ตอนที่ 65 สิ่งที่ต้องเผชิญเมื่อสืบคดี
ร้านค้าส่วนใหญ่ในเมืองหลวงสองสามวันสุดท้ายในเดือนสิบสองและก่อนวันที่ 15 เดือนหนึ่งก็ล้วนไม่เปิดร้าน แม้แต่หอคณิกาก็เช่นกัน
แต่บ่อนการพนันนั้นต่างออกไป กิจการพวกเขากลับดีในช่วงปีใหม่ ลำบากแค่ไหนก็ต้องฉลองปีใหม่ ดังนั้นการทวงหนี้ก็จะถึงแค่วันที่ 30 เดือนสิบสอง หลังจากแปะโคลงกลอนมงคลปีใหม่แล้ว ก็จะไม่เร่งรัดหนี้สินต่อ ตามธรรมเนียมจะมาทวงหลังเดือนหนึ่ง
ยามนี้ทุกบ้านต่างก็มีเงินในพกในห่อเหลืออยู่ และมีเวลาว่าง กิจการบ่อนการพนันในช่วงเทศกาลตรุษจีน นับว่าเป็นช่วงเวลาที่รุ่งเรืองคึกคักช่วงหนึ่ง
หวังทงพาคนสิบกว่าคน มุ่งตรงไปยังหอรวมคุณธรรม สิ่งที่ทำให้หวังทงแปลกใจก็คือ หลี่หู่โถวตามมาด้วย หลี่เหวิน หย่วนกลับไม่รู้สึกอะไร กล่าวกับทุกคนว่า
“ให้เจ้าเด็กนี่ได้เห็นอะไรบ้างก็ดี สู้ไม่ได้ก็สามารถหนีได้ ไม่ต้องห่วงอะไร!”
ทำเอาหวังทงพูดไม่ออก ครอบครัวฝึกยุทธ์ต่างจากทั่วไปจริงๆ บรรดาผู้มีสถานะองครักษ์เสื้อแพรต่างก็พกดาบปักวสันต์ หากในมือยังถือไม้พลองด้ามยาวไปกันด้วย อย่างไรก็เป็นการสืบคดีไม่ใช่การต่อสู้ถึงชีวิต หวังซื่อกับหลี่กุ้ยก็มีดาบเหน็บเอวไว้ แอบๆ ซ่อนๆ เดินตามอยู่ในกลุ่ม
ขบวนเดินไปบนท้องถนน ดึงดูดสายตาผู้คนไม่น้อย ทั้งองครักษ์เสื้อแพร ทั้งเจ้าหน้าที่ศาล คนปกติก็ไม่กล้าตามมาดู พอเห็นแล้วก็รีบหลบไป
หอรวมคุณธรรมอยู่ทางใต้สุดของถนนทักษิณ เดินไปบนถนนแล้วต้องเลี้ยวหนึ่งครั้ง ว่ากันว่าเดิมเป็นคลังสินค้าของร้านกระเบื้อง การค้าล้มไปถูกเหอจินอิ๋นซื้อมาเปิดบ่อนพนัน
แม้ว่ายังห่างอีกหลายสิบก้าว แต่ป้ายหอรวมคุณธรรมก็เห็นได้อย่างชัดเจน ซุนต้าไห่สบถเสียงดังขึ้น
“แม่เจ้าโว้ย ภาพนี้ถนนหนิวหลันเราไม่เคยเห็น มีแต่สถานบันเทิงของบรรดาชนชั้นสูงในเขตปัจจิมและเขตอุดรเท่านั้นถึงเทียบได้”
หม่าซานเปียวก็จ้องมองอยู่ กล่าวตะกุกตะกักขึ้นว่า
“ข้าก็อยากลองเล่นสักตามาตลอด เสียดายไม่มีเงิน ถุย วันนี้ได้เห็นเป็นบุญตาแล้ว”
“ใครเอาเบี้ยหวัด เอาเงินพิเศษมาเล่นพนันที่นี่ ข้าจะตีให้ขาหัก!”
