Skip to content

องครักษ์เสื้อแพร 88

ตอนที่ 88 ชักจูงมาเข้าพวกตน จิตใจแห่งจักรพรรดิ

บ่ายวันที่ 22 เดือนสาม บรรดาครูฝึกและหวังทงใจเต้นโครมครามรอการปรากฏตัวของฮ่องเต้ว่านลี่

พอเห็นฮ่องเต้น้อยออกแรงแบกห่อผ้าเข้ามาในลานฝึก คนที่รู้ความในต่างพากันถอนหายใจเฮือกใหญ่

วันนี้กับเมื่อก่อนไม่เหมือนเดิมแล้ว นอกรั้วไม้และกำแพงดินของลานฝึกอยู่ๆ ก็มีบรรดาคนว่างงานมามุงรอชมเรื่องสนุก ครูฝึกมองหน้ากันรู้ดีว่า หากมีเรื่องเกิดขึ้นอย่างเมื่อวานอีก เกรงว่าคนว่างงานพวกนี้ก็คงจะชักดาบกรูกันเข้ามาแน่

“หู่โถว หู่โถว รีบมาช่วยข้า!!”

ฮ่องเต้ว่านลี่ยืนตะโกนอยู่ตรงประตู หลี่หู่โถวนั่งยองอยู่บนหน้าแท่นวางอุปกรณ์ฝึก กำลังจ้องตากับบรรดาเด็กๆ พวกนั้นไปมา บ่นขึ้นว่า

“เจ้าอ้วนนี่อะไรก็ไม่เป็น เป็นแต่ใช้คนทำนั่นทำนี่!”

หวังทงหัวเราะเบาๆ เดินมาด้วยกันกับหลี่หู่โถว ฮ่องเต้ว่านลี่พอเห็นเขาสองคน สีหน้าก็เผยรอยยิ้ม แก้ห่อผ้าบนหลังลงส่งให้หวังทง แต่ล้วงเอาห่อกระดาษอาบน้ำมันจากห่อผ้าออกมาส่งให้หลี่หู่โถว ยิ้มร่ากล่าวว่า

“ลองชิม ขนมดอกกุ้ยของบ้านข้า”

หลี่หู่โถวแกะห่อกระดาษอาบน้ำมันออกอย่างไม่เกรงใจ หยิบขนมที่ทำอย่างประณีตชิ้นหนึ่งเข้าปากก็ทำให้ตะลึงไป จากนั้นก็เคี้ยวอย่างละเอียด ดวงตาเป็นประกาย คำแล้วคำเล่า กินจนหมดเกลี้ยง เอ่ยชมว่า

“อร่อยจริงๆ อร่อยกว่าที่บิดาข้าซื้อให้ข้ากินตอนปีใหม่มากๆ !”

นี่ไม่ใช่ล้อเล่นหรือ ขนมประณีตที่ใช้ใจปรุงจากห้องเครื่องในวัง แน่นอนย่อมเยี่ยมยอดกว่าที่ซื้อจากร้านทั่วไปตามท้องถนนไม่รู้เท่าไร นับประสาอะไรกับหลี่หู่โถวที่ชีวิตยากจนแต่เด็ก วันเวลาดีๆ ผ่านมาแค่ไม่กี่เดือนนี้ ไหนเลยจะได้กินของอร่อย

ห่อผ้าไม่นับว่าหนักสำหรับหวังทง แบกขึ้นมากะดู ข้างในเหมือนจะเป็นห่อกระดาษอาบน้ำมันแบบนี้ทั้งนั้น หรือว่าพวกนี้ล้วนเป็นขนมทั้งหมด

หวังทงรู้สึกพิศวงแต่ก็ไม่พูดอะไร อย่ามองว่าหลี่หู่โถวแค่บ่นเมื่อครู่ แต่พอได้กินขนมดอกกุ้ยไป ความรู้สึกดีกับฮ่องเต้ว่านลี่ก็เพิ่มมากขึ้น สองคนเดินไปคุยไป ตรงไปยังที่วางอุปกรณ์ฝึก

