ตอนที่ 189 มีใจคิดดูแล หอฉินก่วนเกิดเรื่องใหญ่
หวังทงจัดการการงานเสร็จ วันรุ่งขึ้นก็ยังไม่เริ่มออกเดินทาง ก็มีหัวหน้ากองกรมทหารหน้าตาเย็นชากับนายกองร้อยโหวแห่งกองเอกสาร สำนักองครักษ์เสื้อแพรมาเร่งให้หวังทงรีบออกเดินทางไปรับตำแหน่ง
ที่กรมทหารเกี่ยวข้องกับสำนักองครักษ์เสื้อแพรก็คือการออกหนังสือแต่งตั้ง ไม่มีผลประโยชน์อะไรร่วมกัน หัวหน้ากองกรมทหารดูแล้วก็มาเร่ง นายกองร้อยโหวจากกองเอกสารสำนักองครักษ์เสื้อแพรก็เคยไปมาหาสู่กับหวังทงหลายครั้ง เขาเข้าใจในเรื่องนี้อย่างดี เมื่อก่อนยังแอบคิดว่าหวังทงครั้งนี้แย่แน่แล้ว คณะเสนาบดีใหญ่รวมตัวกันเป็นคลื่นใหญ่เช่นนั้นรุมนายกองร้อยตัวเล็กๆ คนเดียว นายกองร้อยนั่นมิใช่ว่าจะต้องตายโดยไร้ที่ฝังหรือ
คิดไม่ถึงว่าผลจะเป็นเช่นนี้ หวังทงแม้ว่าถูกไล่ออกจากเมืองหลวง แต่กลับถูกส่งไปเป็นนายกองพันประจำสามกองกำลังพิทักษ์ประจำเมืองเทียนจิน คนอื่นไม่รู้ แต่นายกองร้อยโหวผู้นี้รู้ ในสำนักองครักษ์เสื้อแพรกับชนชั้นสูงศักดิ์หลายตระกูลต่างก็พากันคิดกันหัวแทบแตกเพื่อตำแหน่งนี้ ปรากฏว่าถูกหวังทงเอาไปครองเสียได้ เบื้องหลังคนผู้นี้ไม่ว่าผู้ใดลองคิดดูก็คงรู้สึกหนาวในใจเป็นแน่
หัวหน้ากองนั่นเอาแต่เร่ง นายกองร้อยโหวกลับยิ้มแย้มกล่าวว่า
“ใต้เท้าหวังออกจากเมืองหลวงครั้งนี้มีอะไรลำบากหรือไม่ รถขนย้ายหากไม่พอ เงินทองหากไม่พอ ในกรมเรายังมีเงินเพิ่มให้นิดหน่อย อย่างไรก็คงไม่ให้คนกันเองต้องลำบาก”
*****
“ข้าน้อยเซวียจานเยี่ย คารวะจางกงกง”
จางเฉิงรองหัวหน้าสำนักส่วนพระองค์ต่อหน้าหัวหน้าใหญ่น้อยในสำนักบูรพา แม้ว่าจะไม่มีอำนาจเท่ากับเฝิงเป่า แต่ก็มีบารมีอยู่มาก
อันดับหนึ่งสำนักส่วนพระองค์ก็คือหัวหน้าสำนัก เป็นหัวหน้าใหญ่ของกรมงานฝ่ายใน อันดับสองก็คือหัวหน้าสำนักบูรพา เรียกขานว่า ฉั่งจู่ หรือ ฉั่งกง ตามธรรมเนียมเดิมหัวหน้าสำนักส่วนพระองค์กับหัวหน้าสำนักบูรพามิใช่คนเดียวกัน เฝิงเป่าควบสองตำแหน่งนี้ ย่อมกุมอำนาจใหญ่ในมือ นอกจากนี้ยังกุมอำนาจสำนักจารีตและสำนักเอกสาร
ตามธรรมเนียมแล้วขันทีหัวหน้าสำนักส่วนพระองค์หากจะดูแลสำนักจารีตและสำนักเอกสาร ก็ต้องสละตำแหน่งเดิม แต่เฝิงเป่ากลับทำลายกฎเกณฑ์เดิมลง
อำนาจใหญ่เทียมภูผา แต่กิจการงานก็มากมายกองเท่าภูผาเช่นกัน แม้ว่าเฝิงเป่าอยากจะคุมไว้ทั้งหมดด้วยตัวเอง แต่ย่อมทำไม่ไหว ผลก็คือขณะที่เขากุมอำนาจ ภารกิจของสำนักบูรพากลับเป็นจางเฉิงช่วยดูแล
“นายกองร้อยเซวีย เราคนกันเอง ไม่ต้องเกรงใจเช่นนี้ ลุกขึ้นเถิด!”
