ตอนที่ 89 เช้าวางหมากล่อ ค่ำพบคน
เถ้าแก่เซี่ยหอรุ่งเรืองไม่กล้าละเลยต่อหวังทงแม้แต่น้อย ไม่ใช่เพราะอำนาจบารมีขุนนาง แต่เพราะความสามารถจับอะไรก็ล้วนเป็นเงินเป็นทองที่ไม่มีใครเทียบได้
สองสามเดือนมานี้กิจการหอรุ่งเรืองของตนเพิ่มขึ้นสามเท่า แต่ไม่ใช่เพราะผู้คนและแขกหลั่งไหลกันมา จะว่าไป หอรวมคุณธรรมที่เป็นบ่อนการพนันชั่วร้าย มีเบื้องหลังยิ่งใหญ่เช่นนั้นถูกหวังทงบอกว่าจะจัดการก็จัดการเรียบ คนอย่างนี้ไม่ใช่คนทำการค้าอย่างเขาถึงจะสามารถล่วงเกินได้
แต่บรรดาเถ้าแก่บ่อนพนันและหอคณิกาพวกนั้นย่อมไม่คิดเช่นนี้แน่นอน
จางซื่อเฉียงที่ออกบัตรเชิญรู้สึกเก้กังเล็กน้อย บัตรเชิญสิบสามใบมาแค่สอง เห็นชัดว่าตนเองทำงานไม่ดี แต่สีหน้าหวังทงก็มิได้แสดงความไม่พอใจอะไร
ด้านหลังหอรุ่งเรืองมีเรือนแยกอยู่หกเรือน แขกที่เลือกใช้เรือนเหล่านี้ก็จะเสียค่าใช้จ่ายสูงส่งกว่าห้องเดี่ยวนิดหน่อย แต่เงียบสงบกว่า
หวังทงยิ้มเดินเข้ามา สองคนในห้องก็รีบยืนขึ้น พยักหน้ายิ้มตอบกล่าวว่า
“ใต้เท้าหวังหากมีกิจอะไร บอกกันก็พอ ใยต้องเสียเงินเสียทอง ข้าน้อยมิกล้ารับจริงๆ !”
“ทุกคนล้วนเป็นเพื่อนบ้านใกล้เรือนเคียง หากมิใช่ว่าข้าเป็นองครักษ์เสื้อแพร ยังต้องเรียกทุกท่านว่าท่านอาท่านลุงด้วยซ้ำไป เกรงใจอันใดกัน นั่งลงกันเถอะ!”
กล่าววาจากันตามมารยาท สองคนก็นั่งลงอย่างระมัดระวัง สองคนนี้ล้วนเปิดบ่อนพนันลูกเต๋า เป็นกิจการเล็กๆ ที่เป็นที่รวมของบรรดาคนว่างงานแก้เบื่อเล็กๆ การค้าไม่ใหญ่นัก เดือนหนึ่งมากสุดก็แค่ 20 -30 ตำลึง จ่ายค่าน้ำร้อนน้ำชานั่นนี่ไป เหลือในมือก็ไม่มากเท่าไร
พวกเขาไม่มีที่พึ่งพิงอะไรทั้งนั้น หากจะยืนยันว่ามี ก็คงเป็นนายกองร้อยเถียนหรงหาว สองร้านนี้แต่ไรก็มอบส่วยให้นายกองร้อยเถียนโดยตรง ไม่สนใจคนอื่น
คิดไม่ถึงว่าจัดงานเลี้ยงพบปะ แต่กลับมีสองร้านที่ความสัมพันธ์ใกล้ชิดกันมาเท่านั้น คนอื่นๆ ไร้การเคลื่อนไหว หวังทงหันไปเรียก
“พี่จาง ซุนต้าไห่ พวกท่านเข้ามาเถอะ มานั่งด้วยกัน!”