พูดให้ถูกต้องก็คือฮ่องเต้ว่านลี่เอาแต่พูดไปหัวเราะไปคนเดียว เพราะความสนใจของหลี่หู่โถวอยู่ที่ขนมดอกกุ้ยในห่อเหล่านี้ กินไปก็ชมอร่อยไม่หยุด

หากไปนั่งตรงกองอุปกรณ์ฝึก หวังทงวางห่อผ้าลง ยังคงเล่าเรื่องสนุกเกี่ยวกับต่างชาติให้ฮ่องเต้ว่านลี่ฟังด้วยความตื่นเต้นเหมือนทุกวันที่

อารมณ์ไม่เปลี่ยนก็ดี หวังทงก็วางใจ ค่อยๆ ครุ่นคิดครู่หนึ่ง ก็เล่าเรื่องโคลัมบัสนักเดินเรือผู้ยิ่งใหญ่ เล่าไปได้ครู่หนึ่งก็พบว่าฮ่องเต้ว่านลี่ไม่ได้ตั้งใจฟัง สายตามองไปที่ลี่เทาไม่วางตา ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่

การทะเลาะวิวาทเมื่อวาน ฮ่องเต้ว่านลี่กับหวังทงและหลี่หู่โถวสนิทสนมกันมากขึ้น ลี่เทาก็เช่นกัน สองกลุ่มจากเมืองจี้โจวและเมืองหลวงที่เดิมไม่สนิมกันก็ใกล้ชิดกันมากขึ้น ถึงกับไปรวมตัวอยู่ใกล้กัน

ไม่รู้ว่าคนมุงดูด้านนอกนั้นสลายตัวกันไปตอนไหน หวังทงย่อมไม่รู้ว่าฮ่องเต้ว่านลี่มีรับสั่งไปเมื่อตอนเช้า คนที่มาดูว่าลี่เทาวันนี้จะหาเรื่องอะไรอีกหรือไม่ พอเข้ามาก็ไม่มีทีท่าอะไร จึงได้สลายตัวกันไปตามคำสั่งก่อนหน้า เหลือเพียงสองสามคนคอยจับตาดู

หวังทงมองสำรวจไปมา พลันพบว่าไม่เพียงแต่ฮ่องเต้ว่านลี่ที่มองไปทางนั้น ทางนั้นก็มีไม่น้อยกำลังจับตามองมาทางนี้ หรือวันนี้จะเกิดเรื่องอีก หวังทงร้องครวญอยู่ในใจ

สังเกตอย่างละเอียด พบว่าไม่ใช่เช่นนั้น บรรดาเด็กๆ ทางลี่เทาไม่น้อยเหมือนว่ากำลังมองมาที่หลี่หู่โถว เมื่อวานหลี่หู่โถวเก่งกาจขนาดนั้น จะถูกเขม่นก็ไม่แปลก แต่หากสังเกตดีๆ อีกที เหมือนว่ามองมาที่ขนมที่หลี่หู่โถวกำลังกินอย่างเอร็ดอร่อยมากกว่า

“อย่างไรก็ยังคงเป็นเด็ก!”

หวังทงก็หลุดหัวเราะออกมา ในใจคิดว่าตนเองคิดมากไป

ครูฝึกเข้ามาในลานฝึกแล้ว บรรดานักเรียนก็จัดแถวตามที่เคยปฏิบัติกันเป็นปกติ จากนั้นก็วิ่ง แต่ก็ไม่รู้ว่าทำไม แม้เด็กไม่น้อยล้วนหน้าตาบวมจมูกเขียว บางคนก็มีบาดแผล แต่บรรยากาศดูกลมเกลียวกันมากกว่าเมื่อวานและเมื่อก่อนไม่น้อย เด็กพวกนี้ไม่มีความแค้นฝังลึกอะไร ต่อยดีกันกลับทำให้ทุกคนสนิทกันมากขึ้น

