Skip to content

องครักษ์เสื้อแพร 87

ตอนที่ 87 เผชิญภัยอย่างปลอดภัย พาให้อยากเอาชนะ

พอเห็นหลี่หู่โถววิ่งจากไปกะทันหัน ฮ่องเต้ว่านลี่ก็ใจลอยครู่หนึ่ง มองเห็นเด็กหนุ่มที่ใกล้เข้ามา สีหน้าก็ยิ่งตึงเครียดดำคล้ำ

แต่ในเวลาถัดมา หลี่หู่โถวที่ถือไม้ไผ่ก็วิ่งกลับมา ย่อเข่าลงก่อนจะดีดไม้ไผ่แทงไปด้านหน้าหลายครั้ง

เด็กที่กรูมาเบียดเสียดกันนั้น ถูกไม้ท่อนนั้นแทงเข้าใส่เหมือนงูฉก ที่ถูกแทงเข้าที่อ่อนนุ่มอย่างท้องน้อย

ไม้ไผ่นั้นหุ้มผ้าเอาไว้ที่ปลาย แต่แรงโจมตีใส่ท้องน้อยและที่หน้าอก แน่นอนว่าความเจ็บนี้ทำให้คนหายใจไม่ออก อ่อนแอลงทรุดนั่งลงกับพื้นด้วยความเจ็บปวด

แทงเข้าไปสามคน พอแกว่งไม้ไผ่นั้น เด็กหนุ่มสองคนทางซ้ายและขวาก็ถูกขนาบตีไปอีก ไม้ไผ่ยาว ยกขนาบด้วยแรงไม่น้อย หน้าที่ถูกฟาดก็บวมขึ้นทันที

จะว่าไปเด็กอายุ 13-14 เป็นพวกตระกูลชั้นสูง แม้ว่าเคยฝึกมา แต่การทนรับความเจ็บก็คงไม่มากเท่าไร

เด็กสองคนที่ถูกฟาดที่แก้ม คนหนึ่งกุมหน้าแผดเสียงร้องไห้ขึ้นมา การวิวาทเช่นนี้เมื่อมีคนหนึ่งร้องไห้ กำลังใจก็ลดลง รู้ความร้ายกาจของไม้ไผ่แล้ว คนด้านหลังจะพุ่งเข้าใส่ก็ลังเล ไม้ไผ่ในมือหลี่หู่โถวสะบัดซ้ายขวากินพื้นที่ได้ไม่กว้างนัก กล่าวน้ำเสียงดุดันว่า

“คิดจะแตะต้องหวงอี้จวิน ลองถามไม้ไผ่ในมือข้าก่อน!!”

หลี่หู่โถวตัวผอมเล็ก ฮ่องเต้ว่านลี่ตัวอ้วนกว่าเขา เมื่อหลบหลังหลี่หู่โถวก็โผล่ออกมาไม่น้อย เห็นแล้วก็น่าขำ เด็กๆ พากันลังเลครู่หนึ่ง ก็มีคนตะโกนเสียงดังว่า

“มือมันมีไม้อันเดียว กลัวอะไร จับไม้มันไว้ ครูฝึกใกล้จะกลับมากันแล้ว!!”

วาจาให้กำลังใจ อีกสองคนก็วิ่งเข้ามาจับไม้ไว้ หลี่หู่โถวแม้ว่าจะอายุน้อยที่สุดในลานฝึกหู่เวย แต่เทียบความร้ายกาจกันแล้ว ก็ไม่แน่ว่าจะมีใครเทียบเขาได้ ต้องรู้ว่า หลี่หู่โถวเคยลงมือสังหารผู้อื่นด้วยตนเอง

เด็กคนที่อยู่ด้านหน้าพบว่าไม้ไผ่ที่ชี้อยู่ด้านหน้าเขากำลังจะแทงเข้ามา หากเข้าใส่ก็เกรงว่าจะถูกแทงตาบอด ก็เอี้ยวตัวหลบ ไม้ไผ่นั้นก็แทงไปที่คอของเขา ครั้งนี้ไม่เบานัก ถูกแทงจนคุกเข่าลงกับพื้นทันที