นายกองธงเล็กสองคนนั่งลงแล้ว หวังทงก็ยกจอกสุราคารวะก่อน ว่ากันไปตามมารยาทตามธรรมเนียมบนโต๊ะอาหาร จากนั้นก็กล่าวว่า
“สถานที่เดิมของหอรวมคุณธรรมตอนนี้ว่าง สถานที่ที่นั่นดี บริเวณรอบๆ ก็มีคนไม่มีงานการที่ต้องกระทำกันอยู่มาก ปล่อยให้ว่างก็เกรงว่าจะสิ้นเปลือง เรียกทุกคนมาก็เพื่อถามว่าใครสนใจ?”
ถนนทักษิณเดิมเป็นพื้นที่ที่ดีของเขตทักษิณ ผู้คนมีเงินในมือไม่น้อย ที่ตั้งหอรวมคุณธรรมนั้นแม้นไม่โจ่งแจ้ง แต่ก็หาไม่ยาก เป็นสถานที่ยอดเยี่ยมสำหรับการเปิดบ่อนพนัน
สองคนที่มาร่วมงานเลี้ยงพอได้ยินก็ตื่นเต้นทันที โอกาสร่ำรวยตกมาจากฟ้าจริงๆ มีสถานที่เช่นนี้ แม้ว่าหักค่าบริหารและค่าของกำนัล ปีหนึ่งย่อมมีสองสามร้อยตำลึงก็คงตกถึงมืออย่างแน่นอน และหากมีที่นี่ สถานะย่อมต่างออกไป ตอนนี้เจ้าของสองบ่อนการพนันนี้ก็แค่เจ้าของบ่อนเล็ก คนพอที่ฐานะเดินพบกันบนถนนก็ยังไม่มองหน้าด้วยซ้ำ แต่หากมีหอรวมคุณธรรม สถานะย่อมเปลี่ยนไป นับได้ว่าเป็น “เถ้าแก่” หรือ “เจ้าของร้าน” ได้
ดีใจกันพักหนึ่ง ก็รู้สึกลำบากใจเล็กน้อย เข้าใจความหมายของหวังทง เถ้าแก่สองคนหันหน้าไปปรึกษากันบนโต๊ะอาหาร ผ่านไปครู่หนึ่ง เถ้าแก่คนหนึ่งก็เอ่ยอย่างสงสัยว่า
“ใต้เท้าหวังนี่ส่งความร่ำรวยให้พวกข้าน้อยหรือ แต่หอรวมคุณธรรมกว้างขวาง สถานที่ก็ดี ข้าน้อยหาเงินมามากมายขนาดนั้นไม่ได้ ใต้เท้าท่านว่า…”
หวังทงหัวเราะเอ่ยว่า “สถานที่ดีขนาดนี้ ข้าก็ไม่อยากให้ไป ท่านทั้งสองมาทำ เงินที่หามาได้มอบให้ข้าครึ่งหนึ่ง ที่เหลือข้าไม่สนใจ”
พอได้ยินดังนี้ เถ้าแก่สองคนก็อึ้งไป สีหน้าลังเลสงสัยเห็นได้ชัด หวังทงพอจะเดาได้ว่าเขาสองคนคิดอะไรกัน ก็หัวเราะกล่าวว่า
“ค่าเบิกทาง ค่าส่วยรายเดือนก็รวมอยู่ในครึ่งหนึ่งนี้ เงินที่เหลือไม่เก็บเพิ่มอีกแม้แต่แดงเดียว อีกสองร้านของพวกท่านนั้นจะเปิดหรือไม่ก็ตามใจพวกท่าน”
ให้คำมั่นเช่นนี้ เถ้าแก่สองคนคิดคำนวณครู่หนึ่ง เดิมคิดค่าเบิกทางและค่าส่วยรายเดือนจะรวมอยู่กับส่วนของตนด้วย เช่นนั้นแม้ว่ากำไรจะมาก แต่ถ้านับอีกครึ่งของหวังทง กำไรก็นับว่าน้อยไปมาก สองคนพลางคิดไปพลางแย้มยิ้มกันไป หากไม่มีงานเลี้ยงให้กินเปล่า ไหนเลยจะมีอะไรตกใส่มืออย่างไร้เหตุผลเช่นนี้ได้ แน่นอน หวังทงเอ่ยต่ออีกว่า
“อย่าดีใจกันเร็วไป พอเปิดบ่อนแล้ว ต้องช่วยข้าคอยจับตาดูการเคลื่อนไหวของนักพนันในบ่อนทั้งหมด เรื่องใหญ่น้อยก็ต้องใส่ใจ มารายงานข้าทุกวัน ยังต้องช่วยข้าสืบหาข่าว พวกเจ้าทำได้ไหม?”