ทุกอย่างเหมือนปกติ ยังคงเข้าแถว ทำกิจกรรมทั่วไปจากนั้นก็วิ่ง สมรรถนะร่างกายของฮ่องเต้ว่านลี่ก็ใช่ว่าจะดีขึ้นได้ภายในวันเดียว ยังคงตามขบวนไม่ทัน ต้องให้หลี่หู่โถวเป็นเพื่อนมาถึงจุดหมายช้าเหมือนเดิม จากนั้นก็เป็นการพักช่วงสั้น เด็กนั่งจับกลุ่มกันหลายกลุ่มคุยกันไป

หวังทงและหลี่หู่โถวก็ไปที่ๆ พวกเขามักจับจองก็คือบริเวณที่วางอุปกรณ์ฝึก หลี่หู่โถวนึกถึงขนมดอกกุ้ยที่ยังกินไม่หมด ยังไม่ทันนั่งลง ฮ่องเต้ว่านลี่ก็ล้วงห่อกระดาษอาบน้ำมันออกมาสองห่อจากห่อผ้า หัวเราะกล่าวว่า

“พวกเจ้าสองคนพักกันก่อน ข้ามีธุระเล็กน้อย”

เดินไปทางบรรดาเด็กๆ ทีละก้าว หวังทงและหลี่หู่โถวงุนงงมองหน้ากัน จากนั้นก็รีบลุกขึ้น กำลังจะตามไป ฮ่องเต้ว่านลี่ก็หันกลับมาโบกมือบอกว่าไม่ให้พวกเขาตามมา

เด็กพวกนี้มีร่างกายแข็งแรงกำยำหลายคน แต่ก็มีบางคนที่อ้วน ฮ่องเต้ว่านลี่ก็เดินไปทางคนที่อ้วนใหญ่สองสามคน หวังทงกับหลี่หู่โถวมองตามอย่างร้อนใจ

บรรดาคนที่อยู่ด้านนอกและคนที่อยู่ในห้อง รวมทั้งครูฝึกในลานฝึกก็ยิ่งจับตามองด้วยความกังวล กลัวว่าจะเกิดอะไรผิดพลาดขึ้น

หวังทงกลับคิดอะไรขึ้นมาได้ หันกลับไปมองห่อผ้าแล้วก็มองไปที่ฮ่องเต้ว่านลี่ เขาพอจะเดาออกเจตนาของฮ่องเต้ว่านลี่ออกแล้ว เกิดเป็นเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน ล้วนแต่มีปัญญาล้ำทุกคนจริงๆ

ในความรู้ประวัติศาสตร์ของหวังทงที่มีจำกัด ก็พอจำได้ว่าฮ่องเต้ว่านลี่เป็นฮ่องเต้อยู่หลายสิบปี เป็นได้นานขนาดนั้น การจัดการการเมืองให้สมดุลก็ย่อมมีความพิเศษที่ไม่เหมือนผู้ใด

“พลทหารซุน เมื่อวานที่บ้านทำขนมให้ข้า ให้ข้าเอามาแบ่งให้กับทุกคนที่ลานฝึก เจ้าลองชิมไหม?”

ฮ่องเต้ว่านลี่เดินตรงไปยังหน้าพลทหารซุนท่ามกลางสายตาที่จับจ้องมาด้วยความไม่เป็นมิตร หากกล่าวว่าเป็นเด็กอ้วนตัวน้อยคนหนึ่ง พลทหารซุนนี่ก็เป็นเด็กอ้วนตัวใหญ่คนหนึ่ง

หวังทงจำได้ พลทหารซุนผู้นี้ชื่อว่า ซุนซิน ดูเหมือนจะเป็นลูกชายของหน่วยกองโจรหนึ่งที่เขตเป่าติ้ง มณฑลเหอเป่ย ตอนแรกยังมีคนคิดว่าเขาเป็นเด็กฝาก

