ไม่มีแต่หวังทงผู้เดียวเท่านั้น แต่ฮ่องเต้น้อยว่านลี่ที่แบกห่อผ้าเดินเข้ามาในลานฝึกเหมือนเดิมกลับมีสีหน้าเคร่งเครียด ท่าทางไม่พอใจมาก

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version