เถ้าแก่สองคนอยู่ในวงการมานาน ย่อมเข้าใจว่าหวังทงต้องการสิ่งใด ทิศตะวันออก ทิศตะวันตกและทิศเหนือของเมืองหลวงสามทิศนี้มีขุนนางและผู้สูงศักดิ์มากมาย มีคนงานในร้านอาหารหอคณิกาไม่น้อยที่คอยเป็นหูเป็นตาให้ทางการ คอยจดบันทึกการเคลื่อนไหวของบรรดาขุนนางและผู้สูงศักดิ์ทั้งหลาย
เขตทักษิณส่วนใหญ่เป็นพวกคนจน ไม่มีค่าแก่การจับตาดู และก็ไม่มีการวางหูตาคอยสืบข่าวอะไรด้วย วันนี้หวังทง กล่าวเช่นนี้ ต้องเพราะต้องการวางสายสืบให้คอยเป็นหูเป็นตาเป็นแน่
เรื่องนี้ไม่เสียหายอะไร ทั้งยังได้พึ่งพาบารมีไปด้วย ที่ไม่เข้าใจเรื่องเดียวก็คือ หวังทงผู้นี้เป็นแค่นายกองธงใหญ่ ใยต้องมาคอยใส่ใจเรื่องพวกนี้ด้วย
คิดถึงคำที่นายกองร้อยเถียนหรงหาวกำชับก่อนหน้านี้ว่า ไม่ว่าหวังทงกล่าวอะไรต้องระมัดระวังปฏิบัติตามให้ดี นายกองร้อยเถียนเป็นที่พึ่งเดียวของเถ้าแก่สองคนนี้ ในเมื่อที่พึ่งยังว่าเช่นนี้ ไหนเลยจะกล้าไม่ฟังคำ
นับประสาอะไรกับเมื่อมาที่นี่ ค่าตอบแทนเรื่องที่หวังทงมอบให้ทำยังมากมายเช่นนี้ เป็นผู้ใดก็ย่อมหวั่นไหว กล่าวถึงตรงนี้ เถ้าแก่ทั้งสองก็รีบลุกขึ้นยืนประสานมือคารวะกล่าวว่า
“ในเมื่อใต้เท้าหวังไว้วางใจ เช่นนั้นข้าน้อยทั้งสองก็ย่อมปฏิบัติตาม ยามนี้กล่าวอันใดไปก็ไร้ความหมาย ขอให้ใต้เท้ารอดูผลงานจากนี้ไปของข้าน้อยทั้งสองแทน”
หวังทงพยักหน้ายิ้มรับ วางท่าอย่างขุนนาง กินอาหารไปสองสามคำก็ถามอย่างไม่ใส่ใจนักว่า
“ปกติไม่ค่อยได้ติดต่อกับร้านค้าต่างๆ ท่านทั้งสอง พวกท่านรู้ไหมว่าร้านค้าอื่นๆ มีเบื้องหลังเป็นใครกันบ้าง?”