คิดไม่ถึงว่าออกแรงหนักหน่วง ยังทำภารกิจวิ่งเสร็จได้อย่างสบาย และก็มีเหงื่อออกมาก ผู้คนให้ฉายาว่า “เจ้าเหงื่อชุ่ม” คนไม่รู้ยังคิดเป็นหัวหน้าเผ่าจากครอบครัวไหนสักแดนจากทุ่งหญ้าตอนเหนือ

การปิดล้อมเมื่อวาน พลทหารซุนผู้นี้กับคนอีกสองสามคนยืนชมความสนุกอยู่ห่างๆ เมื่อครู่ตอนที่หลี่หู่โถวชมขนมดอกกุ้ยว่าอร่อยนั้น ซุนซินก็เอาแต่จ้องมองมา ที่จ้องนั้นคือขนมดอกกุ้ยในมือหลี่หู่โถวจริงๆ

ฮ่องเต้ว่านลี่แกะห่อกระดาษออก ซุนซินรีบโบกไม้โบกมือให้เขาไปทางอื่น แต่ฮ่องเต้ว่านลี่กลับไม่เข้าใจ ยังคงยิ้มร่ากล่าวว่า

“อร่อยมากนะ ลองชิมดูจะรู้เอง?”

ซุนซินผู้นี้เห็นได้ชัดว่ามิใช่ผู้ที่จะปฏิเสธของอร่อย และเด็กหนุ่มอายุเพียงเท่านี้ก็ยังไม่ถึงวัยที่จะบังคับความอยากของตนเองได้

ขนมดอกกุ้ยเป็นขนมทอดกรอบที่ทำจากดอกกุ้ยและน้ำผึ้ง ตอนยังไม่แกะห่อออกมา ความหอมหวานก็ยังหอมเย้ายวนใจ เปิดห่อออกมากลิ่นหอมกรุ่นก็ยิ่งลอยมาแตะจมูก ขนมดอกกุ้ยนี้ปรุงอย่างประณีตพิถีพิถัน เป็นผลงานชั้นยอดของห้องเครื่อง แถมยังใส่ใจเรื่องรูปร่างอีกด้วย

ขนมดอกกุ้ยทุกชิ้นล้วนทำเป็นรูปกลีบดอกไม้ เห็นแล้วน่ารักประณีต สีกลิ่นรสครบครัน อย่าว่าแต่ซุนซินที่ไม่หยุดโบกมือเลย แม้แต่เด็กๆ ที่อยู่ข้างๆ ซุนซินก็ยังกลืนน้ำลาย

ซุนซินหยิบมาชิ้นหนึ่งท่าทางลังเล กัดไปคำหนึ่ง ปฏิกิริยาของเขาไม่ต่างกับหลี่หู่โถวนัก สองตาเปล่งประกายทันที สองสามคำก็หมด จากนั้นก็หยิบอีกชิ้น กินไปก็งึมงำไปว่า

“อร่อยมาก อร่อยกว่าของที่ร้านขนมที่ดีที่สุดในเป่าติ้งอีก!!”

เด็กที่นั่งล้อมกันอยู่ทั้งหมดสิบกว่าคน พอเห็นซุนซินกินอย่างเอร็ดอร่อยก็อยากกินมาก และตั้งแต่เด็กๆ กินอาหารที่หอเลิศรส เนื้อน้ำแดงที่จัดให้เด็กๆ ก็มักจะไม่ใส่น้ำตาลเพราะพิจาณาถึงเรื่องสุขภาพ อาหารหวานดูเหมือนจะไร้วาสนากับพวกเขา

ขนมดอกกุ้ยนี้ทั้งหอมทั้งหวาน เหมาะกับความชอบอาหารหวานของบรรดาเด็กๆ พอดี ฮ่องเต้ว่านลี่ไม่เข้าใจข้อนี้ รู้แต่ว่าขนมนี้ตนเองชอบ คิดว่าคนข้างนอกก็ต้องชอบเช่นกัน

ตอนซุนซินหยิบชิ้นที่สี่ขึ้นมา ฮ่องเต้ว่านลี่ก็หันไปยิ้มกับทุกคนกล่าวว่า

“ทุกคนมาชิมดู อร่อยมากนะ ตรงนั้นข้ายังมีอยู่อีกเยอะ!”