เด็กอีกคนหนึ่งหันหลังกำลังจะวิ่งหนี แต่ระยะประชิดขนาดนี้ จะหนีพ้นได้อย่างไร ข้อพับขาถูกฟาดล้มลงกองกับพื้นทันที

ฮ่องเต้ว่านลี่เห็นสถานการณ์น่าตื่นเต้นเช่นนี้ ก็ตื่นเต้นจนหน้าแดง กุมหมัดแน่น เด็กๆ ไม่กล้าก้าวเข้าใส่อีก ยืนล้อมอยู่นอกรัศมีไม้ไผ่

“พลทหารหลี่ เจ้าก็เคยฝึกไม้พลองหรือ พอดีเลย ข้าก็เคย เรามาประลองกันหน่อย!!”

เสียงลี่เทาดังอยู่นอกรัศมี เด็กๆ ก็หลีกทางให้อัตโนมัติ ลี่เทาหยิบไม้พลองยาวเดินเข้ามา พอเข้ามาถึงก็ตั้งท่า ท่าทางได้มาตรฐาน เห็นท่าทางแล้วก็รู้ว่าลี่เทาเคยฝึกฝนมาไม่น้อย แค่รูปร่างและแรงของเขาก็มากกว่าหลี่หู่โถวแล้ว ยิ่งไม่ต้องบอกว่าเคยฝึกมา

“หวงอี้จวิน อีกเดี๋ยวเจ้าก็หยิบไม้พลองมา ตีล้มได้คนหนึ่งก็ตีไป อย่าร้องขอให้ใครช่วย มันเสียหน้ากลุ่มเราสามคน!!”

การวิวาทของเด็กหนุ่มก็มีความไร้เดียงสาอยู่ การตะโกนเรียกผู้ใหญ่ให้ช่วยมันน่าขายหน้า หวังทงต่อสู้รุนแรงอยู่ตรงนั้นไม่ร้องตะโกนอะไร ก็เพราะคิดถึงเรื่องนี้ เด็กพวกนี้ไม่รู้ความ หากทำให้ฮ่องเต้ว่านลี่รู้สึกโกรธที่เสียหน้า เกรงว่าคงต้องหัวหลุดจากบ่าเป็นแน่

ฮ่องเต้ว่านลี่ส่ายหน้าอย่างแรง พูดเบาๆ ว่า

“ไม่ขายหน้า เรา…ข้าไม่ร้องตะโกนให้คนช่วยแน่!!!”

ยังดีที่เรียกตัวเองไม่ชัด หลี่หู่โถวได้ยินไม่ถนัด จึงยังไม่ได้เปิดเผยฐานะ ลี่เทาก้าวเข้ามาหนึ่งก้าวจะลงมือ หลี่หู่โถวมีความคิดไม่ซื่อ คนผู้นี้เขาสู้ไม่ได้

สถานการณ์ตอนนี้ไม่เหมือนกัน จากการรุมล้อมเมื่อครู่กลายเป็นสู้กันสองคนด้วยไม้ไผ่แบบตัวต่อตัว บรรดาเด็กหนุ่มตั้งวงล้อมด้านสามวง ด้านนอกสามวง คนที่มีใจอยากวิวาทมีไม่มาก คนที่มีใจอย่างชมเรื่องสนุกกลับมากกว่า เริ่มมีเสียงเชียร์ดังขึ้นแล้ว

กลับไม่มีใครสังเกตว่าการเคลื่อนไหวของกลุ่มต่อสู้กับหวังทงทางนั้นเงียบลงแล้ว ลี่เทาขยับเอียงตัวราวกับจะเคลื่อนย้ายตำแหน่ง ไม้ไผ่ของหลี่หู่โถวก็ย้ายทิศทางตามไปด้วย คิดไม่ถึงว่าทิศทางของลี่เทากลับไม่เปลี่ยน ยังคงโจมตีตรงกลาง หลี่หู่โถวตกอยู่ในอันตรายแล้ว…