“ไม่กล้าปิดบังใต้เท้า การค้าข้าน้อยเล็กๆ ไม่ค่อยได้ไปมาหาสู่กับเถ้าแก่ใหญ่ ร้านบ่อนทอยลูกเต๋าก็เปิดอย่างง่ายๆ แม้ว่าถูกทางการปิดไปหาร้านเปิดใหม่ก็ได้ หากจะขึ้นป้ายใหญ่จริงๆ ให้เหมือนพวกทำเป็นการค้าใหญ่โต คิดจะราบรื่นไร้อุปสรรค ก็ต้องรู้จักองครักษ์เสื้อแพรระดับนายกองพันขึ้นไป ศาลซุ่นเทียนก็ต้องขุนนางระดับห้าขึ้นไป หน่วยราชการที่อื่นๆ ก็เทียบๆ เอาตามนี้”
ผู้หนึ่งพูดจบอย่างไม่ชัดเจนนัก ก็ไม่รู้ว่าเขารู้หรือไม่รู้ พอเห็นสีหน้าหวังทงไม่ดีนัก อีกคนก็รีบพูดว่า
“ใต้เท้าอย่าได้ตำหนิ พวกข้าน้อยไม่รู้อะไรจริงๆ คนพวกนั้นแตะต้องไม่ได้จริงๆ ได้แต่ก้มหน้าแกล้งเป็นลูกเต่าน้อย มีที่หนึ่งที่รู้เรื่องนี้ หอรับวสันต์ ใต้เท้าเคยได้ยินชื่อหรือไม่?”
หวังทงพยักหน้า หอรับวสันต์เป็นหอคณิกาที่ดูมีขนาดใหญ่บนถนนทักษิณ หากไม่มีเงินพอก็เข้าไปไม่ได้ งานเลี้ยงพ่อค้าบนถนนทักษิณนี่ก็ที่หอรุ่งเรือง แต่หากอยากจัดหาความสำราญในวงการค้าก็ต้องไปเลี้ยงรับรองที่หอรับวสันต์ พอเห็นหวังทงพยักหน้า ผู้นั้นก็หรี่เสียงเบาลงกล่าวว่า
“แขกประจำคนหนึ่งของหอรับวสันต์ชอบเล่นพนัน ตอนมาที่บ่อนข้าน้อยยังเคยบอกว่า เถ้าแก่หอรับวสันต์ก็คือหญิงที่รองเจ้ากรมยุติธรรมกงเถี่ยชวนให้การเลี้ยงดู…”
คิดไม่ถึงจริงๆ เขตทักษิณนี่ถึงกับมีคนเกี่ยวข้องกับบุคคลระดับสูงเช่นนี้ ที่พึ่งพิงของหอรับวสันต์ยิ่งใหญ่เพียงนี้ ที่อื่นๆ ก็คงไม่ต่างกันนัก
แต่เมื่อหวังทงคิดจะทำแล้ว ก็ย่อมไม่รามือ และก็ไม่ต้องรามือ ยกจอกสุราขึ้นชนกัน หวังทงยิ้มกล่าวว่า
“ท่านทั้งสองก็ถือว่าให้เกียรติข้า เขตรับผิดชอบของกองร้อยเราไม่กว้างนัก ก็คงมีแต่กิจการบ่อนการพนันแห่งนี้แล้วคาดว่ากิจการน่าจะดีมาก ไม่กล่าวเรื่องอื่นแล้ว ข้าขอดื่มให้กับกิจการรุ่งเรืองของท่านทั้งสอง ขอให้เงินทองไหลมาเทมา พรุ่งนี้มาคุยรายละเอียดกับนายกองจาง”
เถ้าแก่ทั้งสองเริ่มแรกฟังไม่เข้าใจ ก็ยังคิดจะยกจอกสุราชน แต่พอจะยกชน กลับเดาความหมายคร่าวๆ ของหวังทงได้
คนหนึ่งอดไม่ได้ถึงกับมือสั่น จอกสุราเกือบร่วงลงบนโต๊ะ อีกคนสีหน้าซีดเผือดยกจอกสุราจ่อที่ริมฝีปากมือสั่น กระฉอกออกมาไม่น้อย