หวังทงทนฟังต่อไม่ได้ ดุเสียงเย็นเยียบ เขาอุ้มเจ้าจินเลี่ยงที่หวาดกลัวไว้ในอ้อมกอด สั่งสอนลูกน้องสองคนเสร็จ ก็หันมาพูดกับหลี่หู่โถวที่อยู่ข้างๆ ว่า
“หู่โถว อีกเดี๋ยวตอนลงมือ เจ้าต้องคอยดูเสี่ยวเลี่ยงให้ดี”
หลี่หู่โถวตื่นเต้นจนใบหน้าเป็นสีแดงเข้ม พยักหน้าหนักแน่น ขณะพูดอยู่ ประตูหอรวมคุณธรรมก็เปิดออก มีชายสวมเสื้อกั๊กสีดำ 20 กว่าคน หยิบกระบองเหล็กกรูออกมา
หลี่เหวินหย่วนไม่พูดอะไรเดินขึ้นหน้าไปสองสามก้าว ซุนต้าไห่จ้องมองกำราบไปทันที ตะโกนด่าเสียงดังว่า
“มารดาเจ้าสิ เห็นพวกเรามาแล้วยังไม่กลัว กลับคิดลงมือกันอีก ยังมีกฎหมายอยู่หรือไม่!!”
พวกหวังทงสวมชุดมัจฉาเวหา การแต่งกายแบบองครักษ์เสื้อแพรเต็มยศ ชายท่าทางดุร้ายยี่สิบกว่าคนนั้นกรูเข้ามาแล้วก็อึ้งไป คนที่วิ่งมายืนหน้าสุดยกมือสองข้างขึ้นหยุดคนข้างหลังเอาไว้ หัวหน้าผู้นี้หันไปพูดกับคนผู้หนึ่ง คนผู้นั้นรีบวิ่งกลับเข้าไปในหอรวมคุณธรรม
หัวหน้าผู้นี้เปลี่ยนเป็นสีหน้ายิ้มแย้มก้าวเข้ามา เขาจำหวังทงได้ จึงเดินมาทักทายก่อนเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า
“นี่ใต้เท้าหวังไม่ใช่หรือ ก่อนอื่นขอคารวะปีใหม่ เหตุใดปีใหม่เช่นนี้ถึงนำพาพี่น้องมาเล่นที่นี่ ถือเป็นแขกผู้มีเกียรติจริงๆ !”
หวังทงและพวกถือไม้พลองท่าทางเอาเรื่อง อย่างไรก็คงไม่ได้มาเล่น ถามเช่นนี้ก็เพื่อถ่วงเวลาเท่านั้น หวังทงเอ่ยเสียงเรียบเย็นว่า
“เปิดทาง ข้ามาทำคดี”
“ใต้เท้าหวัง หอรวมคุณธรรมทำตามกฎหมาย จะมีคดีอะไรให้สืบ ใต้เท้าเข้าใจผิดหรือไม่ขอรับ โอ้ ท่านว่าความจำข้าน้อยแย่หรือไม่ ก่อนปีใหม่ได้เตรียมของขวัญไว้มอบให้ใต้เท้า แต่กลับลืมสนิท รอสักครู่ข้าน้อยจะให้คนส่งไป เพิ่มเป็นสองเท่าเป็นอย่างไร?”
หน้าตายิ้มแย้ม พูดจากนอบน้อมยอบกาย แต่กลับไม่มีทีท่ายอมอ่อนให้แม้แต่น้อย ชายสวมชุดดำวิ่งกรูออกมาสิบกว่าคน ปิดถนนทั้งสาย
คนเบื้องหน้าต่างระวังกันอยู่ สองฝ่ายอยู่ในสถานการณ์เผชิญหน้ากัน หวังทงสีหน้าสงบลง เขาส่งเจ้าจินเลี่ยงให้หม่าซานเปียว สำทับเสียงเย็นเยียบว่า
“ไสหัวไปสืบคดี!”