เสียงเชียร์ของบรรดาเด็กหนุ่มเพิ่งจะเริ่มดังขึ้น ด้านหลังลี่เทาก็มีคนกระโจนออกมา ลี่เทาไม่ทันตั้งตัว จึงถูกคนผู้นั้นรวบเอวเอาไว้แน่น

ไม่ว่ารูปร่างหรือแรงกำลัง แม้แต่ลี่เทาที่นับว่าโดดเด่นในกลุ่มเด็กเหล่านี้ก็ห่างไกลจากผู้ที่กำลังรวบเขาเอาไว้ เมื่อถูกรวบเอาไว้ก็หมุนคว่ำกลางอากาศก่อนจะร่วงลงกระแทกพื้นอย่างแรง

ครั้งนี้ไม่เบานัก ล้มลงแผ่หรานิ่งไปนาน พอหวังทงล้มคนลงกับพื้นแล้ว ก็เก็บไม้ไผ่ของลี่เทามายืนกับหลี่หู่โถวอยู่ด้านหน้าของฮ่องเต้ว่านลี่

ฮ่องเต้ว่านลี่ก็เริ่มสงบลงหลังจากตื่นตกใจมาก มีหวังทงและหลี่หู่โถวอยู่ข้างกาย ทำให้ฮ่องเต้ว่านลี่รู้สึกปลอดภัย บรรดาเด็กที่รุมล้อมก็ลังเลไม่กล้าก้าวเข้ามา กลับถูกลี่เทาที่คลานขึ้นจากพื้นตะโกนใส่เสียงดังว่า

“ตรงนั้นมีไม้ไผ่ รีบไปหยิบมา!!”

ทุกคนเพิ่งได้สติ หากไม่ทันได้ขยับ ก็ได้ยินเด็กๆ วงรอบนอกส่งสัญญาณดังมา และยังมีเสียงตะโกนด่าของครูฝึกดังมาพร้อมกัน

“ไอ้พวกลูกหมาช่างไม่รู้จักตาย”

ครูฝึกทั้งหกคนในที่สุดก็ปรากฏตัวขึ้น นอกจากหลี่เหวินหย่วนแล้ว ครูฝึกอีกห้าคนล้วนหน้าตาซีดเผือด สะบัดแส้กับไม้พลองขนาบตี กลับเป็นหลี่เหวินหย่วนที่ทนดูไม่ไหว กล่าวเตือนออกไปไม่หยุดว่า

“ก็แค่เด็กทะเลาะกัน ไม่ต้องโมโหขนาดนี้”

พอครูฝึกมา ทุกอย่างก็สงบลง เจ้าใหญ่ออกคำสั่งให้ทุกคนเข้าแถวให้เรียบร้อย จังหวะที่กำลังวุ่นวายอยู่นั้น หวังทงก็รีบเข้ามากระซิบว่า

“ฮ่องเต้รับสั่ง ทุกอย่างทำไปตามธรรมเนียมปฏิบัติ อย่าให้คนภายนอกเข้ามา ผู้ใดเข้ามาก็ตัดหัวผู้นั้น!!”

เจ้าใหญ่ได้ยินดังนี้ก็สั่นไปทั้งตัว มองไปทางฮ่องเต้ว่านลี่ที่ยืนอยู่กับหลี่หู่โถว รีบหันหน้าวิ่งออกไปด้านนอกทันที บรรดาเด็กๆ อย่างมากก็แค่บาดแผลภายนอก ในตอนนี้ถูกครูฝึกด่า ทุกคนก็พากันหวาดกลัว ไม่ค่อยมีคนจะทันสังเกตว่าเกิดอะไรขึ้นนอกลานฝึก