ตอนสองคนกลับไป แม้ว่าจะพูดคุยท่าทางนอบน้อมระแวดระวัง แต่ไม่เชื่อวาจาหวังทงสักเท่าไร แม้ว่าจะนอบน้อมระแวดระวังแต่ก็มีความห่างเหินอยู่บ้าง
ดูท่าจะเป็นเพราะวาจาท้ายสุดที่ทำให้เถ้าแก่ทั้งสองรู้สึกเป็นเรื่องลวง ไม่น่าเป็นไปได้
สุดท้ายตอนจ่ายเงินให้เถ้าแก่เซี่ยหอรุ่งเรือง เถ้าแก่เซี่ยเป็นตายอย่างไรก็ไม่ยอมเก็บเงิน พูดแต่ว่าหวังทงมาที่นี่ก็ถือว่าให้เกียรติมากแล้ว ให้เงินอีกก็มิอาจรับไว้ได้
น้ำใจมูลค่าไม่กี่ตำลึง หวังทงก็ไม่รับของเถ้าแก่เซี่ย อีกฝ่ายไม่รับ จึงได้แต่วางเงินห้าตำลึงไว้ที่โต๊ะ พาคนเดินออกมา
“ต้าไห่ เตรียมไม้พลองแข็งแรงห้าสิบอัน สองสามวันนี้อย่าเพิ่งให้พวกนั้นออกไปวิ่งนอกเมือง รอคำสั่งข้าอยู่ในบ้าน”
ซุนต้าไห่พยักหน้ารับคำสั่งอย่างกะตือรือร้น หวังทงยังหันไปกล่าวกับจางซื่อเฉียงว่า
“พี่จาง นำต้าไห่กับลูกน้องไปรู้จักบรรดาคนที่ไม่มาในวันนี้ อย่าได้ถึงเวลาแล้วไปผิดที่”
เพิ่งสั่งจบ สองคนยังไม่ทันได้จากไป ก็มีคนขี่ม้าห้อมาจากปากถนน คนผู้หนึ่งขี่ตรงมาทางหวังทงที่ยืนอยู่ใต้โคมไฟว่า
“หวังทงใช่หรือไม่!?”
เป็นเสียงของนายกองร้อยเถียนหรงหาว มืดค่ำขนาดนี้ นายกองร้อยเถียนขี่ม้ามาหาหวังทง ไม่รู้ว่ามีเรื่องด่วนอันใด หวังทงรู้สึกสงสัย ตอบเสียงดังกลับไป
พอนายกองร้อยเถียนมาหยุดตรงหน้า ก็เห็นว่าไม่ได้สวมชุดขุนนาง ชายเสื้อตัวยาวยัดไว้ที่เอวรวกๆ เห็นได้ชัดว่าตอนออกมาก็คงรีบร้อน เสียงถามดังขึ้นทันที
“นายกองหวัง ขี่ม้าเป็นไหม!!”
“พอขี่ได้บ้าง!!”
“เอาม้าให้นายกองหวัง ไปเขตอุดรกับข้า!!”
ดึกขนาดนี้ รีบขนาดนี้ เกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขตอุดร ตั้งแต่หวังทงประจำการมาก็ยังไม่เคยไป ก็อดตกใจสงสัยไม่ได้ หากก็ไม่ขึ้นม้า กลับยืนถามอยู่ตรงนั้นว่า
“เรียนถามใต้เท้าว่ามีเรื่องด่วนอันใด ข้าน้อยจะได้เตรียมตัวให้พร้อม”
“ยังจะมาเตรียมบ้าอะไร ใต้เท้าถานกวนเสนาบดีกรมทหารบอกว่าต้องการพบเจ้า รีบขึ้นม้าไปกับข้า!!”
เสนาบดีกรมทหารต้องการพบข้า หวังทงขึ้นม้าด้วยความฉงน ครุ่นคิดไปตลอดทางว่า ถานกวนเป็นผู้ใดกันแน่?