นายกองร้อยสำนักบูรพาเซวียจานเยี่ยคำนับอีกครั้ง ก่อนจะลุกขึ้น จางเฉิงยิ้มกล่าวว่า
“คิดถึงในปีนั้นที่จวนอ๋องอวี้ เจ้ายังเป็นเด็กหนุ่มไม่ประสีประสา ตอนนี้เก่งกล้าสามารถแล้ว”
“หากมิใช่กงกงสนับสนุน ปีเจียจิ้งที่ 44 ข้าน้อยคงถูกตัดหัวไปแล้ว จะมีวันนี้ได้อย่างไร”
สองฝ่ายกล่าวกันด้วยความสุภาพยิ่ง จางเฉิงกล่าวเรื่องสำนักรักษาความสงบออกมาอย่างไม่ชัดเจนนัก แม้ว่าเป็นคนสุขุมอย่างเซวียจานเยี่ย ก็ยังอดตื่นเต้นไม่ได้
“เจ้าเป็นคนสุขุม และยังมีสายสัมพันธ์ใกล้ชิดกับข้า สัมพันธ์กับหวังทงนั่นก็ไม่เลว งานสำนักรักษาความสงบในส่วนของสำนักบูรพาก็จะให้เจ้าเป็นหัวหน้าละกัน แต่ราชโองการแต่งตั้งคงต้องรอหลังปีใหม่ เจ้าไปเตรียมตัวก่อน ต้องการใช้งานผู้ใดก็คิดมาให้เรียบร้อย”
เซวียจานเยี่ยประสานมือคำนับ รีบรับคำ ตอนเงยหน้าขึ้นมาก็ถามอย่างสงสัยว่า
“จางกงกง นายกองพันเฝิงทางนั้น”
“ราชโองการมาเมื่อไร เขาย่อมรู้เอง เฝิงจิ่นของเรามีแต่เฝิงกงกงในสายตา อย่าได้รบกวนเขา มีเรื่องหนึ่งที่ต้องบอกเจ้าให้กระจ่าง เรื่องราวทุกสิ่งอย่างนี้เป็นเพราะหวังทงกราบทูล ฮ่องเต้ทรงเห็นด้วย หวังทงผู้นี้เจ้าชั่งใจดูก็เข้าใจใช่ไหม?”