ตอนเจ้าใหญ่วิ่งออกไป ด้านนอกของลานฝึกทุกด้านถูกทหารกองใหญ่ล้อมไว้หมดแล้ว นายกองร้อยกองอาญา เซวียจานเยี่ยกับสองนายกองจากกองกำลังมังกรรักษาพระองค์ล้วนยืนอยู่นอกประตูด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

ครูฝึกเจ้าใหญ่นำรับสั่งออกไปถ่ายทอดเสร็จ นายทหารสองสามนายก็ครุ่นคิดครู่หนึ่ง จากนั้นก็ถอนหายใจกัน รีบตะโกนสั่งให้ทุกคนกลับเข้าที่

“สามารถฝึกที่ลานฝึกได้อย่างนี้ พวกเจ้าก็ควรจะรักใคร่สามัคคีกัน กฎระเบียบก็บอกไว้ชัดแล้วว่าห้ามทะเลาะวิวาทกัน พวกเจ้าฟังไม่รู้เรื่องหรือไง?”

คนที่ตะโกนดังก็คือหลี่เหวินหย่วน ครูฝึกคนอื่นๆ ล้วนไม่รู้จะกล่าวอะไรดี กลับเป็นหลี่เหวินหย่วนที่ไม่รู้เรื่องอะไรสามารถตัดสินอย่างเป็นกลางได้

พอสั่งสอนจบ หลี่เหวินหย่วนก็เรียกลี่เทาและเด็กอีกสิบกว่าคน ให้วิ่งรอบสนามสิบรอบ จากนั้นก็ตะโกนเรียกหวังทง หลี่หู่โถวและฮ่องเต้ว่านลี่สามคนมากล่าวว่า

“ไม่รู้จักรายงานครูฝึก กลับร่วมวงวิวาทไปด้วย ทุกคนสองรอบ!!”

ตามรอบการวิ่งแล้ว ความผิดตกอยู่ที่ใครมากกว่าก็เห็นได้ชัด…

ตอนค่ำเมื่อกลับถึงบ้าน หวังทงก็ไม่ได้พูดอะไร เพียงแต่ให้พ่อครัวที่หอเลิศรสตุ๋นเนื้อแพะหม้อหนึ่งให้หลี่หู่โถว และยังทำขนมเปี๊ยะต้นหอมให้อีกหลายแผ่น นี่เป็นของที่หลี่หู่โถวชอบกินที่สุด

ตอนต้นฤดูใบไม้ผลิเช่นนี้ ราชสำนักทั้งฝ่ายในและฝ่ายนอกก็จะต้องจ่ายเบี้ยหวัดรางวัล พิจารณาโยกย้ายเลื่อนตำแหน่ง เป็นเวลาที่ยุ่งที่สุด แต่จางเฉิงรองหัวหน้าขันทีสำนักส่วนพระองค์พอได้ยินข่าวนี้ งานการอะไรก็ไม่สนใจอีกแล้ว รีบวิ่งออกไปทันที จะไปลอบดูท่าทีและสีพระพักตร์ฮ่องเต้ว่านลี่ว่ามีปฏิกิริยาอย่างไร

พอเข้ามาถึงเขตวังหลวง ก็มีขันทีน้อยแบกเกี้ยวตรงเข้ามาเตรียมจะพาฮ่องเต้ว่านลี่ไป แต่กลับถูกฮ่องเต้ว่านลี่โบกมือใส่อย่างไม่สนใจ

ถึงตอนนี้จางเฉิงจึงได้พบว่าฮ่องเต้ว่านลี่เหมือนไม่ได้กริ้วอะไร เหมือนกับทรงตื่นเต้นมาก ก็ยิ่งงง เดินไปไม่กี่ก้าว ฮ่องเต้ว่านลี่อยู่ๆ ก็ตรัสขึ้นว่า

“จางปั้นปั้น เรื่องลานฝึก สำนักองครักษ์เสื้อแพรและสำนักบูรพาอย่าได้มาจัดการอะไร เราจะสยบคนพวกนี้เอง…”

“ฝ่าบาท…”