“ใต้เท้า คำพูดท่านข้าน้อยฟังไม่เข้าใจ หอรวมคุณธรรมมีคดีอะไรให้สืบ…”
องครักษ์เสื้อแพรและมือปราบเบื้องหน้า คนปกติเห็นเจ้าหน้าที่มากมายเช่นนี้ เกรงว่าคงจะกลัวจนปัสสาวะราด แต่บรรดาคนหอรวมคุณธรรมนี้กลับปิดถนนไม่ยอมขยับ โอหังอย่างที่สุด
ไว้หน้าแล้วแต่กลับไม่รับ หวังทงก็ไม่เกรงใจแล้ว เจ้าหน้าที่กำลังปฏิบัติงานพูดกับเจ้า เจ้ายังกล้าต่อปากต่อคำ นั่นเป็นที่เจ้าหาเรื่องเอง
ระยะที่ห่างนั้นใกล้กัน หวังทงจึงเตะเท้าออกไปตรงเป้าคนผู้นั้น แต่หัวหน้าผู้นี้ก็ทนพอตัว คำพูดหยุดไป ใบหน้าเขียวคล้ำแต่ยังไม่ล้ม หากในมือหวังทงยังมีกระบองสั้น จึงได้ตีลงไปบนหัวเขาด้วย ฟาดไปอย่างแรง ทำให้หัวหน้าผู้นั้นทนไม่ไหวอีกต่อไป ถูกตีจนล้มลงไปกองกับพื้น
การลงมืออย่างหนักในสองครานี้ ทำให้คนผู้นั้นล้มฟุบลงไปกับพื้น และสลบไปทันที ชายชุดดำที่เบียดเสียดกันอยู่ด้านหลังพอเห็นเช่นนี้ ก็แตกตื่นกัน ไม่สนใจอะไรอีกก็พากันกรูกันเข้าใส่ทันที
ไม่มีใครสังเกตเห็นพลองยาวในมือหลี่เหวินหย่วนที่วางในแนวราบ คนทางนั้นที่เพิ่งจะกรูเจ้าใส่ พอได้เห็นพลองยาวคล้ายงูแลบลิ้นไปด้านหน้า ถอยไปหลัง และก็ยังแทงออกไปใหม่อีก
ทุกครั้งที่พลองพุ่งออกไป จะมีคนโดนแทงที่ท้องและขา หากกระบองไม้ไม่ใช่ของมีคม ที่ๆ แทงไปก็ไม่ใช่จุดสำคัญ แต่กลับเจ็บปวดอย่างมาก และหยุดการเคลื่อนไหวเอาไว้ได้ทันที
คนพวกนั้นพุ่งเข้ามาได้แค่สองก้าวก็ล้มไปแล้วสี่ กองลงกับพื้นร้องโอดโอยกลิ้งไปมา ขบวนที่เพิ่งจะพุ่งออกมากลับหยุดกึกทันที ใครจะอยากเป็นรายต่อไปกัน
อย่าว่าแต่พวกนี้เลย แม้แต่พวกหวังทงเองก็ยังตกใจและเลื่อมใสหลี่เหวินหย่วน หวังทงเข้าใจแล้วว่าเมื่อครู่ที่หลี่เหวิน
หย่วนใช้คือวิชาพลอง ในการรบเป็นวิชาฆ่าคนที่ใช้ได้ดีที่สุด
ปลายไม้พลองยาวของหลี่เหวินหย่วนขยับเคลื่อนไหว เขาจ้องมองชายชุดดำเบื้องหน้าด้วยสายตาเยียบเย็น ไอสังหารรุนแรง ซุนต้าไห่อดไม่ได้ร้องตะโกนไปว่า
“พี่หลี่ ฝีมือยอดเยี่ยม!!”
“ปีนั้นที่สังหารโจรสลัดที่ฮกเกี้ยนและเจ้อเจียง ความสามารถมากกว่าตอนนี้สิบเท่า ตอนนี้ขาก้าวไม่ค่อยสะดวก ไม่อาจเรียกว่ายอดเยี่ยมได้!”
หวังซื่อกับหลี่กุ้ยสองคนอีกทางหนึ่งหันหน้าวิ่งหนีไปทันที ไปได้ไม่กี่ก้าว ก็เห็นสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป ความกล้ากลับคืนมาอีกครั้งทันที หันมากล่าวเสียงดังคุ้นหูว่า
“เจ้าบัดซบ หรือพวกเจ้าคิดจะฆ่าเจ้าหน้าที่ก่อการร้ายกัน!!”
เมื่อยัดความผิดนี้ให้ บรรดาชายชุดดำก็อ่อนลงสามส่วน ในตอนนั้นเอง ก็มีคนมาทางหลังเขากล่าวเสียงดังนิ่งเรียบว่า
“ใต้เท้าหวัง เลื่อนเป็นนายกองธงใหญ่ อารมณ์เปลี่ยนไปขนาดนี้เชียว ระวังจะเสียเปรียบเอานะ!”