เฝิงจิ่นว่ากันว่าเป็นหลานของเฝิงเป่า เป็นนายกองพันประจำสำนักบูรพา เป็นผู้ภักดีต่อเฝิงเป่าอย่างสูงสุด แต่ไรมาไม่เคยไว้น้ำใจกับขันทีคนใด ดังนั้นจางเฉิงจึงได้กล่าวเช่นนี้
“ก่อนหน้านี้ทุกคนวิจารณ์กันว่าหวังทงออกจากเมืองหลวงไป สองสามปีก็อาจขึ้นเป็นผู้ช่วยผู้บัญชาการได้ จากนั้นจะเป็นอย่างไรต่อไปก็ขึ้นกับว่าฮ่องเต้ยังทรงนึกถึงหรือไม่แล้ว หากตามที่กงกงว่ามา อนาคตหวังทงคงไม่หยุดแค่ตรงนี้แล้ว จะไปถึงระดับไหนก็ยากจะคาดเดาได้”
“ข้าก็คิดเช่นนี้ หวังทงครึ่งปีมานี้ลงมือลงแรงสร้างกิจการขึ้นมาไม่น้อยในเมืองหลวง เราต้องดูแลแทนเขาให้ดี หากมีวันได้กลับมา ก็จะเป็นน้ำใจที่แน่นแฟ้นต่อกัน”
ได้ยินจางเฉิงกล่าวเช่นนี้ เซวียจานเยี่ยที่เป็นคนคิดการณ์ฉับไวจะไม่รู้ได้อย่างไร จึงรีบประสานมือกล่าวว่า
“ขอบคุณจางกงกงที่เตือนสติ วันนี้ข้าน้อยก็นำคนไปร้านค้าที่แขวนป้ายสงบสุขตรวจตราสักรอบ ไปทักทายร้านค้าแต่ละแห่ง จะได้ป้องกันคนฉวยโอกาสหาเรื่อง”
*******
ก่อนวันที่ 15 เดือนสิบสอง ร้านค้าต่างๆ ก็ใกล้จะปิดร้านกัน เพื่อให้คนงานได้กลับไปฉลองตรุษจีนที่บ้านเกิดกัน วันที่ 25 เดือนสิบสองวันนั้นแม้แต่ร้านค้าที่เป็นคนในพื้นที่ก็ปิดเช่นกัน
แต่บ่อนการพนันและหอคณิกานั้นไม่เหมือนกัน บ่อนการพนันไม่หยุดปีใหม่ ช่วงปีใหม่เป็นช่วงที่นักพนันพอมีเงินมีทองในมือกันบ้าง หอคณิกาก่อนวันที่ 10 เดือนสิบสองก็จะปิดร้าน แม้ว่ามีพวกการค้าเล็กๆ จะไม่ทำตามธรรมเนียม แต่การค้าใหญ่ๆ ก็ล้วนทำเช่นนี้
ว่ากันว่ากลัวพวกพ่อค้าจากนอกพื้นที่จะอาลัยอาวรณ์จนไม่ยอมกลับไปฉลองปีใหม่ เกรงว่าจะมีเรื่องยุ่งยากตามมา
และหากเปิดกิจการดึกไปในช่วงเวลาปีใหม่เช่นนี้ ความอิจฉาริษยาหนึ่งส่วนในยามปกติอาจขยายเป็นสิบส่วน จะมีผู้มาหาเรื่องถึงที่ได้ วันหน้าการค้าจะทำอย่างไร หญิงสาวในหอคณิกาชั้นสูงล้วนอาศัยรูปลักษณ์สวยงามในการเรียกแขก ไม่ใช่ความสามารถบนเตียง ดังนั้นก็ต้องการเวลาพักผ่อนดูแลร่างกาย
วันที่ 5 เดือนสิบสอง คนไม่น้อยก็มารอกันอยู่ในร้านน้ำชารอบหอฉินก่วน ปีนี้หอฉินก่วนจะปิดในวันที่ 6 เดือนสิบสอง ชื่อเสียงของ ‘18 นางฟ้าสระสวรรค์เหยาฉือ’ ในเมืองหลวงเป็นที่เลื่องลือมากขึ้นเรื่อยๆ นี่ก็เป็นการแสดงครั้งสุดท้าย จึงรีบมาดูกัน และยังมาเพราะได้ข่าวพิเศษมาด้วย ทำให้ทุกคนรู้สึกว่าวันหน้าคงไม่ได้ดูอีกแล้ว
ซ่งฉานฉานไม่รู้ข่าวการเปลี่ยนแปลงตำแหน่งของหวังทง วันนั้นหลังจากไปส่งข่าวแล้วก็กลับมาใช้ชีวิตแบบไม่สงบสุขนัก แม้ว่าไม่ได้ยินข่าวร้ายใด แต่หอฉินก่วนก็ไม่ได้ข่าวอะไรมากนัก