“ไปทูลรายงานเสด็จแม่ได้ เฝิงต้าปั้นกับท่านอาจารย์จางก็รู้ได้ แต่บอกพวกท่านว่า ไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น ทุกอย่างเราจะจัดการเอง”

จางเฉิงพบว่าตนเองยิ่งต้องระมัดระวังมากขึ้น เพราะฮ่องเต้ว่านลี่ในตอนนี้เหมือนเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น ไม่ใช่เด็กน้อยที่เขามองทะลุปรุโปร่งผู้นั้นอีกแล้ว

“จากนี้ไปเราต้องเผชิญกับขุนนางทั้งหลายและเหล่าประชาราษฎร์ หากแค่เด็กพวกนี้ก็รับมือไม่ได้ เช่นนั้นเราก็ไม่อยากเป็นฮ่องเต้แล้ว”

เขาไม่ทันคิดว่าเขาเองก็เป็นเด็กอายุ 13 ตอนฮ่องเต้ว่านลี่ตรัสเช่นนี้ ก็รู้สึกได้ถึงความมั่นพระทัยและความทรนง อย่างไรก็เป็นโอรสสวรรค์ หากดำรัสต่อมาทำเอาจางเฉิงเกือบสะดุดเท้าตัวเองล้ม ฮ่องเต้ว่านลี่ลูบพระเศียรไปมาก่อนจะรับสั่งว่า

“จางปั้นปั้น ให้ห้องเครื่องทำขนมดอกกุ้ยให้มากหน่อย ยังมีพวกขนมเปี๊ยะกรอบน้ำผึ้งนั่นอีก พรุ่งนี้เตรียมใส่กล่องให้เรียบร้อย เราจะเอาไปกินที่ลานฝึก”

จางเฉิงรีบน้อมรับรับสั่ง ในใจยิ่งคิดก็ยิ่งไม่เข้าใจว่าฮ่องเต้ว่านลี่คิดจะทำอะไร หรือเด็กน้อยคิดจะกินของหวาน อุตสาห์คิดว่าโตแล้ว

ในวังนอกวัง คนที่ควรรู้เรื่องนี้ก็รู้กันหมดแล้ว แต่ไทเฮาฉือเซิ่งทรงรู้สึกตื้นตันกับปฏิกิริยาของฮ่องเต้ว่านลี่ ยังทรงซับน้ำตาพลางเอ่ยถึงฮ่องเต้หลงชิ่งอีกด้วย

ความตื้นตันของไทเฮากับวาจาองอาจของฮ่องเต้น้อย การแสดงออกเช่นนี้ทำให้บรรดาคนในวังนอกวังต่างก็วางใจลง ข่าวนี้โจวอี้ถึงกับออกไปบอกกล่าวแก่หวังทงด้วยตนเองเลยทีเดียว หวังทงรู้สึกวางใจลง แต่บรรดาครูฝึกคนอื่นๆ ยังคงหวาดกลัวกันอยู่ จะต้องไปปลอบใจสักหน่อย

ในห้องโถงบ้านหวังทง สองคงนั่งอยู่ยังไม่ทันคุยอะไรกัน ก็มีองครักษ์เสื้อแพรภายใต้การกำกับของซุนต้าไห่และจางซื่อเฉียงเข้ามารายงานทีละคน ราวเกือบครึ่งชั่วยามผ่านไป จึงได้เงียบลง หวังทงก็ไม่ปิดบังโจวอี้ หยิบดินสอถ่านออกมาจดตัวเลขลงบนสมุด

พอจดเสร็จ ก็สั่งจางซื่อเฉียงว่า

“ส่งเทียบเชิญให้เจ้าของบ่อนและหอคณิกาทุกคนในเขตกองร้อยเรา พรุ่งนี้ข้าจะจัดเลี้ยงที่หอรุ่งเรือง เชิญทุกคนมาเป็นเกียรติ”

จางซื่อเฉียงพยักหน้ารับคำสั่งออกไปจัดการ โจวอี้กลับยังงงอยู่

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version