บรรดาเด็กๆ เดิมรู้สึกว่ามีเรื่องกันไปเมื่อวาน วันนี้จะมาคืนดีกันก็รู้สึกเสียหน้า แต่ซุนซินกินนำไปก่อนอย่างเอร็ดอร่อยแล้ว ทุกคนก็ไม่สนใจอะไรอีก

ทุกคนลุกเดินมาหยิบ คิดไม่ถึงว่าซุนซินผู้นั้นจะแย่งห่อกระดาษอาบน้ำมันจากมือฮ่องเต้ว่านลี่ไปครองไว้คนเดียวส่วนหนึ่ง บรรดาเด็กๆ ล้อมวงกันเข้ามา ไม่นาน ทุกคนก็คุยกันไปและหัวเราะไป

เด็กน้อยไม่มีความแค้นข้ามคืน ไม่รู้สึกต่อต้านอะไรกับขนมเบื้องหน้าที่ปรุงจากห้องเครื่องอย่างประณีต็หัว

ทุกครั้งตอนที่ฮ่องเต้ว่านลี่ได้พักระยะสั้น ก็จะไปหาคนที่อ้วนหน่อย ยังเชื้อเชิญให้ทุกคนไปฟังหวังทงเล่าเรื่องตรงแถวที่วางอุปกรณ์ฝึก

เรื่องที่หวังทงเล่าเป็นเรื่องที่ทุกคนต่างไม่เคยได้ยินมาก่อน ล้วนเป็นเรื่องที่ไม่เคยได้ยินมาก่อนในราชวงศ์หมิง เช่นการเดินเรื่องของโคลัมบัสค้นพบแผ่นดินใหม่ เรื่องพวกฟะรังคีหลายร้อยคนก็สามารถครอบครองแผ่นดินได้ สามารถรบชนะกองทัพหลายหมื่นคนได้ เรื่องแปลกประหลาด เรื่องที่ไม่น่าเป็นไปได้

พอถึงเวลาพักผ่อนหลังจากฝึกไปได้หนึ่งชั่วยาม เด็กๆ ที่มารวมตัวกันที่หวังทงและฮ่องเต้ว่านลี่มีถึงสี่สิบกว่าคน เกือบจะครึ่งหนึ่งของเด็กทั้งหมด

แม้แต่เด็กหนุ่มที่อยู่ข้างลี่เทาก็อดเหลือบมองมาไม่ได้ รู้สึกหวั่นไหวมาก

หวังทงเล่าเรื่องไป ใจก็คิดไป ฮ่องเต้ไม่ว่าอายุมากหรือน้อย วิธีการสร้างสมดุลแห่งอำนาจนั้นล้วนเป็นเรื่องที่เป็นเอง ไม่ต้องมีใครมาสอน เป็นความสามารถที่มีมาแต่เกิด ฮ่องเต้น้อยไม่ธรรมดา ตัวเองไม่ต้องการอาศัยความคิดและประสบการณ์จากผู้ใหญ่ มองพระองค์เด็กไปจริงๆ

เห็นสถานการณ์เป็นเช่นนี้ จิตใจว้าวุ่นกังวลตั้งแต่เช้าก็พลันมลายไป ฝึกกันไปตามปกติจนจบ ทุกคนแยกย้าย การฝึกจบลง หวังทงก็นำคนไปที่หอรุ่งเรือง เมื่อวานเขาส่งบัตรเชิญไปยังบ่อนพนันและหอคณิกาในเขตรับผิดชอบว่าวันนี้จะมีเลี้ยงพบปะกัน

แต่ทว่า มีแขกรับเชิญมาแค่สองเจ้า แต่บัตรเชิญส่งออกไปทั้งหมดสิบสามใบ…

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version