ได้ยินแต่พวกขุนนางพากันวิพากษ์วิจารณ์เรื่อง ‘มหาอำมาตย์ขจัดขุนนางชั่ว’ อย่างตื่นเต้นกัน ซ่งฉานฉานเป็นผู้ที่เคยผ่านความวุ่นวายในวงราชการด้วยตนเองมาก่อน รู้ความน่ากลัวของเรื่องนี้ ในช่วงเวลาไม่ธรรมดานี้ จึงใช้ชีวิตอย่างระมัดระวัง และก็ไม่กล้ามีความเกี่ยวข้องใดกับหวังทงอีก เกรงว่าจะถูกโยงไปด้วย
ปิดร้านเร็วหน่อย ก็เพราะคิดจะหลบภัยเร็วขึ้นอีกหน่อย
ซ่งฉานฉานนั่งอยู่ในเรือนหลังเล็กของนาง ประตูห้องเปิดกว้าง พ่อบ้านผู้หนึ่งก้มตัวกำลังรายงานซ่งฉานฉานที่สวมเสื้อคลุมผ้าแพรลายดอกโบตั๋น
ไม่ว่าคนรายงานหรือคนฟัง สีหน้าก็ดูย่ำแย่ยิ่ง สุดท้ายซ่งฉานฉานก็พยักหน้า กัดฟันกล่าวว่า
“รู้แล้วก็ทำอะไรไม่ได้ อย่างไรสิบแปดสาวงามนี้ก็ไม่ได้ใช้เงินเราซื้อมา แย่งไปก็ใช่ว่าเจ็บเนื้อข้า เด็กสาวพวกนั้นใจยินยอมไปตั้งนานแล้ว”
กล่าวจบก็เดินไปทางหอฉินก่วน พ่อบ้านรีบเดินตามไปทันที
‘18 นางฟ้าสระสวรรค์เหยาฉือ’ เป็นต้นไม้เงินต้นไม้ทองของหอฉินก่วน รายได้ย่อมแตกต่าง ซ่งฉานฉานจัดเรือนแยกให้พวกนาง แยกที่อยู่ออกไปเป็นพิเศษ เครื่องแต่งกายประทินโฉมก็จ้างนางผู้มีฝีมือระดับสูงมาคอยดูแลพิเศษ มีสาวใช้ส่วนตัวให้พิเศษ
ตอนที่ซ่งฉานฉานเดินเข้าไปในบ้าน ก็ได้ยินเสียงหัวเราะดังในห้อง หญิงสาวพวกนี้ไม่รู้จักความกังวลอะไร อยู่ในห้องด้วยอารมณ์สุนทรีย์มีความสุขกันอย่างมาก
ซ่งฉานฉานเปิดประตูเข้าไป บรรดาหญิงสาวที่หวีผมแต่งตัวกันอยู่ก็มองมาที่นาง รีบลุกขึ้นกล่าวคำทักทาย เสียงอ่อนหวานอย่างยิ่งว่า
“คารวะพี่ซ่ง”
มองหญิงสาวที่ไร้ความกังวลเหล่านี้ ซ่งฉานฉานก็ถอนหายใจ เอ่ยขึ้นน้ำเสียงแผ่วบางว่า
“เมื่อวานฟางจงผิงคุณชายสามแห่งจวนอันผิงโหวและสหายสุนัขจิ้งจอกกลุ่มนั้นพนันกันที่หอวาสนา แบ่งพวกเจ้าพี่น้องกันแล้ว ใครต้องการใครก็พนันกันได้ผลออกมาแล้ว”
สาวๆ ได้ยินแล้วก็อดอึ้งไปไม่ได้ ตามมาด้วยเสียงกรีดร้องอย่างตกใจ ซ่งฉานฉานมีความสามารถในการสังเกตสีหน้าอันดับหนึ่ง มองออกว่าก่อนกรีดร้องอย่างตกใจนั้น เห็นชัดว่ามีสีหน้ายินดี เกือบจะกุมปากแอบยิ้มกันเลยทีเดียว
ซ่งฉานฉานส่ายหน้า หาเก้าอี้นั่ง กล่าวเสียงนิ่งเรียบว่า
“จิตใจของพวกเจ้า ข้าก็เข้าใจดี วันนั้นที่ถูกฟางจงผิงลากไป ถูกหวังทงกันไว้พากลับมาได้ กลับมายังแอบบ่นหลายคำว่า แส่หาเรื่อง”
ได้ยินดังนี้ หญิงสาวผู้หนึ่งก็สีหน้าซีดขาว รู้สึกผิดก้มหน้าลง ซ่งฉานฉานไม่ได้สนใจ กล่าวต่อว่า
“ผู้หญิงอย่างเรา ก็หวังแค่ให้มีคนดีมาไถ่ตัวออกไป หรือหาเงินได้พอก็ไถ่ตัวเองออกไป พวกเจ้าคิดกันใช่ไหมว่า ถูกบุตรชายอันผิงโหวและสหายพวกนั้นชิงตัวกลับไปได้เป็นเรื่องดี?”
คำถามนี้ บรรดาหญิงสาวก็ไม่อาจตอบได้ แต่ก็มีสีหน้าแสดงความเห็นด้วย ซ่งฉานฉานแค่นยิ้มมุมปากเล็กน้อย
“หากชิงตัวกลับไปได้จริงก็คงให้พวกเจ้าเป็นน้อย หรือเป็นสาวใช้รออุ่นเตียง ข้าก็ไม่อาจรั้งวาสนาของพวกเจ้าไว้ แต่คนพวกนี้เล่นกันไม่กี่วันก็จะส่งมาแลกกัน และยังมีลูกเล่นมากมาย หญิงสาวหลายหอในเมืองหลวงสิ้นใจในมือพวกเขาไปไม่ต่ำ 20 กว่าคนแล้ว”
กล่าวจบ สีหน้าหญิงสาวเหล่านี้ก็เปลี่ยนไปทันที ซ่งฉานฉานยืนขึ้นด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก กล่าวเสียงเย็นเยียบว่า
“วันก่อนข้าให้พวกเจ้าไป พวกเจ้าคิดว่าข้ารั้งอนาคตของพวกเจ้า ต่างพากันหาเหตุผลอยู่ต่อ วันนี้พวกเดรัจฉานนั้นให้คนมาเฝ้าทุกประตูไว้แล้ว พวกเจ้าจะหนีก็หนีไม่พ้น แต่ก็อย่าคิดแต่ในแง่ร้าย อาจมีคนพลอยผสมโรงกับพวกเขาด้วย หาความสุขใส่ตัวให้มากหน่อยละกัน!!”
********
ตกค่ำ พอ ‘18 นางฟ้าสระสวรรค์เหยาฉือ’ ขึ้นเวที ก็มีพวกคนชั่วล้อมไว้ ทุกคนจับจ้องเป้าหมายตน ฉุดลากกันลงมา
ชั่วเวลาไม่นานในห้องโถงก็เต็มไปด้วยเสียงกรีดร้องและเสียงหัวเราะ แขกเหรื่อชั้นสองและชั้นล่างก็ไม่เกรงกันเหมือนเมื่อก่อน ทุกคนต่างตบมือเชียร์ หอฉินก่วนก็ค่อยๆ ชุลมุนวุ่นวายไม่เหลือสภาพ
ซ่งฉานฉานตอนนี้ก็ดูแลหญิงสาวพวกนี้ไม่ไหว เพราะว่าเบื้องหน้านางก็ไม่แพ้กัน ฟางจงผิงถูมือเดินไล่เข้ามา แสยะยิ้มกล่าวว่า
“ซ่งฉานฉาน คืนนี้ข้าจะนอนกับเจ้า แต่ก็จะมีเงินให้หนึ่งพันตำลึง จากนี้ไปเจ้าจะได้ไม่ต้องกังวล วันหน้าติดตามข้า หอฉินก่วนนี้เป็นกิจการข้าเมื่อไร ก็ย่อมดูแลปกป้องเจ้าอย่างดี”
ซ่งฉานฉานถอยหลังไปหลายก้าว ด้านหลังเป็นตู้ที่ไม่อาจถอยได้อีก นางจ้องฟางจงผิงเบื้องหน้า สีหน้าค่อยๆ ซีดเผือด กัดฟันดึงปิ่นเงินปักมวยผมออกมา เอาส่วนที่แหลมคมจ่อลำคอตน กล่าวเสียงเยียบเย็นว่า
“อย่างเจ้าสมควรหรือ ถึงตายข้าก็ไม่ยอมมอบกายให้เจ้า!!”